บทที่ 1723 ข้าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก!

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

คนที่สามารถเป็นรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์ได้ ตงฟางเลี่ยก็ไม่ใช่คนที่ขาดประสบการณ์ความรู้ ส่วนเหตุใดจึงทำท่าทางเหลือเชื่อกับป้ายอักษรหินขนาดนี้ เป็นเพราะต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่ากลุ่มเป้าหมายที่หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะรับสมัครคือคนพวกนี้

บนป้ายอักษรหินเขียนคำว่า ‘รับสมัคร’ ตัวใหญ่ ส่วนข้างล่างเขียนว่า : หนิวผู้นี้เดิมทีเป็นนักพรตอิสระ ยืนอยู่บนโลกนี้อย่างยากลำบาก ตอนหลังโชคดีได้ทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ พอเริ่มประกอบกิจการรุ่งเรืองก็เจอคลื่นลม จึงไปขอพึ่งพาเป็นทหารเลวของตำหนักสวรรค์ จากนั้นสร้างผลงานจนเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ สะสมผลงานจนเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ แต่ก็เจออุปสรรคอีก ถูกย้ายไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่หน่วยองครักษ์ซ้าย จากนั้นสะสมผลงานจนได้เป็นแม่ทัพภาคหน่วยองครักษ์ซ้าย พอทำผิดก็ย้ายมาเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผี เลื่อนตำแหน่งลดตำแหน่งหลายครั้ง ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ขรุขระตลอดทาง ในระหว่างนั้นยากลำบากขนาดไหน คนนอกก็จินตนาการได้ ตอนนี้ได้รับอำนาจจากบัญชาสวรรค์ สามารถรับกำลังพลหนึ่งแสนจากสี่ทัพมาอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ ทว่าหนิวเข้าใจถึงความลำบากของทหารระดับต่ำอย่างลึกซึ้ง จึงตั้งใจวางป้ายไว้ตรงนี้ กำลังพลที่ต้องการรับเข้ามาจำกัดเพียงทหารระดับเทพแห่งภูผา เทพเจ้าเฝ้าประตู ผีหลักเมือง เทพแห่งผืนดินในสังกัดของสี่ทัพเท่านั้น ตำแหน่งสูงเกินนี้อย่ามารบกวน หนิวมิบังอาจคบผู้ที่มีฐานะสูงกว่า! ทุกประโยคคือความจริง มีอุดมการณ์ชัดเจน หากไม่รังเกียจที่ตลาดผีมีความรู้ตื้นเขิน หวังว่าผู้มีอุดมการณ์จากสี่ทัพจะมาสมัคร จำกัดเวลาภายในหนึ่งปีนี้ เลือกจ้างผู้ที่มีความสามารถ หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีรอด้วยความเคารพ!

สิ่งที่บรรยายไว้ตอนแรกคือประสบการณ์คร่าวๆ ของหนิวโหย่วเต๋อ คนที่พอจะเข้าใจต่างรู้ว่าในระหว่างนั้นหนิวโหย่วเต๋อผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้ตงฟางเลี่ยตกใจก็คือ นึกไม่ถึงว่าเป้าหมายในการรับสมัครของหนิวโหย่วเต๋อจะจำกัดอยู่ที่พวกเทพแห่งภูผา เทพเจ้าเฝ้าประตู เทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง ตั้งใจตัดคนที่ตำแหน่งสูงกว่านั้นออก ทหารยศต่ำพวกนี้จะนับเป็นทหารเกรียงไกรของสี่ทัพได้อย่างไรกัน?

เจ้าหนุ่มนี่บ้าไปแล้วสินะ? นี่เจ้าตั้งใจจะทำให้แพ้เดิมหรือเปล่า? ตงฟางเลี่ยสีหน้าเคร่งขรึม เขาย่อมรู้วว่าการเดิมพันนี้มีความหมายอย่างไรต่อฝ่าบาท ไม่อย่างนั้นกองทัพองครักษ์จะส่งคนมาด้วยตัวเองทำไม เขาเดินไปตรวจที่อีกหน้าหนึ่งของอักษรบนป้ายหิน พบว่าเนื้อหาของสองฝั่งเหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะมองหยางเจาชิงด้วยสายตาเย็นเยียบ

“นายท่านตงฟางปล่อยคนมาอ่านป้ายหินรับสมัคร เหลือคนเฝ้าไว้แค่สี่คนเท่านั้น!” หยางเจาชิงบอกเขา แล้วก็กุมหมัดคารวะหันตัวเดินจากไป

ตงฟางเลี่ยขมวดคิ้ว ทันใดก็ได้ยินเสียงฮือฮามาจากที่ไกลๆ จึงเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงผู้ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่ไกลๆ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์แล้ว อักษรบนป้ายหินสะดุดตาคั้งอยู่ตรงนี้ จะให้เล็ดรอดดวงตาอิทธิฤทธิ์ของนักพรตก็คงยาก

“รับสมัครแต่นักพรตระดับเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน เอ่อนี่…”

“หนิวโหย่วเต๋อนี่กำลังล้อเล่นใช่มั้ย? นี่ไม่ใช่วิ่งชนคำว่า ‘แพ้’ หรอกเหรอ?”

“นั่นก็ไม่แน่ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อเหมือนคนโง่เหรอ? อย่างมากก็บุ่มบ่ามไปหน่อย เขาทำอย่างนี้แปลว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรนหาที่ตาย?”

ผู้ติดตามของกองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เริ่มเดินวนอักษรบนป้ายหินพร้อมวิพากวิจารณ์แล้ว ตงฟางเลี่ยได้ยินแล้วตะลึง จึงจ้องอักษรบนป้ายหินอีกรอบ เขาเริ่มทำสีหน้าเข้าใจบ้างแล้ว เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้แล้วนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกก็ไม่เข้าใจ เขารีบหยิบระฆังดาราออกมา รายงานสถานการณ์ที่นี่ขึ้นไปเบื้องบน

หนึ่งในภารกิจที่เขามาที่นี่ก็คือดูว่าหนิวโหย่วเต๋อมีวิธีรับสมัครอย่างไร จะได้รายงานได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้ย่อมต้องรายงานทันที

ถึงแม้อักษรบนป้ายหินจะมีกองทัพองครักษ์กันไว้ แต่กลับไม่มีทางห้ามพวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องที่กำลังรวมตัวกันมากขึ้นอย่าต่อเนื่องตรงที่ไกลๆ ได้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเนื้อหาบนอักษรบนป้ายหินสร้างความฮือฮาขนาดไหน ข่าวแพร่กระจายเหมือนกระแสน้ำ ไม่นานทั้งตลาดผีก็เกิดเสียงตอบรับใหญ่โตเหมือนหม้อเดือด

“นายท่าน เรียบร้อยแล้วขอรับ” หยางเจาชิงกลับมารายงาน

เหมียวอี้ที่ยืนสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกอยู่ริมหน้าต่างบอกว่า “เห็นแล้ว” เขาหันกลับมาบอกอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันอีก “ฮูหยินรายละเอียดเรื่องสรรหาคนต้องส่งต่อให้เจ้าแล้ว” ตอนนี้ในมือเขาไม่ค่อยมีคนที่ใช้งานได้สักเท่าไร สรุปก็คือจะให้เขาถามตอบทุกคนที่เข้ามาสมัครด้วยตัวเองไม่ได้ เขาไม่วางใจกำลังพลกองทัพองครักษ์ของตงฟางเลี่ย กังวลว่าคนของวังสวรรค์จะอาศัยโอกาสนี้ปะปนเข้ามา แต่ในมืออวิ๋นจือชิวยังมีลูกน้องคนสนิทอยู่อีกกลุ่ม

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ข้าจะส่งต่อให้พวกช่างหินไปจัดการ”

สายตาเหมียวอี้ดูค่อนข้างล้ำลึก

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านกำลังคุยธุระกับแขก หลังจากชีเจวี๋ยเข้ามารอได้สักครู่ รอจนแขกกล่าวอำลาแล้ว ชีเจวี๋ยถึงได้รายงานว่า “เถ้าแก่ หนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้ว ตงฟางเลี่ยจากหน่วยองครักษ์ขวาคุ้มกันส่งมาที่นี่ด้วยตัวเอง คนของตระกูลโค่วถูกไล่ไปแล้ว”

เฉาหม่านจิบน้ำชาอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว”

ในขณะนี้เอง ชีเจวี๋ยที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ชะงักไป แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาฟังครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำสีหน้าตะลึงค้าง เห็นได้ชัดว่าเสียอาการแล้ว

เฉาหม่านเหลือบมองแวบหนึ่ง “เป็นอะไรไป?”

ชีเจวี๋ยดึงสติกลับมา จัดระเบียบความคิดแล้วรายงานว่า “หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครที่ประตูจวนแม่ทัพภาคขอรับ”

“อ้อ! เร็วขนาดนี้เลย เกรงว่านั่งยังไม่ทันก้นร้อนเลยกระมัง…” เฉาหม่านแปลกใจนิดหน่อย จากนั้นก็ชะงักอีก เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้จากปฏิกิริยาที่ผิดปกติของชีเจวี๋ย จึงถามว่า “หรือว่าป้ายหินรับสมัครมีอะไรคลาดเคลื่อน?”

“ป้ายหินรับสมัครจำกัดระดับผู้รับสมัคร ว่าไม่เอาทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ รับแค่กำลังพลระดับเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินเท่านั้น” ชีเจวี๋ยตอบ

“อะไรนะ?” เฉาหม่านทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “จะเป็นไปได้ยังไง ข่าวผิดหรือเปล่า?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “น่าจะไปผิดพลาดขอรับ บ่าวถามกลับไปแล้ว สายลับที่อยู่ตรงนั้นส่งข่าวมา คัดลอกอักษรบนป้ายหินมาทุกตัวอักษร แถมพอมีอักษรบนป้ายหินนี้ออกมา ด้านนอกก็เหมือนเคลื่อนไหวใหญ่โตมาก เหมือนนึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรับคนประเภทนี้”

เฉาหม่านอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง วางถ้วยน้ำชาลงช้าๆ แล้วยืนขึ้น เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา “เจ้าหนุ่มนี่เล่นลูกไม้อะไร ถ้ารับสมัครทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนไม่ได้ ต่อให้ได้กำลังพลหนึ่งแสนมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ตงฟางเลี่ยนำคนมาด้วยตัวเองแล้ว ถ้าเขากล้าทำให้การเดิมพันนี้แพ้ เกรงว่าตงฟางเลี่ยคงจะเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไป ส่วนทางประมุขชิง…” เสียงเขาเงียบไปกะทันหัน รีบเดินไปเปิดหน้าต่างออก มองไปทางจวนแม่ทัพภาค แล้วจู่ๆ ก็ตบช่องหน้าต่าง กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เรื่องราวเปิดโปงแล้ว ข้ายังจะเลอะเลือนอีก เหมือนเห็นผีเลย เรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้ทำไมข้านึกไม่ถึงตั้งแต่แรก!”

“เหตุใดเถ้าแก่คิดอย่างนั้น?” ชีเจวี๋ยก้าวเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ

“เฮ่อๆ…” เฉาหม่านส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แพ้แล้ว! เลือกอีกเส้นทางหนึ่ง ช่างเป็นวิธีที่อัศจรรย์ ทำไมเจ้าหนุ่มนั่นจึงคิดถึงสิ่งนี้ได้ ทำให้คนเหลือเชื่อจริงๆ พอใช้แผนนี้ เกรงว่าทุกคนที่เบิ่งตามองคงจะถูกเจ้าหนุ่มนั่นโจมตีอย่างสง่าผ่าเผยจนทำอะไรไม่ถูก ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์แพ้แล้ว ความพ่ายแพ้ถูกกำหนดไว้แล้ว เอาคืนไม่ได้แล้ว!”

ชีเจวี๋ยยังคงทำสีหน้าสงสัย “เถ้าแก่ บ่าชราโง่เง่า ไม่ทราบ…”

เฉาหม่านโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรอีก รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้ว

“อะไรนะ? กำหนดขอบเขต รับแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน แบบนี้นับว่าเป็นกำลังพลที่เกรียงไกรอะไรกัน? เจ้าลูกลิงนั่นคิดว่าข้าไม่กล้าตัดหัวเขาหรือไง?”

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร อู๋ฉวี่รีบร้อนเข้ามาหา รายงานความคืบหน้าการรับสมัครคนที่ตลาดผี ทำให้ประมุขชิงฟังจนเบิกตาโพลง ลุกขึ้นคำราม ความโมโหปะทุราวกับฟ้าผ่า เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดนปั่นหัว

“ฝ่าบาทระงับโทสะ เรื่องนี้อาจจะมีเงื่อนงำบางอย่าง ถามตงฟางเลี่ยไปก็ไม่มีประโยชน์ สั่งให้หนิวโหย่วเต๋อบอกเหตุผลมาโดยตรงเลยดีกว่าขอรับ” อู๋ฉวี่กกล่าว

“ฝ่าบาท!” ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันพลันกลอกตาล่อกแล่ก แล้วจู่ๆ ก็หันตัวมาคารวะประมุขชิง “ยินดีกับฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเด็ดแล้ว การเดิมพันนี้ฝ่าบาทชนะแน่นอน!”

ประมุขชิงกับอู๋ฉวี่งงทั้งคู่ ต่างก็รู้ว่าเขาไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าแน่นอน ตรงนี้ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นเป็นต้องกังวลว่าถามลูกน้องแล้วจะเสียหน้า ประมุขชิงหายโกรธลงเล็กน้อย ขมวดคิ้วถามว่า “แผนเด็ดตรงไหน?”

ซ่างกวนชิงอมยิ้มพลางชี้แนะ “สี่ทัพดูเหมือนถูกสี่อ๋องสวรรค์ควบคุมไว้เข็มงวด ทว่าพวกที่หลอกลวงเบื้องบน ระรานเบื้องล่างมีเยอะมาก ต่างคนต่างทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน คนที่วรยุทธ์อ่อนแอ คนที่หดหู่ท้อแท้เพราะโดนข่มไม่ให้แสดงความสามารถมีเยอะมาก ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แน่นอนขอรับ!”

“อืม…” ประมุขชิงเอามือขยี้เคราเงียบๆ นานมาก แต่กลับเริ่มตาลุกวาวทีละนิด แล้วจู่ๆ ก็ลูบไม้ลูบมือหัวเราะลั่น “แผนเด็ด เป็นแผนเด็ดจริงๆ!”

อู๋ฉวี่เข้าใจกระจ่างในฉับพลันเช่นกัน

ประมุขชิงพลันโบกมือชี้เขา “ข้ามีโอกาสชนะอยู่ในมือ จะให้คนชั่วไร้ยางอายมาก่อกวนไม่ได้เด็ดขาด ถ่ายทอดคำสั่งต่อตงฟางเลี่ย จะต้องรักษาความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อให้ดี อย่าให้มีความผิดพลาดอะไร!”

“รับทราบ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับบัญชา

“ข้าอยากจะเห็นว่าตาแก่สี่คนนั่นจะหน้าดำคร่ำเครียดขนาดไหน! ฮ่าๆๆ…” ประมุขชิงเงยหน้าหัวเราะลั่น ท่าทางสะใจมาก

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว

โค่วเจิงเดินตรงเข้ามาในเขตต้องห้าม กวาดสายตามองไปรอบๆ สายตาไปหยุดอยู่บนตัวโค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนที่เดินอยู่ในป่าไผ่ด้านข้าง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไป

ถังเฮ่อเหนียนย่อตัวคำนับเล็กน้อย  “คุณชายใหญ่มาแล้ว”

โค่วเจิงกุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวไปบอกโค่วหลิงซวี “ท่านพ่อ ตำหนักนารีสวรรค์ออกคำสั่งให้คนที่อยู่ฝั่งตลาดผีถอยออกมาแล้วขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว” โค่วหลิงซวีพยักหน้า บอกใบ้ว่ากำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่

โค่วเจิงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครนอกประตูจวนแม่ทัพภาค ทำให้เกิดเสียงฮือฮาไม่น้อย”

“อ้อ เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?” โค่วหลิงซวีรู้สึกผิดคาด ถามว่า “บอกอะไรไว้บ้าง?”

“ค่อนข้างแปลกขอรับ บนป้ายหินกำหนดขอบเขตไว้ บอกว่าไม่เอาทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ต้องการแค่พวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน…” โค่วเจิงรายงานเนื้อหาบนป้ายหินให้ฟังคร่าวๆ ขณะเดียวกันก็ยื่นแผ่นหยกที่คัดลอกทุกตัวอักษรให้

“…” โค่วหลิงซวีไม่ได้รับแผ่นหยก แต่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเจือความสงสัย

ถังเฮ่อเหนียนยื่นมือรับแผ่นหยกมาแทน ขณะกำลังอ่านแผ่นหยกพลางครุ่นคิด จู่ๆ ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว หลุดอุทานว่า “แย่แล้ว! ท่านอ๋อง…”

โค่วหลิงซวียกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ สี่หน้าดูค่อนข้างแย่ ท่ามกลางสายตาสอบถามของโค่วเจิง จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นมากุมอก พลางร้องว่า “ข้าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก!”

ถังเฮ่อเหนียนถือแผ่นหยกพร้อมกุมหมัด “ท่านอ๋องทำให้ให้สบาย ก็แค่ตำแหน่งโหว ไม่จำเป็นต้องจริงจังเกินไป!”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้าอย่างยากลำบาก ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ข้าไม่ได้เจ็บปวดเพราะเสียดายตำแหน่งโหวตำแหน่งเดียว แค่เสียดายที่ตัวเองมีตาหามีแววไม่ เสียทหารชั้นดีไปแล้วหนึ่งคน!”

โค่วเจิงไม่ค่อยเข้าใจ จึงมองถังเฮ่อเหนียน “ท่านอาถัง?”

“หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเด็ดแล้ว!” ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าอย่างเสียดาย แล้วอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในเขตต้องห้าม มีเสีนงก๊อกแก๊กดังชัดเจน ในระหว่างนั้นมีเสียงกระเด็นกระดอนปะปน

อิ๋งอู๋หม่านที่นั่งเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนบิดารู้สึกดีใจมาก หลังจากเขาเริ่มเข้าประชุมราชสำนักแทนตระกูลอิ๋ง ท่าทีของบิดาที่มีต่อเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่เชิญเขาให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกัน ทว่าพอจั่วเอ๋อร์รายงานเรื่องหนิวโหย่วเต๋อวางป้ายรับสมัครทางตลาดผีแล้ว หลังจากท่านบิดาขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์โกรธ คว้าชามหมากทุ่มกระจายเต็มพื้น หมากในชามกระเด็นบนพื้นมั่วไปหมด เขาตกใจจนรีบลุก ทั้งหวาดกลัวทั้งหวั่นเกรง

…………………………