บทที่ 978 บินไม่ได้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 978 บินไม่ได้

“กระหม่อมพบว่าสัตว์อสูรทุกชนิดไม่สามารถบินได้พ่ะย่ะค่ะ”

อัครเสนาบดีจั่วเซียงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่คือสิ่งที่แปลกประหลาดมาก ต่อให้เป็นสัตว์อสูรที่มีพลังเทียบเท่าขั้นเซียนระดับห้า พวกมันก็ทำได้เพียงกระโดดขึ้นไปในอากาศและลอยตัวอยู่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่พวกมันไม่สามารถบินได้เป็นเวลานานพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่สามารถบินได้อย่างนั้นหรือ?

ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง

นี่นับว่าเป็นข่าวดี

หากนี่คือเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่ากองทัพเป่ยไห่เริ่มค้นพบข้อได้เปรียบของตนเองบ้างแล้ว

สำหรับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียนนั้น เมื่อโคจรพลังลมปราณช่วยเหลือ ก็จะสามารถโบยบินบนท้องฟ้าได้ไม่ต่างจากวิหคตัวหนึ่ง…

และสัตว์อสูรที่อยู่ในดินแดนนี้ไม่สามารถบินได้ นั่นจึงหมายความว่านายทหารจากกองทัพเป่ยไห่สามารถบุกไปโจมตีพวกมันจากทางอากาศได้โดยไม่ต้องเสี่ยงสูญเสียกำลังพล

หากจัดการได้ถูกวิธี สงครามครั้งนี้ พวกเขาย่อมสามารถเอาชนะได้ด้วยกลยุทธ์ทางอากาศเช่นนี้เอง

องค์จักรพรรดิถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเริ่มคลายออกบ้างแล้ว

ในที่สุด ก็มีข่าวดีบ้างเสียที

นับตั้งแต่ที่รับทราบว่าการทำสงครามชิงอาณาจักรในครั้งนี้มีความยากมากกว่าระดับสาม องค์จักรพรรดิก็รู้สึกถึงลางร้ายในจิตใจที่ไม่ชัดเจน

องค์จักรพรรดิทรงทราบดีว่าการปรับเปลี่ยนระดับความยากในบททดสอบครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแผนการอันยิ่งใหญ่จากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

ในเวลานี้ กำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างที่โลกภายนอก?

เพียงคิด องค์จักรพรรดิก็ยังไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะองค์จักรพรรดิเกรงว่า กว่าที่พวกตนจะหาวิธีเอาชนะการประเมินครั้งนี้ได้สำเร็จ จักรวรรดิเป่ยไห่ก็อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงขึ้นแล้ว

แม้ว่าก่อนเดินทางเข้าสู่อาณาเขตสนธยา องค์จักรพรรดิและอัครเสนาบดีจั่วเซียงได้เตรียมแผนการรับมือความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นเอาไว้บ้างแล้ว

แต่มันก็เป็นแผนการที่เตรียมไว้รับมือแค่เฉพาะตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกากับจักรวรรดิจี้กวงเท่านั้น

หากยังมีกลุ่มคนอื่น ๆ แฝงตัวคอยแทรกแซงการประเมินลำดับจักรวรรดิอยู่อีก โอกาสที่จักรวรรดิเป่ยไห่จะผ่านการประเมินก็คงมีไม่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดถึงระดับความยากในการทำสงครามที่พวกตนเองต้องเผชิญ ผู้คนในกองทัพเป่ยไห่จำนวนมากก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที

แต่ถึงจะมีความหนักใจสักแค่ไหน องค์จักรพรรดิก็ไม่เคยแสดงออกมาทางสีหน้า

พระองค์ทรงรู้ดีว่ายามใดที่ตนเองเผลอทอดถอนใจหรือแสดงความซึมเศร้าออกมา ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารกล้าก็คงแตกสลายลงไม่เหลือชิ้นดี

“นอกจากสัตว์อสูรพวกนั้นจะบินไม่ได้แล้ว มนุษย์กิ้งก่าที่อยู่ในเมืองทิศใต้ ก็บินไม่ได้เหมือนกันใช่หรือไม่?”

องค์จักรพรรดิถามออกมาอีกครั้ง

จั่วเซียงส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “เรื่องนี้กระหม่อมไม่สามารถยืนยันได้พ่ะย่ะค่ะ เมืองของพวกมันมีม่านพลังแน่นหนา กระหม่อมไม่กล้าเข้าไปใกล้มากเกินไปด้วยกลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น”

ระหว่างที่พูดมาถึงตรงนี้ เกาเฉิงฮั่นผู้ออกไปสำรวจเมืองทางทิศเหนือก็เดินทางกลับมาถึงพอดี

แต่สภาพของเขานั้นแตกต่างจากสภาพเนื้อตัวเปื้อนเลือดของอัครเสนาบดีจั่วเซียงอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่ากระบี่ของเกาเฉิงฮั่นยังไม่ถูกชักออกมาจากฝักด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ผ่านการต่อสู้อันดุเดือดหลายครั้งหลายครา แต่ชุดสีขาวราวหิมะของเขากลับไม่แปดเปื้อนคราบสกปรกแม้แต่น้อย

แม่ทัพเกามีระดับพลังสูงล้ำกว่าจั่วเซียงหลายเท่า

แม้ว่าจั่วเซียงจะเป็นผู้มีพลังระดับเซียนเช่นกัน แต่หลายปีที่ผ่านมา ชายชราอุทิศตนให้แก่งานบริหารบ้านเมือง ทักษะในการต่อสู้จึงเริ่มเสื่อมถอยลงโดยไม่รู้ตัว

ในทางกลับกัน ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านไป เกาเฉิงฮั่นยังคงลงสู่สนามรบทำสงครามอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเขายังมีความสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉิน ได้รับประทานสมุนไพรวิเศษไปเป็นจำนวนมาก ระดับพลังในขณะนี้จึงสูงล้ำมากกว่าครึ่งปีที่แล้วหลายเท่าตัว

นี่คือช่องว่างและความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองคน

ข่าวที่เกาเฉิงฮั่นนำมาบอกเล่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับข่าวของจั่วเซียง

ในอาณาเขตแดนเหนือ สัตว์อสูรมีความดุร้ายป่าเถื่อน พวกมันแบ่งแยกออกเป็นเจ็ดเผ่าพันธุ์ ล้วนแต่มีความแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ม้าทั้งสิ้น

“พวกมันสามารถบินได้หรือไม่?”

หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์โหลวซานกวนอดถามออกมาไม่ได้

เกาเฉิงฮั่นยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า “ข้าก็เพิ่งอธิบายไปอย่างไรเล่าว่าพวกมันมีพลังในการต่อสู้แข็งแกร่งมาก ดังนั้น ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปสำรวจดูใกล้ ๆ แต่ไม่รู้เพราะอันใด ดูเหมือนว่าแม้แต่สัตว์อสูรที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับวิหค พวกมันก็ไม่สามารถบินบนท้องฟ้าได้เป็นเวลานานนัก…”

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ กลุ่มแม่ทัพใหญ่ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

นี่ก็นับว่าเป็นข่าวดีเช่นกัน

เกาเฉิงฮั่นยังคงรายงานต่อเนื่องว่า “พื้นที่แดนเหนือเต็มไปด้วยป่าไม้ตายซาก บึงน้ำแห้งแล้ง มองไปทางใดก็มีแต่หญ้าวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด อาณาจักรในแดนเหนือได้รับการปกครองโดยคนแคระกลุ่มหนึ่ง พวกมันมีรูปร่างหน้าตาเช่นมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่ผิวกายเป็นสีเขียวสด”

“คนแคระเหล่านี้มีจำนวนประชากรประมาณ 10,000 คน ระดับพลังของพวกมันไม่ต่ำต้อย กำลังพลส่วนใหญ่อยู่ในขั้นปรมาจารย์และยอดปรมาจารย์ทั้งสิ้น คนแคระตัวเขียวเหล่านี้มีความชำนาญเรื่องการใช้ธนูและหน้าไม้รวมถึงลูกดอกอาบยาพิษ คาดว่าคงจัดการได้ไม่ง่ายพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากหยุดเล็กน้อย แม่ทัพเกาก็กล่าวต่อ “พวกมันมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว มีภาษาเป็นของตนเอง และคงมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่อีกไม่น้อย กระหม่อมไม่กล้าเข้าไปสำรวจใกล้มากเกินไปด้วยไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะฉะนั้น ข้อมูลที่กระหม่อมรับทราบมาทั้งหมดจึงมีอยู่เพียงเท่านี้”

ผลการสำรวจจากผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสองท่านได้รับทราบเป็นที่ชัดเจนแล้ว

เมื่อองค์จักรพรรดิปรึกษาหารือกับกลุ่มแม่ทัพใหญ่ พวกเขาก็ทำได้เพียงรอคอยการกลับมาของหลินเป่ยเฉินเท่านั้น

นี่ก็ผ่านไปได้ชั่วยามหนึ่งแล้ว

หลินเป่ยเฉินยังคงไม่กลับมา

เขาคงไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายหรอกกระมัง?

บางคนเริ่มคิดด้วยความเป็นกังวล

นี่นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง

เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพเป่ยไห่ แม้แต่อัครเสนาบดีจั่วเซียงกับแม่ทัพเกาเฉิงฮั่นยังสามารถเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วเหตุไฉนคุณชายหลินถึงยังไม่กลับมา ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงอดคิดด้วยความเป็นกังวลไม่ได้

“ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้ว”

ทันใดนั้น เกาเฉิงฮั่นพูดออกมาหลังทอดสายตามองออกไปนอกป้อมปราการ

ทุกคนรีบวิ่งออกไปดูที่ด้านนอก

พวกเขากวาดล้างกองทัพมนุษย์ม้าหมดสิ้นไปแล้ว

ครั้งนี้จะเป็นตัวอะไรบุกมาโจมตีอีก?

ยิ่งผืนฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มมากเท่าไหร่ ในอากาศก็ยิ่งมีรังสีแห่งการฆ่าฟันหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น

เป็นไปตามคาด พื้นดินเริ่มเกิดความสั่นสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย

“พวกหมูป่าอสูรสองหัว…”

สีหน้าของจั่วเซียงปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นมาในฉับพลัน “พวกมันมีรังอยู่ห่างจากเผ่ามนุษย์ม้าไป 30 ลี้ ถือเป็นพวกสัตว์ที่มีพลังปราณธาตุดินโดยกำเนิด มีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกมนุษย์ม้า สิ่งที่กำลังจะมาหาพวกเรา… ย่อมต้องเป็นพวกมันแน่นอน”

“เตรียมคุ้มกันกำแพงเมือง”

องค์จักรพรรดิออกคำสั่งเสียงดังสนั่น

ไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่อาคม หรือลูกธนูจำนวนมาก ต่างก็เล็งไปยังพื้นที่ราบหน้ากำแพงเมืองเป็นจุดเดียว

สัตว์อสูรสีดำฝูงใหญ่กำลังวิ่งเข้ามา

พวกมันมีขนาดลำตัวเท่ากับลูกช้าง สิ่งที่น่าประหลาดก็คือพวกมันทุกตัวมีสองหัว เขี้ยวงอกยาวราวกับคมมีด ขนสีดำบนลำตัวแหลมแข็งไม่ต่างจากเข็มเหล็ก ถึงพวกมันจะไม่มีความรวดเร็วว่องไวเท่ามนุษย์ม้า แต่ก็สามารถพุ่งชนกระแทกได้รุนแรงมากกว่ากันหลายเท่า

หลังจากยิงธนูเวทย์มนต์ชุดแรกออกไป กองทัพเป่ยไห่ก็รู้ว่าการป้องกันของตนเองไร้ความหมายโดยทันที

เพราะว่าลูกธนูเจาะเกราะไม่สามารถทะลวงผิวหนังของเจ้าหมูป่าสองหัวพวกนี้ได้เลย ลูกธนูเหล่านั้นกระเด็นกระดอนกลับออกมาอย่างไร้ประสิทธิภาพ

ตู้ม!

ลูกกระสุนปืนใหญ่อาคมถูกยิงออกไป

“เป็นไปไม่ได้”

เหล่าแม่ทัพใหญ่บนกำแพงเมืองอุทานด้วยความตกตะลึง

แม้แต่ปืนใหญ่อาคมก็ยังไม่สามารถสังหารหมูป่าอสูรเหล่านี้ได้

อานุภาพการทำลายล้างของลูกกระสุนปืนใหญ่ทำให้หมูป่าอสูรหลายตัวหมุนตลบลอยขึ้นไปในอากาศ แต่เมื่อพวกมันตกลงมาอยู่บนพื้นดินอีกครั้ง ฝูงหมูป่าอสูรก็ยิ่งวิ่งตะบึงมาข้างหน้าด้วยความโกรธแค้นและดุร้ายมากกว่าเดิม มีพวกมันเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นล้มลงนอนแน่นิ่งอยู่กับที่ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส

เพียงพริบตาเดียว ม่านพลังหน้ากำแพงเมืองก็กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง

เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้วนิ่วหน้าและซัดพลังลมปราณออกไปอย่างต่อเนื่อง

พลังลมปราณปรากฏเป็นลำแสงวูบวาบ

เขาสามารถฆ่าหมูป่าอสูรสองหัวไปได้ 60 กว่าตัว

แต่ฝูงหมูป่ามีจำนวนมากเกินไป พวกมันวิ่งดาหน้าเข้าหาม่านพลังอย่างไม่ย่อท้อ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่การโจมตีจากผู้มีพลังขั้นเซียนอย่างเกาเฉิงฮั่นก็ยังไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้อย่างที่ควรจะเป็น

บรรดาผู้คนที่อยู่หลังกำแพงเมืองเริ่มรู้สึกตึงเครียดและกดดันขึ้นมาไม่น้อย

นี่เป็นเพียงการโจมตีของสัตว์อสูรชนิดที่สองเท่านั้น

แต่กองทัพเป่ยไห่ก็แทบต้านเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มร่างอ้วนนามเซียวปิงก็เก็บน่องไก่ย่างของตนเองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินมาที่หน้าป้อมปราการบนกำแพงเมืองอย่างแช่มช้าและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ให้กระหม่อมออกไปจัดการพวกมันดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”