ฝุ่นผงสงบลงและร่างของเจ๋อวิ่วก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเซียวจาง
เขาสามเสื้อผ้าแค่ชั้นเดียว แขนเสื้อกับกางเกงถูกตัดจนสั้น จึงไม่อาจปกปิดขนที่แหลมดุจเข็มที่ยื่นออกมาจากผิวหนังของเขาได้
ปลายนิ้วทั้งสิบของเขามีเล็บอันแหลมคมและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ส่องประกายแสงเย็นเยียบที่ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลัว
สิ่งที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่าก็คือใบหน้าอันปกคลุมไปด้วยขนยาว ฟันแหลมคมเช่นเดียวกับกรงเล็บ ดวงตากลายเป็นสีแดงเลือด
เห็นภาพนี้ฝูงชนก็ระเบิดเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ถอยออกไปเป็นระลอกคลื่นราวกับกำลังหนีเอาชีวิต
เจ๋อซิ่วไม่สนเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ดวงตายังคงจับจ้องไปที่นักพรตชุดน้ำเงิน
นักพรตชุดน้ำเงินพวกนี้แข็งแกร่งอย่างมาก และที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือพวกเขาล้วนอันตรายอย่างยิ่ง
พลังไม่ได้หมายความว่าอันตราย ไม่มีใครเข้าใจหลักการนี้ยิ่งไปกว่าเจ๋อซิ่วอีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเล ที่จะกลายร่างบ้าคลั่งตั้งแต่แรก เผชิญหน้ากับศัตรูด้วยสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
……
……
กระบี่เต๋าหลายเล่มส่งเสียงครืนๆ สั่นไหวด้วยความเร็วสูงอยู่ใต้แสงตะวันยามเช้า
นักพรตชุดน้ำเงินมองไปที่เจ๋อซิ่วและขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกเขาไม่ลงมือโจมตีหรือพูดอะไร
แม้ว่าเจ๋อซิ่วจะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการต่อสู้ในทุ่งหิมะชายแดนเหนือ เขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของต้าโจว
นักพรตพวกนี้แค่เหลือบมองก็จำได้ว่าเขาคือยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากเผ่าหมาป่า
วั่วฟูเจ๋อซิ่วเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่อันตรายที่สุด
นี่เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไป แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาจะไม่ได้แสดงถึงประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวและความเพียรในการต่อสู้ก็ตาม
หากเจ๋อซิ่วยืนกรานจะปกป้องเซียวจาง วันนี้ก็ต้องเกิดการต่อสู้อันยากลำบากและอาจจะถึงขั้นอาบเลือดขึ้น
แต่พวกนักพรตชุดน้ำเงินเหล่านี้ก็แค่เป็นกังวลเท่านั้น ไม่ได้หวาดกลัว
พวกเขาสามารถสรุปได้ว่าเจ๋อซิ่วไม่อาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์สุดท้ายได้ เซียวจางต้องตายอยู่ดี
พวกเขาหยุดลงไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเจ๋อซิ่ว หากแต่เพราะพวกเขารู้ว่าตอนที่เจ๋อซิ่วออกจากทุ่งหิมะเขาก็ได้ติดตามคนผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา
ดังที่คาดไว้ ฝูงชนด้านล่างเปิดทางออกด้านข้างเป็นระลอกคลื่น
เฉินฉางเซิงเดินขึ้นบันไดหิน
ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหยางกลายเป็นเงียบงันอย่างที่สุด
ไม่มีใครจำหน้าเฉินฉางเซิงได้แต่ทุกคนในต้าโจวล้วนเป็นผู้ศรัทธาในนิกายหลวง ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะจดจำไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาไม่ได้
แล้วใครกันในดินแดนต้าลู่ที่มีสิทธิ์จะถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์
ในที่สุดก็มีบางคนได้สติกลับมาและส่งเสียงอุทานที่ทำให้ทุกคนในเมืองเฟิ่งหยางได้สติกลับคืนมาจากการตะลึงงัน
ฝูงชนคุกเข่าลงกับพื้นและกราบเฉินฉางเซิงเป็นระลอกคลื่น เสียงเคารพนับถือจำนวนนับไม่ถ้วนผสานรวมกันกลายเป็นเสียงดังปานฟ้าร้อง
“ถวายบังคมองค์สังฆราช”
เฉินฉางเซิงมาถึงข้างกายเจ๋อซิ่ว จากนั้นก็หันหน้าไปหานักพรตชุดน้ำเงิน
นักพรตพวกนั้นก็ก้มกราบเฉินฉางเซิงเช่นกัน สีหน้าแสดงความเคารพนับถือ ไม่มีความไม่ยินยอมบนใบหน้า
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
พวกเจ้าหน้าที่และยอดฝีมือจากกรมราชทัณฑ์ก็ก้มกราบเช่นกัน
เฉินฉางเซิงหันไปหาเซียวจาง เมื่อเขาเห็นกระดาษขาวอันมอมแมมบนนั้นก็นึกไปถึงครั้งแรกที่พบกันในเมืองสวินหยาง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง
แม้แต่ตอนนี้เขาก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้ว่าการมณฑล
ผู้ว่าการมณฑลมีสีหน้าซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ยกชุดขุนนางขึ้นและคุกเข่าลงกราบ
เซียวจางไม่ได้คุกเข่าเพราะเขาไม่มีแรง แน่นอนต่อให้เขามีกำลังเต็มเปี่ยม เขาก็ไม่คุกเข่าให้เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชมานานสามปีแล้ว เกียรติยศของเขาในต้าลู่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการปรากฏขึ้นอีกครั้งในช่วงไม่นานมานี้และเรื่องของยาจูซา
ในสายตาเซียวจาง เขายังคงเป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ซึ่งมีนิสัยเด็ดเดี่ยวพอตัวแต่ก็น่าเบื่อและไม่น่าสนใจเช่นเดียวกับหวังผ้อที่เขาได้พบเจอในเมืองสวินหยาง
สรุปแล้วเขาเห็นว่าเฉินฉางเซิงเป็นแค่คนรุ่นเยาว์ แล้วทำไมต้องคุกเข่าให้ด้วย
เซียวจางถาม “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าแค่บังเอิญผ่านมา”
นี่เป็นย่อมข้ออ้าง ไม่มีใครยอมเชื่อมัน
เซียวจางถาม “เจ้าต้องการจะทำอะไร”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าต้องการจะอภัยโทษให้กับท่าน”
หลังจากกล่าวเช่นนี้เขาก็ยกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ขึ้น
ตอนนี้ทั้งหมดที่เซียวจางต้องทำก็คือคุกเข่า จากนั้นเขาก็จะให้ปลายยอดของไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แตะศีรษะของเซียวจางสามครั้ง และพิธีอภัยโทษก็จะเสร็จสิ้นลง
“ช้าก่อน!” ผู้ว่าการมณฑลสะกดความกลัวในใจและถามด้วยเสียงสั่น “พระราชวังหลีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนักตั้งแต่เมื่อไหร่”
ตามกฎหมายของต้าโจวและกฎเก่าแก่ที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ พระราชวังหลีย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง
เฉินฉางเซิงมองไปที่ผู้ว่าการมณฑลในที่สุด แต่ก็ยังไม่พูดกับเขาอยู่ดี
“ตามกฎหมายการลงทัณฑ์ของต้าโจว นอกเหนือจากความผิดฐานกบฏแล้ว องค์สังฆราชมีสิทธิ์ที่จะให้การอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษได้”
ฮู่ซานสือเอ้อร์มาถึงตั้งแต่เมื่อใดไม่ราบ เขามองไปยังผู้ว่าการมณฑลด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายและกล่าว “เจ้าสอบได้ที่เท่าไรในการสอบใหญ่ถึงไม่รู้แม้แต่เรื่องนี้”
หน้าของผู้ว่าการมณฑลเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดผิดปกติ เขารู้กฎดีทั้งของนิกายและราชสำนักต้าโจว ดังนั้นย่อมรู้ว่าสังฆราชมีสิทธิ์ที่จะอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษ กระนั้นก็ตาม อดีตสังฆราชไม่เคยใช้สิทธิ์นี้แม้แต่ครั้งเดียวในช่วงที่ดำรงตำแหน่งหลายศตวรรษ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่อำมาตย์ในราชสำนักก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
คำพูดที่เขากล่าวก่อนหน้านี้เปี่ยมไปด้วยกำลัง เสียงดังฟังชัด และในตอนนี้ก็กำลังสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ
“เจ้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจล้างความผิดของเจ้าได้”
“ดังนั้นเจ้าจึงชั่วร้ายเกินอภัย”
ทว่าไม่นานหลังจากเขากล่าวคำพูดนี้ สังฆราชก็ปรากฏกายและกล่าวว่าต้องการจะอภัยโทษให้กับความผิดของเซียวจาง
นี่คือสิทธิพิเศษของสังฆราช ‘ต่อให้การตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจล้างความผิดของเจ้าได้ ต่อให้เจ้าชั่วร้ายเกินอภัย แต่ถ้าหากข้าต้องการจะอภัยให้เจ้า เจ้าก็ไร้ซึ่งความผิดบาป’
ถังซานสือลิ่วก็มาแล้ว ชี้ไปที่นักพรตชุดน้ำเงินแล้วกล่าว “หากนิกายหลวงไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชสำนัก แล้วเหตุใดนักพรตจากอารามฉางชุนถึงได้เข่นฆ่าผู้คนบนถนน ใต้เท้าผู้ว่าการ ทำไมไม่จับคนพวกนี้และส่งเข้าเรือนจำก่อนเล่า”
นักพรตชุน้ำเงินดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอันใด แต่สีหน้าของผู้ว่าการมณฑลย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
ในตอนนั้นเองเซียวจางพลันพูดขึ้น “ข้าไม่มีทางคุกเข่าให้เจ้า”
หากเขาปฏิเสธจะคุกเข่า แล้วพิธีอภัยโทษจะเสร็จลงได้อย่างไร
ไม่มีใครคาดคิดว่าตอนที่เรื่องดูเหมือนจะถูกแก้ไขแล้ว ก็มีปัญหาใหม่ผุดขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วเตรียมที่จะพูดอย่างรุนแรงกับเซียวจางแต่กลับถูกเฉินฉางเซิงห้ามไว้
“ข้าสามารถยืนให้สูงขึ้นไปหน่อยก็ได้แล้ว”
เฉินฉางเซิงเดินขึ้นบันไดไปอีกสองสามขั้นแล้วก็หันกลับมา
เขาตอนนี้อยู่สูงกว่าเซียวจางขึ้นไปสองสามขั้น เป็นความสูงที่พอดิบพอดี
ไม่จำเป็นต้องให้เซียวจางคุกเข่า เขาก็สามารถยกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ยืนมันตรงออกไปและสัมผัสกับศีรษะของเซียวจาง
ปลายไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สัมผัสกับศีรษะของเซียวจางสามครั้งอย่างไร้เสียง พิธีการก็จบลง
นับจากเริ่มต้นจนจบ เซียวจางไม่พูดอะไรไม่มีใครมองเห็นสีหน้าเขาใต้กระดาษขาว เขาตกตะลึงหรือขุ่นเคืองกันแน่
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถูกศีรษะพลางเอ่ย “คันแฮะ”