ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 46 ข้าสามารถยืนให้สูงกว่านี้อีกหน่อย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ฝุ่นผงสงบลงและร่างของเจ๋อวิ่วก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเซียวจาง

เขาสามเสื้อผ้าแค่ชั้นเดียว แขนเสื้อกับกางเกงถูกตัดจนสั้น จึงไม่อาจปกปิดขนที่แหลมดุจเข็มที่ยื่นออกมาจากผิวหนังของเขาได้

ปลายนิ้วทั้งสิบของเขามีเล็บอันแหลมคมและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ส่องประกายแสงเย็นเยียบที่ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลัว

สิ่งที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่าก็คือใบหน้าอันปกคลุมไปด้วยขนยาว ฟันแหลมคมเช่นเดียวกับกรงเล็บ ดวงตากลายเป็นสีแดงเลือด

เห็นภาพนี้ฝูงชนก็ระเบิดเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ถอยออกไปเป็นระลอกคลื่นราวกับกำลังหนีเอาชีวิต

เจ๋อซิ่วไม่สนเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ดวงตายังคงจับจ้องไปที่นักพรตชุดน้ำเงิน

นักพรตชุดน้ำเงินพวกนี้แข็งแกร่งอย่างมาก และที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือพวกเขาล้วนอันตรายอย่างยิ่ง

พลังไม่ได้หมายความว่าอันตราย ไม่มีใครเข้าใจหลักการนี้ยิ่งไปกว่าเจ๋อซิ่วอีกแล้ว

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเล ที่จะกลายร่างบ้าคลั่งตั้งแต่แรก เผชิญหน้ากับศัตรูด้วยสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

……

……

กระบี่เต๋าหลายเล่มส่งเสียงครืนๆ สั่นไหวด้วยความเร็วสูงอยู่ใต้แสงตะวันยามเช้า

นักพรตชุดน้ำเงินมองไปที่เจ๋อซิ่วและขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกเขาไม่ลงมือโจมตีหรือพูดอะไร

แม้ว่าเจ๋อซิ่วจะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการต่อสู้ในทุ่งหิมะชายแดนเหนือ เขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของต้าโจว

นักพรตพวกนี้แค่เหลือบมองก็จำได้ว่าเขาคือยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากเผ่าหมาป่า

วั่วฟูเจ๋อซิ่วเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่อันตรายที่สุด

นี่เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไป แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาจะไม่ได้แสดงถึงประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวและความเพียรในการต่อสู้ก็ตาม

หากเจ๋อซิ่วยืนกรานจะปกป้องเซียวจาง วันนี้ก็ต้องเกิดการต่อสู้อันยากลำบากและอาจจะถึงขั้นอาบเลือดขึ้น

แต่พวกนักพรตชุดน้ำเงินเหล่านี้ก็แค่เป็นกังวลเท่านั้น ไม่ได้หวาดกลัว

พวกเขาสามารถสรุปได้ว่าเจ๋อซิ่วไม่อาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์สุดท้ายได้ เซียวจางต้องตายอยู่ดี

พวกเขาหยุดลงไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเจ๋อซิ่ว หากแต่เพราะพวกเขารู้ว่าตอนที่เจ๋อซิ่วออกจากทุ่งหิมะเขาก็ได้ติดตามคนผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา

ดังที่คาดไว้ ฝูงชนด้านล่างเปิดทางออกด้านข้างเป็นระลอกคลื่น

เฉินฉางเซิงเดินขึ้นบันไดหิน

ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหยางกลายเป็นเงียบงันอย่างที่สุด

ไม่มีใครจำหน้าเฉินฉางเซิงได้แต่ทุกคนในต้าโจวล้วนเป็นผู้ศรัทธาในนิกายหลวง ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะจดจำไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาไม่ได้

แล้วใครกันในดินแดนต้าลู่ที่มีสิทธิ์จะถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุดก็มีบางคนได้สติกลับมาและส่งเสียงอุทานที่ทำให้ทุกคนในเมืองเฟิ่งหยางได้สติกลับคืนมาจากการตะลึงงัน

ฝูงชนคุกเข่าลงกับพื้นและกราบเฉินฉางเซิงเป็นระลอกคลื่น เสียงเคารพนับถือจำนวนนับไม่ถ้วนผสานรวมกันกลายเป็นเสียงดังปานฟ้าร้อง

“ถวายบังคมองค์สังฆราช”

เฉินฉางเซิงมาถึงข้างกายเจ๋อซิ่ว จากนั้นก็หันหน้าไปหานักพรตชุดน้ำเงิน

นักพรตพวกนั้นก็ก้มกราบเฉินฉางเซิงเช่นกัน สีหน้าแสดงความเคารพนับถือ ไม่มีความไม่ยินยอมบนใบหน้า

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

พวกเจ้าหน้าที่และยอดฝีมือจากกรมราชทัณฑ์ก็ก้มกราบเช่นกัน

เฉินฉางเซิงหันไปหาเซียวจาง เมื่อเขาเห็นกระดาษขาวอันมอมแมมบนนั้นก็นึกไปถึงครั้งแรกที่พบกันในเมืองสวินหยาง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง

แม้แต่ตอนนี้เขาก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้ว่าการมณฑล

ผู้ว่าการมณฑลมีสีหน้าซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ยกชุดขุนนางขึ้นและคุกเข่าลงกราบ

เซียวจางไม่ได้คุกเข่าเพราะเขาไม่มีแรง แน่นอนต่อให้เขามีกำลังเต็มเปี่ยม เขาก็ไม่คุกเข่าให้เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชมานานสามปีแล้ว เกียรติยศของเขาในต้าลู่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการปรากฏขึ้นอีกครั้งในช่วงไม่นานมานี้และเรื่องของยาจูซา

ในสายตาเซียวจาง เขายังคงเป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ซึ่งมีนิสัยเด็ดเดี่ยวพอตัวแต่ก็น่าเบื่อและไม่น่าสนใจเช่นเดียวกับหวังผ้อที่เขาได้พบเจอในเมืองสวินหยาง

สรุปแล้วเขาเห็นว่าเฉินฉางเซิงเป็นแค่คนรุ่นเยาว์ แล้วทำไมต้องคุกเข่าให้ด้วย

เซียวจางถาม “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าแค่บังเอิญผ่านมา”

นี่เป็นย่อมข้ออ้าง ไม่มีใครยอมเชื่อมัน

เซียวจางถาม “เจ้าต้องการจะทำอะไร”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าต้องการจะอภัยโทษให้กับท่าน”

หลังจากกล่าวเช่นนี้เขาก็ยกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ขึ้น

ตอนนี้ทั้งหมดที่เซียวจางต้องทำก็คือคุกเข่า จากนั้นเขาก็จะให้ปลายยอดของไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แตะศีรษะของเซียวจางสามครั้ง และพิธีอภัยโทษก็จะเสร็จสิ้นลง

“ช้าก่อน!” ผู้ว่าการมณฑลสะกดความกลัวในใจและถามด้วยเสียงสั่น “พระราชวังหลีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนักตั้งแต่เมื่อไหร่”

ตามกฎหมายของต้าโจวและกฎเก่าแก่ที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ พระราชวังหลีย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง

เฉินฉางเซิงมองไปที่ผู้ว่าการมณฑลในที่สุด แต่ก็ยังไม่พูดกับเขาอยู่ดี

“ตามกฎหมายการลงทัณฑ์ของต้าโจว นอกเหนือจากความผิดฐานกบฏแล้ว องค์สังฆราชมีสิทธิ์ที่จะให้การอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษได้”

ฮู่ซานสือเอ้อร์มาถึงตั้งแต่เมื่อใดไม่ราบ เขามองไปยังผู้ว่าการมณฑลด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายและกล่าว “เจ้าสอบได้ที่เท่าไรในการสอบใหญ่ถึงไม่รู้แม้แต่เรื่องนี้”

หน้าของผู้ว่าการมณฑลเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดผิดปกติ เขารู้กฎดีทั้งของนิกายและราชสำนักต้าโจว ดังนั้นย่อมรู้ว่าสังฆราชมีสิทธิ์ที่จะอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษ กระนั้นก็ตาม อดีตสังฆราชไม่เคยใช้สิทธิ์นี้แม้แต่ครั้งเดียวในช่วงที่ดำรงตำแหน่งหลายศตวรรษ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่อำมาตย์ในราชสำนักก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

คำพูดที่เขากล่าวก่อนหน้านี้เปี่ยมไปด้วยกำลัง เสียงดังฟังชัด และในตอนนี้ก็กำลังสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ

“เจ้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจล้างความผิดของเจ้าได้”

“ดังนั้นเจ้าจึงชั่วร้ายเกินอภัย”

ทว่าไม่นานหลังจากเขากล่าวคำพูดนี้ สังฆราชก็ปรากฏกายและกล่าวว่าต้องการจะอภัยโทษให้กับความผิดของเซียวจาง

นี่คือสิทธิพิเศษของสังฆราช ‘ต่อให้การตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจล้างความผิดของเจ้าได้ ต่อให้เจ้าชั่วร้ายเกินอภัย แต่ถ้าหากข้าต้องการจะอภัยให้เจ้า เจ้าก็ไร้ซึ่งความผิดบาป’

ถังซานสือลิ่วก็มาแล้ว ชี้ไปที่นักพรตชุดน้ำเงินแล้วกล่าว “หากนิกายหลวงไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชสำนัก แล้วเหตุใดนักพรตจากอารามฉางชุนถึงได้เข่นฆ่าผู้คนบนถนน ใต้เท้าผู้ว่าการ ทำไมไม่จับคนพวกนี้และส่งเข้าเรือนจำก่อนเล่า”

นักพรตชุน้ำเงินดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอันใด แต่สีหน้าของผู้ว่าการมณฑลย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม

ในตอนนั้นเองเซียวจางพลันพูดขึ้น “ข้าไม่มีทางคุกเข่าให้เจ้า”

หากเขาปฏิเสธจะคุกเข่า แล้วพิธีอภัยโทษจะเสร็จลงได้อย่างไร

ไม่มีใครคาดคิดว่าตอนที่เรื่องดูเหมือนจะถูกแก้ไขแล้ว ก็มีปัญหาใหม่ผุดขึ้นมา

ถังซานสือลิ่วเตรียมที่จะพูดอย่างรุนแรงกับเซียวจางแต่กลับถูกเฉินฉางเซิงห้ามไว้

“ข้าสามารถยืนให้สูงขึ้นไปหน่อยก็ได้แล้ว”

เฉินฉางเซิงเดินขึ้นบันไดไปอีกสองสามขั้นแล้วก็หันกลับมา

เขาตอนนี้อยู่สูงกว่าเซียวจางขึ้นไปสองสามขั้น เป็นความสูงที่พอดิบพอดี

ไม่จำเป็นต้องให้เซียวจางคุกเข่า เขาก็สามารถยกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ยืนมันตรงออกไปและสัมผัสกับศีรษะของเซียวจาง

ปลายไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สัมผัสกับศีรษะของเซียวจางสามครั้งอย่างไร้เสียง พิธีการก็จบลง

นับจากเริ่มต้นจนจบ เซียวจางไม่พูดอะไรไม่มีใครมองเห็นสีหน้าเขาใต้กระดาษขาว เขาตกตะลึงหรือขุ่นเคืองกันแน่

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถูกศีรษะพลางเอ่ย “คันแฮะ”