ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 61 เศษเสี้ยว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 61 เศษเสี้ยว

ดวงตาที่ล่องลอยอยู่เปล่งแสงเจิดจรัสขึ้นชั่วครู่ แล้วเริ่มหรี่สลัวลง

“พยายามจะหนีงั้นหรือ?” ซูเฉินตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีทาง หากข้าจับตาดูอยู่ ข้ายังต้องการใช้ท่านสำหรับการทดลองของข้า”

เขาโบกสะบัดมืออย่างสงบในขณะที่กล่าว ดวงตาที่ล่องลอยอยู่เริ่มเบิกกว้างประดุจกำลังทรมานจากการปลุกเร้าบางอย่าง และเริ่มปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลจนน่าตกตะลึง

ในขณะนั้น เยี่ยเฟิงหานเกิดสงสัยว่าตัวเขาจะตายหรือไม่หากเจ้าดวงตานั่นปลดปล่อยพลังงานปริมาณเช่นนี้ใส่เขาในคราเดียว

แนวคิดที่ว่าเจ้าแห่งฝันไม่สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ในแดนแห่งความจริงนั้นเสมือนว่าจะล้าสมัยไปเสียแล้ว

เมื่อรอยแยกบนปราการเริ่มแผ่ขยายใหญ่ขึ้น พลังของเหล่าเทพเจ้าจะเริ่มรั่วไหลผ่านเข้ามา การคร่าชีวิตใครสักคนเป็นเรื่องง่ายดายมาก

ตูม!

ทันใดนั้น การระเบิดที่รุนแรงของพลังงานก็เสมือนว่าจะถูกหยุดนิ่ง สูญสิ้นความสามารถในการแผ่ขยายไปจนหมด

“ท่านเจ้าแห่งแดนฝัน พลังมายาของท่านนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่น่าเสียดายที่ภาพมายาที่แกร่งที่สุดก็ยังเป็นของเทียมอยู่ดี และท่านจะไม่สามารถต่อกรกับผู้ซึ่งมีพลังที่แท้จริงได้” หลังจากที่ซูเฉินกล่าว คลื่นพลังงานก็เริ่มเหือดหาย เยี่ยเฟิงหานตระหนักได้ว่าคลื่นพลังงานนั้นไม่ได้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่เห็น

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่โครงกระดูกยักษ์เองก็ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำเป็นส่วนมาก

ขณะที่การเสื่อมโทรมของปราการจะทำให้เหล่าเทพเจ้าสำแดงอิทธิพลบนโลกได้มากขึ้น เหตุเดียวที่การจู่โจมเมื่อครู่นี้ดูน่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นเพราะเจ้าแห่งแดนฝันเชี่ยวชาญด้านภาพมายาเป็นพิเศษ เป็นผลให้การแยกแยะระหว่างความเป็นจริงและสิ่งลวงตานั้นยากลำบาก

น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ล้วนไร้ค่าในสายตาของซูเฉิน เขาสามารถจำแนกได้ว่าสิ่งใดจริงหรือไม่อย่างง่ายดาย

ดวงตาที่ล่องลอยกรีดร้องด้วยความเดือดดาล

เป็นเรื่องน่าแปลกที่จิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันสามารถสำแดงเดชได้ในก่อนหน้า แต่ขณะนี้เขากลับทำได้แค่เพียงการแผดเสียงที่จับใจความไม่ได้ออกมา

กลับกัน ซูเฉินรู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของเจ้าแห่งแดนฝัน หากแต่เป็นเพียงภาพฉายลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมา เพื่อที่จะปกปิดความลับนี้ เจ้าแห่งแดนฝันได้ตั้งใจที่จะระงับพลังศักดิ์สิทธิ์จากภาพฉาย ด้วยวิธีการนี้ หากแผนของเขาล้มเหลว ในท้ายที่สุดศัตรูจะไม่สามารถรีดความลับอะไรจากมันได้

ผลจากกสิ่งนี้เองก็ลดอุปสรรคสำหรับเยี่ยเฟิงหานด้วย มิเช่นนั้นเขาอาจจะไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อการจู่โจมจากจิตของร่างจริงได้ การให้เยี่ยเฟิงหานได้รับผลึกศักดิ์สิทธิ์มาอย่างราบรื่น จากนั้นควบคุมเขาโดยการใช้ร่างจริงย่อมเป็นแผนที่ดีกว่า

โชคไม่ดีที่แผนนี้ล้มเหลว ไม่มีสิ่งใดที่ดวงตานี้จะทำได้อีกนอกจากการสั่นเทาจากความโกรธ

ซูเฉินเมินเฉยต่อการคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของดวงตาและกล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า “ท่านคิดหรือว่าข้าจะไม่สามารถล่วงรู้ความลับของท่านได้ หากท่านตัดความเกี่ยวข้องกับร่างจริงของท่านไป?”

ซูเฉินเอื้อมมือไปแล้วเก็บผลึกศักดิ์สิทธิ์มา

อย่างน้อยสิ่งของชิ้นนี้ก็เป็นของจริง

“อ๊ากกกกกก!” ดวงตาแผดเสียง

ในครานี้ ความโกรธเกรี้ยวของมันเป็นของแท้

หากแผนล้มเหลว ความสูญเสียบางส่วนจะยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี ไม่ว่าเจ้าแห่งแดนฝันจะพยายามทุเลามันลงเพียงเท่าใด

ผลึกศักดิ์สิทธิ์นี้ถือเป็นความสูญเสียที่มากนัก

สำหรับซูเฉินแล้ว การจัดการกับเส้นสายแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นง่ายเป็นพิเศษ

ในขณะนั้นเอง ซูเฉินสามารถรับรู้ได้คร่าว ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงกล่าว “เฟิงหาน”

“ท่านเจ้านิกาย ศิษย์ของท่านอยู่นี่แล้วขอรับ!” เยี่ยเฟิงหานขานรับ

“เจ้าอยากช่วยข้าทำการทดลองไหม?”

“จะให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าเต็มใจทำเพื่อท่าน!”

“ดีมาก” ซูเฉินยื่นมือแล้วแตะเยี่ยเฟิงหานเบา ๆ ด้วยนิ้วหลายครั้งด้วยกัน เยี่ยเฟิงหานรู้เพียงแค่มีพลังลึกลับเริ่มแผ่ซ่านทั่วร่างของเขา พร้อมกับเส้นสายแห่งจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณของซูเฉิน

เยี่ยเฟิงหานไม่ต่อต้าน อดทนอดกลั้นต่อความอึดอัดและเจ็บปวด

ซูเฉินจึงกล่าว “รับสิ่งนี้ไป”

เขายื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์ให้กับเยี่ยเฟิงหาน

แม้ว่าซูเฉินจะเคยกล่าวไว้ว่า การจับต้องของสิ่งนี้จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นทาสพลังจิต แต่เยี่ยเฟิงหานก็รับไว้โดยไม่ลังเล

เป็นเรื่องน่าแปลกเพราะคราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เยี่ยเฟิงหานถือผลึกศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่ไหวติง

“ท่านกลัวหรือเปล่า?” ซูเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น “แม้ว่าท่านจะไม่อยากควบคุมร่างกายของเขา ข้าก็จะบังคับให้ท่านทำเอง! เฟิงหาน กลืนลงไป!”

เยี่ยเฟิงหานอ้าปากแล้วใส่ผลึกศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตามคำ

ในขณะที่เขากำลังจะกลืนผลึก ภาพราง ๆ ได้ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมัน ราวกับพยายามที่จะดึงตัวของตนออกจากผลึก

“ใครบอกให้ท่านหนี?” ซูเฉินกระแอมพร้อมเอานิ้วกดภาพฉายนั่น ภาพฉายถูกบังคับให้ย้อนกลับไปในผลึกที่ซึ่งถูกเยี่ยเฟิงหานกลืนกินอย่างรวดเร็ว

ซูเฉินวางฝ่ามือลงที่หน้าผากของเยี่ยเฟิงหาน “ประคองสติเอาไว้ให้ดีและไม่ต้องสนใจสิ่งอื่น ๆ รอบตัว อะไรจะเกิดก็ปล่อยมัน ข้าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยเอง”

“ลูกศิษย์ท่านไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อยขอรับ!” เยี่ยเฟิงหานตอบกลับอย่างฉะฉาน พร้อมละทิ้งการควบคุมร่างของตน

ในทันใดนั้น เจตจำนงชั่วร้ายก็เริ่มแผ่ซ่านทั่วกายชายหนุ่มและพยายามที่จะควบคุมร่างของเขา ใบหน้าของเยี่ยเฟิงหานเริ่มบิดเบี้ยวขณะที่คำรามออกมา “เจ้าบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนี้เองนะซูเฉิน!!!”

“โอ้ ตอนนี้ท่านมาแล้วหรือ?” ซูเฉินหัวเราะเยาะ

เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ความลับของตัวเองถูกเปิดเผย เจ้าแห่งแดนฝันได้ส่งเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีพลังระดับพื้นฐานเพื่อกำกับควบคุมแผนการ ณ สถานที่แห่งนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามทิ้งระยะห่างจากมันเพียงใด เขาก็จำเป็นที่จะต้องป้อนคำสั่งพื้นฐานให้มันอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นการที่ร่างหลักจะถูกปลุกขึ้นหลังจากเจ้าของร่างถูกควบคุม อีกนัยหนึ่งคือ การมีร่างกายอันทรงพลังจะไร้ประโยชน์หากเจ้าของร่างนั้นไร้สมอง

ซูเฉินใช้หลักการนี้ในการบังคับเจ้าแห่งแดนฝันให้ปรากฏกายขึ้นภายในร่างของเยี่ยเฟิงหาน และพยายามที่จะควบคุมอีกฝ่ายจากภายใน

ในขณะที่จิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันเริ่มที่จะกลับคืนสู่ผลึก การแผดเสียงเกรี้ยวกราดของเขาเองก็รุนแรงขึ้น

ถึงกระนั้น เจ้าแห่งแดนฝันก็ทราบดีว่ากำลังเจอกับปัญหา และพยายามที่จะย้ายจิตวิญญาณของตนออกอย่างเร็วที่สุด

น่าเสียดายที่ซูเฉินจะไม่ปล่อยให้ทำเช่นนั้น คลื่นพลังจิตอันทรงอานุภาพได้โอบล้อมร่างของเยี่ยเฟิงหาน บังคับให้จิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันกลับคืนสู่ร่างของเยี่ยเฟิงหาน

เจ้าแห่งแดนฝันไร้ซึ่งเจตนาที่จะยึดครองร่างของเยี่ยเฟิงหาน กระนั้นซูเฉินก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไป

ทั้งสองเผชิญหน้าปะทะกันกินเวลาอยู่ครู่หนึ่ง

แม้ว่าเจ้าแห่งแดนฝันจะทรงพลัง แต่ผลึกศักดิ์สิทธิ์นั้นบรรจุจิตวิญญาณของเขาไว้เพียงแค่เศษเสี้ยว เมื่อเศษเสี้ยวแห่งจิตวิญญาณตระหนักว่ามันไม่อาจหลบหนีจากการควบคุมของซูเฉินได้ มันจึงลั่นเสียงออกมา “ซูเฉิน เจ้าไม่สนหรอกหรือว่าลูกศิษย์เจ้าจะอยู่หรือตาย?”

“ฆ่าเขาสิ ถ้าท่านทำได้” ซูเฉินตอบอย่างไม่แยแส ประดุจว่าชีวิตของเยี่ยเฟิงหานนั้นไร้ค่าสำหรับเขา

เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันพิโรธ คิดหรือว่าข้าจะไม่สามารถทำได้? ข้าจะฉีกร่างของมันให้ละเอียดแม้ว่าข้าจะต้องตายตามไปด้วย!

จิตวิญญาณเริ่มก่อตัวขณะที่พุ่งไปสู่จิตสำนึกของเยี่ยเฟิงหาน

การระเบิดของพลังแบบเฉียบพลันเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยเฟิงหานสมองตาย

แต่ในขณะนี้ กลับมีภาพของซูเฉินปรากฏขึ้นมาในจิตสำนึกของเยี่ยเฟิงหานประดุจดั่งร่างเสมือนของเทพเจ้า เขาหยุดยั้งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันอย่างง่ายดายจากภายนอก

“ไม่!” เจ้าแห่งแดนฝันไม่ได้คาดถึงว่าซูเฉินจะสามารถลอบจู่โจมตนจากจิตสำนึกของเยี่ยเฟิงหาน เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเขาทำได้เพียงแผดเสียงกรีดร้องแสดงการต่อต้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉิน

เนื่องจากเศษเสี้ยวเน้นจุดมุ่งหมายไปที่การจู่โจมมากเกินไป มันจึงถูกซูเฉินจับก่อนที่จะมีโอกาสทำลายตัวเอง

ซูเฉินเริ่มเข้าถึงความทรงจำของมัน ปล่อยให้กระแสของความทรงจำเข้าสู่จิตใจ ข้อมูลจำนานมหาศาลพากันหลั่งไหลเข้าไปในมโนสำนึกของเขา

“ฟ่อ!” ดวงตาลอยได้แผดเสียงอย่างมุ่งมาด

น่าเสียดายที่การกรีดร้องแห่งความเดือดดาลนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

“ตอนนี้ท่านไม่มีประโยชน์สำหรับข้าแล้ว” ซูเฉินยังคงหลับตากลั่นกรองข้อมูลที่ได้รับมา ด้วยการดีดนิ้วง่าย ๆ ดวงตาที่ล่องลอยก็ระเบิดออกในทันใด

บัดนี้แดนฝันได้แตกสลายไปแล้ว เหล่าผู้คนที่ตกอยู่ในอำนาจของมันก็เริ่มตื่นขึ้น

บางส่วนเป็นสมาชิกของนักล่าปีศาจ อีกส่วนเป็นผู้บูชาเลือดเย็น

“ท่านเจ้านิกาย!” ฉางเหออุทานอย่างมีความสุข เขาเพิ่งถอนกำลังมาจากการรบที่แนวหมอก

ซูเฉินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขาสำรวจภายรอบกาย จากนั้นจึงพึมพำกับตน “ไส้ศึกเยอะเสียจริง”

ในสายตาของนิกายไร้ขอบเขต ผู้ใดสักการะเทพเจ้าถือเป็นผู้ทรยศ เพื่อที่จะได้มาซึ่งเศษของแผ่นหิน พวกเขายอมขายกระทั่งมนุษยชาติทั้งปวง

แต่ไม่ว่าซูเฉินจะรังเกียจการมีอยู่ของผู้คนเหล่านี้เท่าใด ความเป็นจริงที่ว่าพวกเขามีตัวตนก็ยังคงอยู่

การชุมนุม ณ หุบเขาใจหมาป่าคือการรวมตัวของผู้ทรยศ และตัวการสำคัญแทบทั้งสิ้นที่อยู่ท่ามกลางเผ่ามนุษย์ล้วนมีอยู่ด้วยจุดประสงค์ในการรื้อฟื้นแดนฝัน

แผนการของเทพเจ้าสำหรับที่แห่งนี้นั้นจะแสนเรียบง่าย

ลำดับแรกคือการก่อตั้งแดนฝันแห่งใหม่ โดยการให้เจ้าแห่งแดนฝันเก็บเกี่ยวศรัทธาและนำมาเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่นิกายไร้ขอบเขตทำลายแดนฝันแห่งแรกลง เจ้าแห่งแดนฝันจึงต้องการสร้างสถานที่ทดแทนอย่างสิ้นหวัง

ลำดับต่อมาคือการควบคุมสมาชิกระดับสูงของนิกายไร้ขอบเขตผ่านผลึกศักดิ์สิทธิ์นี่ เพื่อที่จะได้มาซึ่งไส้ศึก

แท้จริงแล้ว จุดประสงค์ที่สองเปรียบดั่งแผนสำรองให้แผนแรก หากแผนการแรกล้มเหลว มีความเป็นไปได้ว่าแผนการที่สองจะประสบความสำเร็จ หากบรรลุผลตั้งแต่แผนการแรก แผนการที่สองจะมีประโยชน์สำหรับใช้การในภายหลัง

โชคไม่ดีที่แผนการทั้งสองล้วนถูกทำลายลงโดยซูเฉิน เจ้าแห่งแดนฝันไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการรื้อฟื้นแดนฝัน ซ้ำร้ายต้องเผชิญกับการสูญเสียอย่างสาหัส

ซูเฉินปรายตามองเยี่ยเฟิงหาน “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

สีหน้าของเยี่ยเฟิงหานนั้นซีดเซียว แม้จะได้รับการคุ้มครองจากซูเฉิน กระแสพลังจิตยังคงมีผลกระทบกับจิตสำนึกของเขาเล็กน้อยสืบเนื่องมาจากความผันผวนของพลังงาน

ถึงกระนั้นเยี่ยเฟิงหานก็พยักหน้า “ข้าสบายดี”

ซูเฉินยิ้ม “ข้าขอโทษด้วยที่ให้เจ้าต้องเผชิญอันตราย แต่เจ้าน่าจะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน เจ้าลองหยั่งรู้ถึงพลังจิตของเจ้าดู”

เยี่ยเฟิงหานส่งพลังจิตของตนออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วเขาจึงได้อุทานด้วยความปีติ “พลังจิตของข้ากล้าแกร่งขึ้น?”

ซุเฉินพยักหน้าตอบ “ข้าทำลายเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันลง ส่วนมากจะตกทอดสู่จิตสำนึกของเจ้า หากเจ้าซึมซับมันได้อย่างถูกต้อง นี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

เยี่ยเฟิงหานปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก

นี่เป็นถึงเศษเสี้ยวจากจิตของเทพเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่พลังจิตของเขาจะกล้าแกร่งขึ้นอย่างมาก และหากนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ก็เสมือนว่าขีดจำกัดยังอยู่อีกไกลโพ้น

เป็นเรื่องจริงที่การได้มาซึ่งพลังที่ยิ่งใหญ่นั้นมากจากการเผชิญอันตรายที่ใหญ่หลวง เขาจะไม่ก่อเกิดความลังเลใจใด ๆ ต่อคำร้องขอของซูเฉินอีก

“ข้าขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมาก ท่านเจ้านิกาย!” เยี่ยเฟิงหานตอบรับเสียงดัง

“เจ้าสมควรได้รับมัน” เมื่อซูเฉินกล่าวจบ เขาหันหน้าไปหากลุ่มของฉางเหอ “พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“พวกข้าสบายดี ท่านเจ้านิกาย” สมาชิกกลุ่มนักล่าปีศาจขานตอบอย่างพร้อมเพรียง

ซูเฉินกล่าวต่อ “พวกเจ้าทำงานกันอย่างหนักในคราวนี้ พวกเจ้าไม่จำเป็นที่จะเข้าร่วมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในคราวต่อไป”

หืม?

ยังมีสิ่งใดให้ทำอีกหรือ?

พวกเขาทุกคนมองหน้ากันอย่างสับสน

ซูเฉินมุ่งหน้าสู่รูปปั้นทั้งเจ็ด

เขาตรงไปสู่ใจกลางของมัน จากนั้นกระทืบเท้าทันที

พื้นดินใต้เท้าชายหนุ่มเริ่มเปล่งแสงแผ่ขยายออกไปช้า ๆ จนครอบคลุมทั่วทั้งอาณาเขต

แสงที่ส่องประกายอย่างเบาบาง เปรียบประดุจดั่งแสงจากดวงดาวที่ส่องสว่างไปทั้งท้องฟ้า

“นื่คือ…”

ทุกคนที่อยู่ในขณะนี้มองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึงจากการปรากฏขึ้นอย่างเฉียบพลันของดินแดนซึ่งส่องสว่างไปด้วยแสงดาว บริเวณใจกลางของสถานที่แห่งนี้มีประตูเล็ก ๆ ตั้งอยู่

ซูเฉินตรงไปยังประตูบานนั้น

พวกเขาจ้องดูประตูปิดตามหลังซูเฉิน ทุกคนต่างเงียบสงบเนื่องจากความงุนงง

ฉางเหอเดินไปหาและถามเยี่ยเฟิงหาน “พวกเราควรทำอย่างไรหรือ?”

“ไปกันเถิด” เยี่ยเฟิงหานตอบกลับ

“แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนสารเลวพวกนี้?”

เยี่ยเฟิงหานปรายตามองเหล่าผู้บูชาชั่วร้ายแล้วตอบอย่างเฉยเมย “พวกเขาไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ ต่อพวกเราแล้ว”

“เราไม่ต้องสอบสวนพวกเขาก่อนหรือ?” ฉางเหอรู้สึกตกตะลึง

“ไม่จำเป็น” เยี่ยเฟิงหานแตะที่ศีรษะของเขา “ทุกอย่างอยู่ในนี้แล้ว”

เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝันไม่เพียงแต่เพิ่มพูนพลังจิตของเยี่ยเฟิงหานแล้ว หากแต่ยังให้ความทรงจำกับเขาอีกจำนวนหนึ่ง

ชายหนุ่มล่วงรู้อย่างเที่ยงแท้ว่าประตูนั้นคืออะไร เหล่าเทพเจ้าทำสิ่งใดกัน ณ สถานที่แห่งนี้ และสถานภาพของเหล่าผู้บูชาชั่วร้าย

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้บูชาพวกนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกแม้แต่คนเดียว!