เซียวจางลืมตาขึ้นอย่างง่วงซึม เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของชาวบ้านรอบกายเขาก็รู้สึกประหลาดทีเดียว
ในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียร เขาเป็นแค่คนบ้าการต่อสู้เท่านั้น คนพวกนั้นหวาดกลัวเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีคนนับถือและต้องการจะปกป้องเขา
ในตอนนั้นเขาแค่พูดว่าชาป่าฤดูหนาวของเมืองเฟิ่งหยางรสดีก็เพราะเขารู้สึกว่ามันดีกว่าชาต้าหงเผาที่เหลียงหวังซุนชอบดื่มหลายเท่า เขาเคยคิดว่าจะนำผลประโยชน์มาให้คนที่อยู่ในเมืองอันห่างไกลนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แต่ตอนนี้พวกชาวบ้านที่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะเหลือบแลกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ถึงแม้พวกเขาจะรู้ตัวว่าอาจต้องตาย มือสั่นเทาแต่ก็ไม่ยอมจากไป
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่านอกเหนือไปจากการต่อสู้ที่เขาพึงพอใจอย่างมากแล้ว ก็ยังมีบางเรื่องที่เขาได้ทำลงไปในที่ชีวิตนี้ซึ่งนับได้ว่าน่าพึงพอใจ
ยกตัวอย่างเช่นการที่เขาช่วยหวังผ้อจากแม่น้ำลั่วกลางพายุหิมะ และเขาได้พูดไม่กี่คำเกี่ยวกับชาฤดูหนาวที่เติบโตในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
……
……
ธรรมชาติที่เรียบง่ายแต่รุนแรงของเฟิ่งหยางแสดงออกมาเหลือล้นในตอนนี้
ผู้คนที่แออัดอยู่บนบันไดตรงหน้าป้อมเจ็ดสมบัติและฝูงชนที่ส่งเสียงตะโกนอยู่รอบนอกล้วนเป็นหลักฐานอย่างดี
แต่ยอดฝีมือและหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของราชสำนักยังไม่เคลื่อนไหว
สีหน้านักพรตชุดน้ำเงินไร้ซึ่งอารมณ์อันใด
ในสายตาพวกเขา ทั้งเซียวจางและผู้คนของเมืองเฟิ่งหยางก็ไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ
นักพรตเดินขึ้นบันไดไป
ในอีกไม่นานแม่น้ำเลือดจะไหลรินและคนมากมายจะตายลงในเมืองเฟิ่งหยาง
นักพรตชุดน้ำเงินไม่สนใจ ไม่ว่าจะมีคนตายมากแค่ไหน ก็แค่อธิบายด้วยคำว่า ‘พวกก่อความไม่สงบ’ เท่านั้นเอง
น่าเศร้าที่ผู้คนเหล่านี้กับเจ้าหน้าที่ดูแลจะต้องตายในไม่ช้า
เจ้าหน้าที่ดูแลเมืองเฟิ่งหยางย่อมเป็นผู้ว่าการมณฑล โชคดีที่เพื่อเตรียมงานเลี้ยงน้ำชาในวันพรุ่งนี้ เหล่าเจ้าหน้าที่ของเมืองเฟิ่งล้วนมาถึงแล้ว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ คนที่จะรับผิดชอบในตอนท้ายก็คือผู้ว่าการมณฑล
ผู้ว่าการมณฑลย่อมไม่ปล่อยให้เกิดแม่น้ำเลือดไหลริน
ผู้ว่าการมณฑลเมืองเฟิ่งเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสดใน ขมับมีผมขาวประปราย แผ่กลิ่นอายที่สูงสง่าอยู่บ้าง
เขาประสานมือคำนับให้นักพรต “ท่านนักพรต โปรดรอสักครู่”
นักพรตชุดน้ำเงินเหล่านี้ย่อมรู้ว่าเขาเป็นหุ่นเชิดของเซียงอ๋อง จึงยอมหยุดเพราะคำพูดของเขาแม้ว่าสีหน้าจะยังคงไม่แยแสตามเดิม
“เจ้าพวกโง่แค่อยากแสดงความกล้าชั่วคราวแต่พวกเจ้าจะจบลงด้วยการทำผิดต่อเด็กและคนชราในเมืองเฟิ่งหยางของข้า!”
ผู้ว่าการมณฑลมองไปที่พ่อค้าชาและชาวบ้านบนบันไดหิน สีหน้าดุดันในยามที่ตำหนิ “เซียวจางที่พวกเจ้าต้องการปกป้องเป็นใครกัน คนบ้าที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา! คนแบบเขาจะมีเจตนาดีกับพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ในตอนนั้นเขาก็แค่พูดไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพวกเจ้าจะยอมถวายชีวิตให้เขาไปทำไม”
คนผู้หนึ่งตะโกนออกมาจากฝูงชน “ตอนนี้ชาของพวกเราขายดีมาก ทุกคนได้ประโยชน์ เราไม่ควรขอบคุณเขาหรอกหรือ”
ผู้ว่าการมณฑลตอบกลับไปอย่างหนักแน่น “สาเหตุที่ชาป่าเมืองเฟิ่งหยางของข้าขายดีเป็นเพราะราชสำนักสร้างท่าเรือ ทำให้พ่อค้าสามารถส่งออกสินค้าและถึงกับรับชาเป็นเครื่องบรรณาการ หากพวกเจ้าอยากขอบคุณใคร ก็ควรขอบคุณราชสำนัก ไม่ใช่อาชญากรที่ราชสำนักต้องการตัว!”
ฝูงจนกระวนกระวายขึ้นมา พวกเขาเริ่มพูดคุยกันในกลุ่ม แม้พวกเขาจะยังไม่กระจายตัวไป แต่ก็ไม่ขึงขังเช่นแต่ก่อน
เซียวจางหรี่ตามองไปที่ผู้ว่าการมณฑลแล้วกล่าว “เจ้ามีทักษะการใช้ปากดีทีเดียว”
ผู้ว่าการมณฑลกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น “เจ้าไม่อาจข่มขู่ขุนนางผู้นี้ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก หากเจ้าไม่อยากฟังคำพูดข้าก็ฆ่าข้าเสีย”
เซียวจางกล่าว “ในอดีต เจ้าคงตายไปแล้วในตอนนี้”
ผู้ว่าการมณฑลจ้องไปยังกระดาษขาวบนใบหน้าของเขาแล้วตวาด “ข้าตายแล้วจะทำไม ข้าจากโลกนี้ไปอย่างไม่ผิดต่อมโนธรรม การตายในขณะที่พูดเพื่อประชาชนนั้นเป็นการตายที่คุ้มค่า แต่เจ้าก็แค่อาชญากรที่ราชสำนักต้องการตัวซึ่งรู้จักแต่รังแกคนอ่อนแอเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์เท่านั้น! เลวร้ายเกินเยียวยาต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่อาจล้างความผิดของเจ้าได้!”
……
……
“เซียวจางเป็นคนใจร้อน มียอดฝีมือบางคนตายในมือเขา เขาไม่อาจนับว่าเป็นคนดีได้จริงๆ แต่รังแกคนอ่อนแอเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์… นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำหรือคิดจะทำ เขาถือว่ามันต่ำเกินไปสำหรับตัวเขา”
ฮู่ซานสือเอ้อร์กระซิบบอกเฉินฉางเซิงในฝูงชน
วันนี้ยอดฝีมือและหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์มากมายของราชสำนักมาถึงเมืองเฟิ่งหยาง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกนักพรตชุดน้ำเงินเหล่านั้น
หากเรื่องเป็นไปตามที่คาด เซียวจางอาจตายไปจริงๆ
ฮู่ซานสือเอ้อร์กระซิบบอกเฉินฉางเซิง พลางมองดูสีหน้าเขา ด้วยต้องการจะรู้ว่าสังฆราชคิดอะไรอยู่
ในตอนนี้สิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ก็คือพวกเฉินฉางเซิง
ในตอนนี้ฮู่ซานสือเอ้อร์พลันตระหนักว่าเจ๋อซิ่วที่อยู่ใกล้สังฆราชตลอดเวลาไม่ได้อยู่แถวนี้อีกต่อไป
“เจ้าไม่เข้าใจพวกเรา ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนั้น อย่าว่าแต่มองตาเขาตอนที่พูดเลย”
ถังซานสือลิ่วชี้ออกไป “เห็นไหม เจ๋อซิ่วออกไปโดยไม่จำเป็นต้องมองตาเขาด้วยซ้ำ”
ในตอนแรกฮู่ซานสือเอ้อร์ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแตกชัดเจนมาจากบันไดหิน
……
……
ถึงตอนนี้ราชสำนักไล่ลาเซียวจางมานานสามปีแล้ว ผู้ไล่ล่ามีการสับเปลี่ยนตัวอยู่ตลอด แต่นอกจากมือสังหารจากหอความลับสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในเงามือดแล้ว กำลังหลักนั้นมาจากกรมราชทัณฑ์
ยอดฝีมือจากกรมราชทัณฑ์หลายคนกระจายตัวอยู่ในฝูงชนและขวางทางหนีของเซียวจางเอาไว้ พวกเขาปลดโซ่ออกและโยนเข้าใส่เซียวจาง
เมื่อเทียบกับคนงานทางการทั้งหกจากคนห้าชนิดของตระกูลถัง ยอดฝีมือกรมราชทัณฑ์มีฝีมือในการใช้โซ่ด้อยกว่าและมีปราณชั่วร้ายน้อยกว่ามาก แต่สามารถมองเห็นได้ว่ามีพลังที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
เซียวจางแทบจะยืนให้มั่นไม่ไหว ดังนั้นเขาย่อมไม่มีแรงจะหลบโซ่พวกนี้
เมื่อเขาไม่สามารถหลบ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่หลบ
ถึงแม้เขาจะไม่สามารถหลบก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถต่อสู้ได้
เขาหลับตาคิดว่าจะใช้วิชาใดในการสังหารนักพรตชุดน้ำเงินสักคนหนึ่งหลังจากนั้นก็จะโดดลงไปในแม่น้ำ
ต่อให้เขาต้องตาย เขาก็อยากตายให้สมชื่อ ตายอย่างหยิ่งผยอง
แต่เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงโซ่อันเย็นเยียบและหนักอึ้งพันรอบลำคอ ได้ยินแค่เสียงดังก้อง
เสียงนั้นเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการกระทบกันของโลหะ แต่มันก็เป็นเสียงที่ขาดออกอย่างชัดเจนเหมือนกับเสียงโลหะขาดออก
เขาลืมตาขึ้นและเห็นเศษโลหะลอยอยู่ในอากาศ เป็นภาพที่งดงามอย่างคาดไม่ถึง
ในส่วนลึกของเศษโลหะพวกนั้นเป็นรอยที่เหลือไว้จากอาวุธที่แหลมคมอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีอาวุธใดให้เห็น
พวกนักพรตชุดน้ำเงินเห็นโซ่ในมือของเหล่ายอดฝีมือจากกรมราชทัณฑ์ขาด นัยน์ตาของพวกเขาก็หดลงและพุ่งขึ้นบันไดหินไป
พวกเขาไม่สนใจปราณรุนแรงที่ตัดโซ่พวกนั้นขาด เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนยิ่ง ‘ฆ่าเซียวจาง’
ประกายกระบี่หม่นมัวหลายสายพุ่งเข้าใส่เซียวจางจากแง่มุมที่แปลกประหลาดยิ่ง
นักพรตพวกนี้มาจากอารามฉางชุนในลั่วหยาง พวกเขาฝึกวิชาเต๋าที่ดั้งเดิมที่สุดของนิกายหลวง ในบางแง่มุมพวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักของเฉินฉางเซิง อย่างไรก็ตาม บางทีเป็นเพราะอารามฉางชุนได้ใช้เวลาอยู่ในเงามืดของประวัติศาสตร์มากเกินไป ประกายกระบี่ของพวกเขาจึงประหลาดกว่าและยากหยั่งถึงยิ่งกว่า
แต่กระบี่ของพวกเขาก็ยังไม่อาจที่จะแทงเซียวจางจนตายได้
เสียงติงของโลหะกระทบกันดังขึ้นอีกครั้งเหนือบันไดหิน
รอยที่มองไม่เห็นแต่ลึกอย่างยิ่งตัดผ่านแสงตะวันยามเช้า ทิ้งไว้แต่รูปร่างเลือนรางในอากาศที่คล้ายกับกรงเล็บหมาป่า