ตอนที่ 977 สถานการณ์ไม่สู้ดี
ชิ้นส่วนของโลกที่แตกสลาย?
ในใจของหลินเป่ยเฉินพลันนึกถึงท้องฟ้าสีดำอุดมด้วยดวงดารามากมายที่ติดอยู่กับชายหาดหลังกำแพงเมืองขึ้นมาทันที
ท้องฟ้าเบื้องหลังชายหาดนั้นคือสิ่งไม่สมควรมีอยู่ไม่ว่าจะในโลกไหนก็ตาม
แต่หากยึดตามตำนานโบราณที่ไป๋เสี่ยวเซียวบอกเล่าออกมา มันก็น่าจะเป็นความจริงได้ไม่ใช่หรือ?
ท้องฟ้าอุดมดวงดาวที่อยู่ถัดจากชายหาดออกไป ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเผ่าจันทราขาวใช่หรือไม่?
และสิ่งที่ชาวจันทราขาวเรียกขานว่า ‘โลกยุคปฐมกาล’ ก็เคยอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่านะ?
เมื่อรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติม เด็กหนุ่มก็รู้ว่าโลกใบเดิมของชาวเผ่าจันทราขาวมีขนาดกว้างใหญ่เพียงไม่กี่พันลี้เท่านั้น
นับเป็นดินแดนที่เล็กจ้อยจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเริ่มนำข้อมูลมาปะติดปะต่อกันได้เป็นโครงสร้างใหญ่ หากตำนานที่เด็กสาวเล่ามาเป็นความจริง ในท้องฟ้าที่อยู่ถัดจากชายหาดหลังกำแพงเมืองออกไป ยังคงมีเศษชิ้นส่วนจากโลกยุคปฐมกาลก่อสร้างโลกใบใหม่อีกมากมายนับไม่ถ้วน
ทันใดนั้น
คำถามใหม่ปรากฏขึ้นในหัวใจ
จักรวรรดิเป่ยไห่ของพวกเขาได้ตั้งอยู่บนดินแดนที่เป็นเศษเสี้ยวจากโลกยุคปฐมกาลเหล่านี้ด้วยหรือไม่?
หรือว่าเป็นโลกที่อยู่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง?
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโดยไม่รู้ตัว
“ในที่สุด คำถามที่เราสงสัยมาตลอดก็ได้รับคำตอบแล้ว”
“เราสงสัยมาตลอดว่าเพราะอะไรแผ่นดินตงเต้า ถึงไม่เคยมีแผนที่ของแผ่นดินอื่น ๆ เลย นี่คงหมายความว่าพวกเขาอยู่ต่างโลกกันสินะ?”
“ถ้าอย่างนั้น มันก็หมายความว่าแผ่นดินตงเต้า คือชิ้นส่วนที่แตกกระจายออกมาจากโลกยุคปฐมกาลจริง ๆ น่ะสิ?”
“เฮ้อ แล้วทำไมเราถึงทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“แต่จะอธิบายปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกทิศทางเดียวกับโลกมนุษย์ได้ยังไง?”
“อ๊าก ปวดหัวโว้ย”
“สมองของเราไม่เหมาะกับการที่จะต้องมาคิดอะไรซับซ้อนแบบนี้เลย”
“เลิกคิดดีกว่า”
หลังจากเค้นสมองขบคิดอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มก็ข่มความสงสัยในหัวใจของตนเองลง ข้อมูลที่เขาอยากรู้หลังจากนี้ ค่อยกลับไปถามเอาจากองค์จักรพรรดิทีหลังก็ไม่สาย
“เอาล่ะ เรามาถามตอบกันต่อดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าไป๋เสี่ยวเซียวก่อนยิ้มกว้างและเขียนข้อความบนพื้นดิน ‘สิ่งที่เจ้าเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีขนาดใหญ่โตมากไหม? และที่นั่นมีผู้คนอาศัยอยู่เยอะหรือไม่?’
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนคำตอบลงบนพื้นดินโดยไม่ลังเล
นางให้ความเคารพหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างมาก นอกจากเขาจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของนางและชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยของชาวเผ่าได้อย่างปาฏิหาริย์ อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไป๋เสี่ยวเซียวชื่นชมเด็กหนุ่มแปลกหน้าถึงเพียงนี้ ก็เพราะว่าเขามีความหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยาก
สำหรับในหัวใจของไป๋เสี่ยวเซียว บุคคลที่มีหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางเป็นคนชั่วร้ายเด็ดขาด
อีกอย่าง สิ่งที่หลินเป่ยเฉินถามออกมาล้วนแต่เป็นความรู้พื้นฐานของชาวเผ่าจันทราขาว ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องปิดบัง
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองพื้นดิน
ว่ากันตามสิ่งที่เด็กสาวเขียนอธิบาย สิ่งที่เรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เนื่องจากมันเป็นการรวมตัวกันของเศษเสี้ยวชิ้นส่วนจากโลกยุคปฐมกาลหลายร้อยแผ่นดิน
และเหตุผลที่ชาวเผ่าเรียกแผ่นดินแดนนั้นว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นเพราะตามความเชื่อของพวกเขา ที่นั่นคือสถานที่พำนักขององค์เทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง
ที่นั่นมีสาวกของเทพเจ้าองค์นี้อยู่เป็นจำนวนมาก
และที่นั่นก็มีชาวเผ่าจันทราขาวอาศัยอยู่จำนวนมากเช่นกัน แต่พวกเขาก็แบ่งแยกดินแดนกันอย่างชัดเจน และจะติดต่อกันก็เมื่อถึงคราวจำเป็นเท่านั้น…
สรุปใจความสั้น ๆ ก็คือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พำนักของเทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง และด้วยความที่มันเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ได้มีความแข็งแกร่งเพียงพอ ก็ไม่มีทางเดินทางไปที่นั่นได้เด็ดขาด
‘โอ้โห น่าประทับใจจริง ๆ’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความชื่นชม
แต่แท้จริงนั้น สมาธิของเขาไม่ได้อยู่ที่ข้อความของไป๋เสี่ยวเซียวอีกต่อไป เนื่องจากเด็กหนุ่มได้ข้อสรุปเป็นการส่วนตัวว่า…
เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากการล่มสลายของโลกยุคปฐมกาล ในอดีตเคยเป็นเทพเจ้าชื่อดังก็จริง แต่ภายหลังเกิดสงครามระหว่างเทพเจ้า ต้องเผชิญเคราะห์กรรมกลายเป็นเทพเจ้าเร่ร่อน ดินแดนในการดูแลลดจำนวนน้อยลงอย่างน่าใจหาย
เช่นเดียวกับจำนวนสาวกผู้ศรัทธา…
โดยเฉพาะเมื่อดูสภาพของชาวเผ่าจันทราขาวในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็พอจะคาดเดาได้ว่าเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างคงเหลือสาวกคุณภาพอยู่ไม่มากแล้ว
หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างที่ในอดีตเคยรุ่งโรจน์รุ่งเรือง บัดนี้ กลับกลายเป็นเทพเจ้ายาจกไปแล้วนั่นเอง
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างอยู่เล็กน้อย ก็ตัดสินใจไม่ได้ถามถึงไป๋ชินหยุน
เขาคาดเดาว่าเด็กสาวผู้นั้นน่าจะมีที่มาที่ไปไม่ต่างจากชาวเผ่าจันทราขาวเหล่านี้
ดีไม่ดี ไป๋ชินหยุนอาจจะเคยเป็นหนึ่งในชาวเผ่าด้วยซ้ำ
ถ้าหลินเป่ยเฉินจำไม่ผิด ไป๋ชินหยุนเคยบอกเขาว่าตนเองเป็นถึงองค์หญิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรทำนองนั้น นั่นหมายความว่าสถานะของนางไม่ต่ำต้อย
แล้วเด็กสาวชาวนาอย่างไป๋เสี่ยวเซียวจะไปรู้จักนางได้อย่างไร?
ย่อมไม่รู้จักกันอยู่แล้ว
ถามไปก็เสียเวลาเปล่า
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงยุติการเล่นเกมตอบคำถามลงชั่วคราว
เขาลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและขีดเขียนข้อความว่า ‘ในหมู่บ้านยังมีต้นกวนเจี๋ยตายซากอยู่อีกใช่หรือไม่ เจ้าพาข้าไปดูพวกมันหน่อย สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการชุบชีวิตพวกมันให้เร็วที่สุด หากชักช้าเกินไป ต้นกวนเจี๋ยเหล่านั้นอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ใครจะรู้?’
ไป๋เสี่ยวเซียวรีบกระโดดลุกขึ้นอย่างมีความสุข
นางจับมือหลินเป่ยเฉินและฉุดดึงเขาไปยังพื้นที่เพาะปลูกซึ่งเป็น ‘ดินแดนแห่งความหวัง’ ของชาวเผ่า
เหล่านักรบผู้คุ้มกันพื้นที่เพาะปลูกไม่กล้าขัดขวางหลินเป่ยเฉิน พวกเขาทําได้เพียงรายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าเผ่าและเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น
และตอนที่หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉาพร้อมด้วยเหล่าผู้อาวุโสเดินทางมาถึงพื้นที่เพาะปลูก พวกเขาก็ได้พบว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าสามารถชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยกลับคืนมาได้กว่า 200 ต้นแล้ว
“นี่มัน…”
หัวหน้าเผ่าและเหล่าผู้อาวุโสพูดอะไรไม่ออก
ทุกคนไม่รู้จะขอบคุณหลินเป่ยเฉินอย่างไรดี
ก่อนหน้านี้ ตอนที่คุณชายหลินชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยทั้ง 40 ต้นนั้นกลับคืนมา พวกเขาก็ทราบแล้วว่าน้ำยาวิเศษในขวดหยกเล็ก ๆ ใบนั้นคือสิ่งที่มีค่ามหาศาล แต่ชาวเผ่าก็ไม่กล้ารบกวนให้เด็กหนุ่มใช้น้ำยาเหล่านั้นชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยต้นอื่น ๆ อีก
เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าจะนำน้ำยาวิเศษเหล่านั้นมาช่วยชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยให้แก่ชาวเผ่าอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดเสียดายสักนิด
เหตุไฉนเขาถึงเป็นคนที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้?
หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉาได้ตัดสินใจแล้ว
หากหลินเป่ยเฉินมีเจตนาอยู่ร่วมกับชาวเผ่าต่อไป พวกเขาก็ยินดีอ้าแขนต้อนรับ แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะก่อปัญหาได้ในภายหลังก็ตาม
“อ้าว? หมดซะงั้น”
หลินเป่ยเฉินเขย่าขวดหยกใบเล็ก และพบว่าน้ำยาวิเศษที่อยู่ในนั้นได้หมดเกลี้ยงลงเสียแล้ว
บัดนี้ เขาเพิ่งจะชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยได้แค่สองในสามส่วนเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางใช้ความคิด
แค่นี้ยังเอาชนะใจชาวเผ่าไม่ได้หรอก
เด็กหนุ่มตีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ ใช้กิ่งไม้เขียนข้อความบนพื้นดิน ‘น่าเสียดายที่น้ำยาวิเศษในมือข้าหมดลงเสียแล้ว ดังนั้น ขณะนี้ข้าจึงไม่สามารถชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยได้อีก…’
ข้อความที่เรียบง่ายแต่จริงใจของหลินเป่ยเฉินทำให้ชาวเผ่ารู้สึกตื้นตันใจไม่ใช่น้อย
‘สหายจู ท่านต้องทำงานหนักแล้ว กรุณาตามพวกเราไปที่หอผู้อาวุโส ชาวเผ่าจันทราขาวจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณท่านสักเล็กน้อย…’ ไป๋ไห่เฉาเขียนข้อความเชิญชวนอย่างกระตือรือร้น
ชาวเผ่าคนอื่น ๆ ก็วิ่งมาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน และนำพาเขามุ่งหน้าไปยังใจกลางหมู่บ้านอีกครั้ง
ในเมืองจันทราขาวแห่งนี้ มีสถานที่สำคัญอยู่ด้วยกันสองแห่ง
แห่งแรกคือวิหารเทพเจ้า ซึ่งสามารถช่วยพวกเขาติดต่อกับผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
อีกแห่งหนึ่งก็คือหอผู้อาวุโส
นอกจากที่นี่จะใช้เป็นสถานที่นัดพบและประชุมเรื่องราวสำคัญในกลุ่มผู้อาวุโสแล้ว มันยังเป็นสถานที่สำหรับให้ชาวเผ่ารวมตัวกันยามมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอีกด้วย
…
เมืองโบราณกลางทะเลทราย
“สถานการณ์ไม่สู้ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จั่วเซียงเดินทางกลับมาถึงเขตกำแพงเมือง เสื้อคลุมของเขาเต็มไปด้วยคราบโลหิต “อาณาจักรทิศใต้มีสัตว์อสูรอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นแปดเผ่าพันธุ์ พวกมันมีความแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ม้า ตัวหัวหน้าฝูงล้วนมีระดับพลังเทียบเท่ากับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสี่ถึงระดับห้าทั้งสิ้น”
“ที่นั่นมีอาณาจักรโบราณอยู่กลางป่าหิน ขนาดของเมืองแห่งนั้นไม่แตกต่างไปจากเมืองของเราสักเท่าไหร่ แต่ผู้ครอบครองเมืองเป็นมนุษย์กิ้งก่าที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวจำนวนกว่าห้าพันตัว พวกมันมีภาษาเป็นของตนเอง เราไม่สามารถประมาทพวกมันได้เด็ดขาด…”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ หัวใจของเหล่าแม่ทัพใหญ่ก็กระตุกวูบ
ดินแดนแห่งนี้มีอันตรายมากกว่าที่คิด
องค์จักรพรรดิยังคงเยือกเย็น
สิ่งแรกที่พระองค์ท่านให้ความสนใจก็คืออาการบาดเจ็บของอัครเสนาบดีจั่วเซียง “เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง ไม่ทราบว่าท่านอัครเสนาบดีบาดเจ็บหนักหรือไม่ ทำไมถึงยังไม่รีบตามหมอหลวงมารักษาอีก…”
จั่วเซียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนส่ายศีรษะและประสานมือคำนับว่า “ฝ่าบาททรงไม่ต้องเป็นกังวล คราบโลหิตบนตัวกระหม่อมเป็นโลหิตของพวกสัตว์อสูร กระหม่อมไม่ได้บาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ…”
ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
พลัน จั่วเซียงสอบถามว่า “ไม่ทราบคุณชายหลินกับแม่ทัพเกากลับมาแล้วหรือยังพะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิทรงส่ายหน้าตอบ “พวกเขายังไม่กลับมา”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่แล้ว อัครเสนาบดีชราก็รายงานอย่างต่อเนื่อง “กระหม่อมได้ค้นพบความจริงบางอย่างที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับพวกเราไม่น้อย และเรื่องนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเราได้รับชัยชนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม รีบบอกมา”
องค์จักรพรรดิทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ทุกสายตาพลันจ้องมองมาที่จั่วเซียงเป็นจุดเดียว