ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 62 ข้อตกลง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 62 ข้อตกลง

ซูเฉินก้าวย่างไปยังโลกอันมีลักษณะที่ไม่คุ้นเคย

โลกรอบกายของเขาเสมือนเป็นของเหลวและนิ่มนวล แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ปลดปล่อยแรงกดดันปริมาณมหาศาลใส่ร่างของเขาไปด้วย

เบื้องหลังตัวตนของเหลวนี้เป็นความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต ซูเฉินปลดปล่อยพลังจิตของเขาสู่บริเวณรอบกาย และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนได้กระแทกใส่กำแพงที่ล้อมรอบพื้นที่ว่างแห่งนี้ไว้ มีรอยแยกเพียงแห่งเดียวปรากฏขึ้นทันทีเบื้องหน้าเขา

พลังงานของเหลวเริ่มหลั่งไหลออกผ่านรอยแยกและเติมเต็มพื้นที่ว่าง

“ปราการกำลังร้าว” ซูเฉินพึมพำกับตน

ในขณะนี้ เขาอยู่ในพื้นที่ว่างระหว่างทวีปต้นกำเนิดและปราการเทพเจ้า

เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยปราการนั้น พื้นที่ว่างเล็ก ๆ นี้มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากพลังงานบางส่วนสามารถไหลเข้าและออกผ่านรอยแยกได้

รอยแยกบนกำแพงที่มีขนาดเพียงแค่แมลงผ่าน

ถึงแม้ซูเฉินจะแทรกผ่านได้ เหล่าเทพเจ้าก็ไม่สามารถทำได้

เนื่องจากพวกเขามีขนาดที่ใหญ่เกินไป

มีเพียงแค่ภาพฉายหรือร่างแยกที่สามารถผ่านโพรงขนาดเล็กได้ ถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะเกี่ยวโยงกับห่วงโซ่เหตุการณ์บนทวีปต้นกำเนิด

แม้แต่ซูเฉินก็สามารถไปได้เพียงจากทวีปต้นกำเนิดสู่พื้นที่แห่งนี้เท่านั้น ในขณะนี้ เขายังไม่สามารถที่จะเดินทางจากฝั่งนี้ไปสู่สถานที่ซึ่งเหล่าเทพเจ้าอาศัยอยู่

“ช่องว่างยังคงเล็กเกินไป… แต่ในอีกไม่ช้า มันจะใหญ่ยิ่งขึ้น” ซูเฉินพึมพำ

พลังงานไหลผ่านรอยแยกอย่างเชื่องช้า ทว่ากัดกร่อนปราการอย่างสม่ำเสมอ

โพรงเพียงขนาดเท่ามดนั้นสามารถนำมาซึ่งการพังทลายของเขื่อนได้ รอยแยกนี้ก็จะนำมาซึ่งความพินาศของปราการเช่นกัน

ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง นี่เป็นแค่หนึ่งในรอยแยก

แท้จริงแล้วยังคงมีรอยแยกบนปราการเช่นนี้อีกจำนวนหนึ่ง อ้างอิงจากสิ่งที่ซูเฉินได้กลั่นกรองผ่านความทรงจำของเจ้าแห่งแดนฝัน

ตลอดการสึกกร่อนจากนับร้อยนับพันปี ปราการก็เริ่มเสื่อมถอยอย่างช้า ๆ เป็นเหตุว่าทำไมปราการจึงถูกแทรกผ่านได้มากและมากขึ้น การกระทำของเทพเจ้าเองก็ส่งผลในส่วนนี้ด้วยเล็กน้อย

ซูเฉินหัวเราะ เพลิดเพลินไปกับแรงกดดันที่อยู่ทั่วร่างของเขาอันเนื่องมาจากเอกลักษณ์ของพื้นที่ว่างแห่งนี้

จากนั้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าว “ข้าอยู่นี่แล้ว ท่านอยู่ไหน?”

“ท่านอยู่ไหน?”

“ท่านอยู่ไหน?”

“ท่านอยู่ไหน?”

คำถามของเขาดังกึกก้องทั่วทั้งพื้นที่ แต่ทว่าไม่มีผู้ใดตอบรับ

ซูเฉินขมวดคิ้ว แต่ยังคงเฝ้ารออยู่อย่างเงียบงัน

หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

ร่างนั้นดูอ่อนยวบยาบขึ้นและลงตามกระแสพลังงานของเหลวภายในพื้นที่แห่งนี้ ยังคงขุ่นมัวและไม่ชัดเจน

จนร่างนั้นได้ปรากฏชัดขึ้นเมื่อมาถึงเบื้องหน้าของซูเฉิน

เป็นร่างของขอทานชรา

ขอทานชราได้ปรากฏตัวขึ้นในท้ายที่สุด

ซูเฉินไม่ได้แปลกใจเลย

เขาเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ไม่ได้เพื่อจะพบกับร่างแยกของเจ้าแห่งแดนฝัน นั่นเปรียบได้กับของแถมที่ไม่คาดคิด จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการได้พบกับขอทานชรา เยี่ยเฟิงหานยังไม่ทราบว่าความรู้ที่เขาได้รับจากเจ้าแห่งแดนฝันนั้นมีข้อมูลชิ้นสำคัญรวมอยู่ด้วย

นี่เป็นดั่งการนัดหมายแสนสำคัญที่ขอทานชราเคยกล่าวไว้กับซูเฉิน

ซูเฉินรู้สึกได้ถึงการปะทุของความรู้สึกภายในจิตใจของตนเมื่อได้พบขอทานชรา

หากไม่ใช่เพราะขอทานชรา บางที่เขาอาจจะยังคงเป็นได้แค่เพียงนายน้อยตระกูลซูผู้มีทักษะโดดเด่น กลายเป็นผู้นำตระกูล ทว่าจะไม่มีทางอยู่ในสถานภาพดังปัจจุบัน

จะกล่าวว่าขอทานชรามีส่วนที่ทำให้ซูเฉินกลายเป็นเขาคนปัจจุบันก็ย่อมได้

จะไม่ให้ซูเฉินปลื้มปีติต่อบุคคลผู้ซึ่งมอบสิ่งมากมายให้เขาได้อย่างไร?

เป็นเรื่องน่าสนใจที่ปฏิกิริยาของขอทานชราเองก็คลับคล้ายคลับคลากับซูเฉิน

ขณะที่เขาจ้องมองซูเฉิน ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู

ทั้งสองต่างจ้องมองซึ่งกันและกันเป็นเวลาครู่ใหญ่จนกระทั่งซูเฉินได้ทำลายความเงียบลง

เขาคำนับขอทานชรา “ซูเฉินคำนับท่านผู้อาวุโส ขอข้าทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ หากไม่เป็นการดูหมิ่นเกินไป?”

ขอทานชรายิ้มรับเล็กน้อย “ข้าไม่มีชื่อเสียงเรียงนามหรอก เมื่อข้าเกิดมายังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชื่อ เนื่องจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิด”

ซูเฉินรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นรัว

คำพูดของขอทานชราเปิดเผยสถานภาพของตนโดยไม่ตั้งใจ

“ซูเฉินคำนับท่านเจ้าบรรพชน!”

“เจ้าบรรพชน….” ขอทานชราพึมพำแล้วพยักหน้า “เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้ ทว่าข้าไม่ใช่เทพเจ้า”

“ท่านไม่ใช่เทพเจ้า?” ซูเฉินตกตะลึง

ขอทานชราพยักหน้า “ใช่แล้ว อย่างที่เจ้าคิด ข้าเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า”

“ทว่า…”

“เจ้าอยากจะกล่าวว่าหลังจากการปรากฏขึ้นของอาณาเขตคุน สิ่งมีชีวิตล้วนแต่เป็นเทพเจ้าใช่หรือไม่? เจ้าอยากถามข้าว่าข้าสามารถมีชีวิตอยู่ด้านหลังปราการได้เช่นไรหากข้าไม่ใช่เทพเจ้าใช่ไหม? และข้าสามารถแทรกผ่านปราการได้พร้อมกับทำในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ได้เช่นไรใช่ไหม?” เจ้าบรรพชนย้อนถาม

ซูเฉินพยักหน้า เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก

เจ้าบรรพชนถอนหายใจ “การอธิบายต้องใช้เวลานาน นานเกินกว่าที่พวกเรามีอยู่ ข้าบอกได้เพียงว่าที่ข้าสามารถแทรกผ่านปราการและใช้ร่างแยกได้อย่างถูกต้องนั้นเนื่องจากข้าไม่ใช่เทพเจ้า เทพเจ้านั้นทรงพลัง ทว่าพวกเขาก็มีข้อจำกัดเช่นกัน หากไร้ซึ่งศรัทธาหรือเครื่องสังเวย พลังของพวกเขาจะลดลงอย่างใหญ่หลวง ในทางกลับกัน มนุษย์นั้นมีความสามารถที่จะดึงพลังออกมาจากตนได้ พวกเขาทรงพลังยิ่งกว่าเทพเจ้าเสียอีก เป็นผลให้พวกเขามีอิสระมากกว่า!”

“ทรงพลังยิ่งกว่าเทพเจ้า!” ซูเฉินตื่นตกใจอย่างหนักหนาจากคำกล่าวนี้

“ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ครอบครองสิ่งเช่นนั้นอยู่แล้วหรือ?” เจ้าบรรพชนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหวนสู่พลังอมตะอย่างนั้นหรือ?

“เช่นนั้นแล้ว ท่านเจ้าบรรพชนเป็นผู้แรกซึ่งครอบครองพลังอมตะหรือท่าน?”

ทว่าเจ้าบรรพชนกลับสะบัดมือปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว “ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ข้านั้นสึกกร่อนไปด้วยพลังแห่งศรัทธา ถึงแม้ว่าข้าจะหยั่งรู้ถึงมันในจิตของข้า มันก็เป็นสิ่งที่ข้าก็มิอาจบรรลุได้”

ซูเฉินจ้องไปยังเจ้าบรรพชนด้วยความสับสน ท่านกล่าวต่อว่า “ข้ามีเวลาไม่มากพอจะอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าได้ รอยแยกนี้ถูกเทพเจ้าเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง และข้าสามารถข้ามผ่านมาได้แค่ชั่วคราว เข้าเรื่องกันเลย เหล่าเทพเจ้าจะกลับมาในไม่ช้า……”

“ยังคงมีเวลาอีก 6 ปี” ซูเฉินกล่าว

เจ้าบรรพชนส่ายหัว “ไม่ เจ้ามีเวลาอีกเพียง 2 ปี”

“ท่านว่าอย่างไรนะ?” ซูเฉินตกตะลึง

ไม่ใช่ว่าเจ้าแห่งแดนฝันกล่าวว่า 10 ปีหรือ?

เจ้าบรรพชนกล่าวต่อ “รอยแยกแห่งหนึ่งของปราการนั้นขยายกว้างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ เป็นผลให้เกิดการเร่งความเสื่อมสภาพ”

“ถ้าเช่นนั้นแล้วสถานที่แห่งนี้…”

“เป็นเพียงที่สำหรับดึงดูดความสนใจจากเจ้าเท่านั้น” เจ้าบรรพชนตอบกลับแล้วยกมือขึ้น จากนั้นได้มีลำแสงยิงออกมาจากฝ่ามือเขาเข้าสู่หน้าผากของซูเฉินเป็นการส่งต่อข้อมูลสำคัญให้

เจ้าบรรพชนกล่าวต่อ “นี่เป็นสถานที่ซึ่งมีรอยแยกขนาดใหญ่ที่สุด เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เจ้าค้นพบ เหล่าเทพเจ้าจึงไม่ทำการใด ๆ ในที่แห่งนี้ หากเจ้าไม่สามารถซ่อมแซมรอยแยกได้ทันท่วงที เทพเจ้าจะกลับมาในอีก 2 ปีตั้งแต่นี้”

ซูเฉินกล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น”

เจ้าบรรพชนพยักหน้า “ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าทำได้ ทว่ามันจะช่วยได้เพียงต่อเวลาเล็กน้อย การเสื่อมถอยของปราการไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะหยุดยั้งได้แบบสมบูรณ์ และเจ้าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในท้ายที่สุดได้”

“ท่านมีข้อชี้แนะหรือไม่?” แม้ว่าซูเฉินจะเผชิญหน้าอยู่กับบรรพชนของมนุษย์ผู้ซึ่งมีพระคุณอย่างยิ่งต่อเผ่ามนุษย์ เขาก็ยังคงไม่เปิดเผยแผนการที่เขาได้ตระเตรียมไว้

เจ้าบรรพชนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ใช่ว่าเจ้ามีอยู่แล้วหรือ? การฆ่าล้างสังหารเทพเจ้าก่อนที่พวกเขาจะกลับมา”

ซูเฉินแน่นิ่ง เขารู้สึกอับอายเล็กน้อย

เจ้าบรรพชนหัวเราะ “ไม่จำเป็นที่จะต้องอายไปหรอก การระมัดระวังรอบคอบเป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่ความกล้าบ้าบิ่นจะเป็นรากฐานนำเจ้าไปสู่ความสำเร็จ ข้าเฝ้ารอมากว่า 200,000 ปี หว่านเมล็ดพันธุ์นับไม่ถ้วน แต่ในท้ายที่สุดก็ได้มีต้นไม้ที่เติบใหญ่และมีความสามารถที่จะค้ำจุนเผ่ามนุษย์ทั้งปวงได้ ซูเฉิน เจ้าทำได้ดี ดีมาก!”

เป็นเช่นนั้นเองหรือ?

ในช่วงเวลานั้น ซูเฉินก็ได้ตระหนักว่าจุดประสงค์ของเจ้าบรรพชนคือสิ่งใด

ตลอดเวลากว่า 200,000 ปี ร่างแยกของบรรพชนได้ตระเวนไปทั่วทั้งดินแดนมนุษย์ หว่านโรยเมล็ดพันธุ์ทั่วทุกแห่งหนและฟูมฟักเหล่าผู้มีพรสวรรค์มารุ่นต่อรุ่น จุดประสงค์นั้นคือการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับเหล่ามนุษย์ทั้งปวง

ถึงอย่างนั้น ความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าผู้คนส่วนมากใช้พรสวรรค์เพื่อประโยชน์ส่วนตน

พวกเขาพึ่งพาพลังดังกล่าวเพื่อการยกระดับตน ทว่าเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราโอ่อ่าสุรุ่ยสุร่ายแทนการที่จะพยายามฟื้นฟูความเป็นอยู่ของเผ่ามนุษย์

แม้ว่าพวกเขาจะทรงพลัง จิตใจของพวกเขาเห็นแก่ตัว และขาดความทะเยอทะยานที่จะใฝ่หาความถูกต้อง

แน่นอนว่าบางส่วนเองก็มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่ความใจกว้างนั้นเองก็มีขีดจำกัดสำหรับการส่งต่อ ไม่เคยมีผู้ใดที่มีความอดทนสืบทอดการค้นคว้าสำหรับเผ่ามนุษย์สู่รุ่นต่อไปได้เลย

หลี่ต้าวหงได้รับมันสมองของข้ารับใช้หลวง ทว่านั่นกลับทำให้เขากลายเป็นเพียงเจ้าชายจอมโลภและเห็นแก่ตัว

หลินหราวเซียนได้รับดวงใจที่เงียบสงบ เพื่อที่เขาจะไม่ถูกชักจูงโดยประโยชน์ส่วนตน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไร้ความรู้สึกเสียจนยอมมอบกระดูกปีศาจโลหิตให้กับหลงพั่วจวิน

เจ้าบรรพชนตั้งความหวังไว้กับผู้คนและเมล็ดพันธุ์นับไม่ถ้วน ทว่ากลับได้รับเพียงความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า

ถึงกระนั้นเขาก็ยังทำต่อไป

เพราะเขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้ที่สานต่อความฝันของตนได้

เป็นเวลากว่า 200,000 ปีจนกระทั่งซูเฉินปรากฏตัว

และแล้วซูเฉินจึงได้ตระหนักว่าเพราะเหตุใดบรรพชนมนุษย์ถึงทำสิ่งเหล่านี้

ทว่ายังคงมีบางสิ่งที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ

เขาจึงถาม “เหตุใดท่านถึงไม่บอกข้าตรง ๆ ?”

เจ้าบรรพชนส่ายหัว “ข้าทำไม่ได้ นี่เป็นข้อแลกเปลี่ยน และเพื่อรักษาสมดุลอีกด้วย”

“สมดุล…” ซูเฉินครุ่นคิด

เขารำลึกถึง 3 ปีที่อาศัยอยู่ในความมืดมิด

ทันใดนั้น ทุกสิ่งจึงเริ่มกระจ่างสำหรับเขา

“สมดุลแห่งพลัง? สมดุลแห่งข้อมูล?”

เจ้าบรรพชนพยักหน้า “การแทรกผ่านปราการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”

เขาไม่สามารถกล่าวต่อได้อีก ทว่าคำกล่าวเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะข้ามไปได้อย่างไร?” ซูเฉินถามกลับ

“เมื่อรอยแยกเปิดออกจนขนาดกว้างที่สุด…”

“ไม่ใช่!” น่าแปลกใจที่ซูเฉินพูดขัดเจ้าบรรพชน “ข้าหมายถึงขณะนี้”

“เจ้าต้องการข้ามไปเดี๋ยวนี้หรือ?” เจ้าบรรพชนตกตะลึง

“ใช่ ตอนนี้!” ซูเฉินตอบกลับ “เมื่อรอยแยกเปิดออกจนกว้างที่สุด กองกำลังมนุษย์จะสามารถเข้าไปได้ก็จริง ทว่าเทพเจ้าเองก็ใกล้จะทำได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วเราจะมีเวลาน้อยเกินไป ข้าต้องข้ามไปทันทีเพื่อที่จะเพิ่มเวลาให้เผ่ามนุษย์”

“เจ้าข้ามไปไม่ได้”

“ตราบใดที่ข้าสามารถทำสิ่งเดียวกับท่านได้ก็เพียงพอแล้ว อย่างไรเสียก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาศัยอยู่ในอาณาเขตคุนไม่ใช่หรือ?” ซูเฉินกล่าว

เขาได้รับรู้จากเจ้าแห่งแดนฝันว่ายังคงมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือจากเทพเจ้าในอาณาเขตคุนอีก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกจองจำอยู่บนดินแดนและไม่สามารถส่งมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับเทพเจ้าได้มากนัก

ทวีปต้นกำเนิดยังคงเป็นแหล่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเทพเจ้า

เจ้าบรรพชนนิ่งเงียบ

เขาได้กล่าวขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่ “นั่นก็เป็นวิธีการหนึ่ง ทว่าข้าต้องเตือนเจ้าว่าหากเจ้าข้ามมาแล้ว ข้าจะไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเจ้าได้”

“ขอเพียงแค่ท่านนำพาข้าข้ามไป ข้าจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง” ซูเฉินตอบอย่างแน่วแน่

หลังจากหยุดนิ่งไปอีกครั้งหนึ่ง เจ้าบรรพชนก็ได้พยักหน้าตกลงในท้ายที่สุด “การทำแบบนี้มีความเสี่ยงยิ่งนัก ทว่าก็คุ้มค่าที่จะลองดู”

เขาใช้นิ้วแตะหน้าผากของซูเฉินอีกครั้ง “นี่เป็นวิธีการฉายภาพของข้า ผสานมันเข้ากับวิชาแยกร่างของเจ้า แล้วเจ้าจะสามารถลักลอบเข้าไปยังอาณาเขตคุนได้ หลังจากนี้ 10 วัน ข้าจะพบกับเจ้า ณ รอยแยกที่ใหญ่ที่สุด จงจำไว้ เจ้ามีโอกาสเพียงหนเดียว!”

สิ้นสุดคำพูดของเจ้าบรรพชน เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย