ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 47 ภาพที่คนอื่นได้แต่มองจากระยะไกล

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ผู้คนในเมืองเฟิ่งหยางที่นิ่งเงียบ แน่นขนัดสองข้างถนนยังคงคุกเข่าต่อไป

“ไปเถอะ ข้าคิดว่าทุกคนคงมีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องทำในชีวิต” เฉินฉางเซิงกล่าว

หลังจากผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตีนเขาหานซาน เขาก็มีประสบการณ์ในการรับการกราบกรานจากฝูงชน แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยอยู่ดี

พูดอีกอย่างหนึ่ง ‘ไม่คุ้นเคย’ ก็คือเขินอายและประหม่า ดังนั้นน้ำเสียงเขาจึงแผ่วเบาอยู่บ้าง ทำให้คนมากมายไม่อาจได้ยิน

“รีบไสหัวไป! ใครต้องเปิดร้านก็ไปเปิดร้าน ใครต้องทำงานก็ไปทำงาน ใครต้องไปเรียนก็ไปเรียน!”

ถังซานสือลิ่วตะโกนใส่ฝูงชน

เสียงเขาดังมากสีหน้าเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขาคือคนที่เป็นสังฆราช

เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครฟังเขา

ผู้ว่าการมณฑลสั่งให้กองทหารควบคุมความสงบอย่างรวดเร็ว

ผู้คนลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่งแต่ไม่ได้จากไป พวกเขาจ้องมองไปที่เฉินฉางเซิง ใบหน้าแสดงถึงอารมณ์ทั้งมวล เคารพ นับถือ หลงใหล ตื่นเต้นและอีกมากมาย

สำหรับคนในเมืองที่อยู่ห่างไกล นี่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้เห็นสังฆราชกับตา แล้วจะยอมจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร

นักบวชในอารามเมืองเฟิ่งหยางก็รีบมาเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากผู้ศรัทธาทั่วไป เมื่อได้เห็นเฉินฉางเซิงพวกเขาก็รู้สึกประหม่าจนไม่อาจที่จะพูดได้ ชุดนักพรตเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและขาก็อ่อนยิ่งกว่าเซียวจางเสียอีก ไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรได้

นักพรตชุดน้ำเงินและยอดฝีมือจากราชสำนักก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน

ถังซานสือลิ่วมองพวกเขาและกล่าว “อะไร พวกเจ้าคิดจะลอบสังหารสังฆราชต่อหน้าคนเป็นหมื่นจริงหรือ อยากจะทำเรื่องโง่เง่าและกล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างนั้นหรือ”

คำพูดที่รุนแรงนี้ได้ผลอยู่บ้าง เพราะเป้าหมายของมันชัดเจนจนทุกคนสามารถเข้าใจได้

สายตาดุดันมากมายจับจ้องไปที่นักพรตและยอดฝีมือจากราชสำนัก และเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะหนีพ้นไปได้

เจ้าหน้าที่และยอดฝีมือถอยออกไปไกลในขณะที่พลหน้าไม้ปลดหน้าไม้ลงราวกับว่าจะหลีกเลี่ยงการแสดงความไม่เคารพออกมา

นักพรตชุดน้ำเงินยืนอยู่ห่างไปสิบกว่าจั้ง แต่พวกเขาก็ดูเหมือนไม่พร้อมที่จะจากไป

เฉินฉางเซิงนำยาออกมาหลายเม็ด

ฮู่ซานสือเอ้อร์ไปที่ป้อมเจ็ดสมบัติเพื่อขอน้ำมาชามหนึ่ง

เซียวจางใช้น้ำชามนี้กินยากำมือหนึ่งลงไป

เฉินฉางเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “ยาพวกนี้ควรแบ่งกินสามวัน”

ได้ยินคำพูดนี้กระดาษบนหน้าของเซียวจางก็กระพือ

“ไม่มีลม หรือว่าจะเป็นเพราะลมหายใจ อย่างที่คาดไว้ยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาเวลาโกรธนี่รุนแรงทีเดียว”

ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างจริงจัง

เขาไม่เคยหวาดกลัวเซียวจางมาก่อน อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย

เขาถูกขังอยู่ในจวนเก่าและหอบรรพชนมานานสามปี โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง เขาได้งดใช้เสียงอย่างเข้มงวดเกินไป

ความคล้ายคลึงของประมุขน้อยตระกูลถังกับซูหลีแพร่กระจายไปทั่วต้าลู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เซียวจางรู้ว่าปะทะคารมกับเจ้าหมอนี้มีโอกาสได้เปรียบน้อยมากจึงตัดสินใจที่จะไม่สนใจ เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “อย่าได้หวังว่าข้าจะขายชีวิตให้พระราชวังหลี”

“ชีวิตคนไม่อาจซื้อขายได้เป็นธรรมดา” เฉินฉางเซิงเห็นด้วย

ถังซานสือลิ่วที่ด้านข้างกล่าว “ใครว่าเจ้าขายชีวิตไม่ได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าผู้เป็นแบบอย่างของข้าหาเลี้ยงชีวิตอย่างไร ข้าเล่นตาสุดท้ายในหอบรรพชนเช่นใด”

เฉินฉางเซิงมองเขาโดยไม่พูดอะไร

ถังซานสือลิ่วโบกมือ บ่งบอกว่าเขาเข้าใจและหยุดพูดอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาในหัว

เฉินฉางเซิงปรายตามองนักพรตซึ่งอยู่ใกล้ๆ และกล่าว “คนจะผิดหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดประโยคเดียวของราชสำนัก ข้าก็สามารถอภัยโทษให้กับความผิดกลวงโบ๋ที่เขาป้ายใส่ท่านเหล่านี้ได้เช่นกัน แต่พวกเขาก็สามารถหาความผิดใหม่มาป้ายให้ท่านได้ทุกเมื่อและไล่ล่าต่อไปไม่รู้จบ”

เซียวจางกล่าว “ตอนที่ข้าแทงทวนบนแม่น้ำลั่ว ข้าไม่ได้คิดอะไรมากนัก จึงไม่จำเป็นสำหรับข้าที่จะคิดเอาในตอนนี้”

“บาดแผลของท่านหนักหนาและมากมายกินไป ท่านจำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นฟู ดังนั้นข้าอยากหาที่ให้ท่านได้ซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงเสริม “ข้าไม่ใช่หวังผ้อ ไม่มีความขัดแย้งหรือความชอบพอระหว่างเรา จึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธความหวังดีของข้า”

เซียวจางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “อันที่จริงข้าก็คิดหาสถานที่ซ่อนตัวอยู่เช่นกัน”

หลังจากถูกราชสำนักไล่ล่ามาสามปีเต็ม เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้าได้อย่างไร ไม่ว่าเขาจะหยิ่งผยองเพียงใด เขาก็รู้ว่าไม่อาจทำเช่นนี้ต่อไป

ไม่นานก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาต้องการที่จะหาที่พักผ่อนจริงๆ แต่ที่แบบนั้นค่อนข้างหาได้ยาก

มีแค่ไม่กี่พรรคที่มีทั้งความกล้าและความสามารถที่จะต้านทานความยิ่งใหญ่ของซางสิงโจว

เขามีความแค้นเก่ากับสำนักกระบี่หลีซานและสำนักต้นไหว ไม่ยอมที่จะก้มหัวให้คนพวกนั้นต่อให้มันจะทำให้เขาต้องตายก็ตาม

ที่ซึ่งเขาเลือกเป็นที่เดียวกับเฉินฉางเซิงตั้งใจจะพาเขาไป

ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ได้ยินคำพูดของเซียวจาง พวกของเฉินฉางเซิงก็ตกใจ เมื่อเขาไปที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทำไมราชสำนักถึงได้ไล่ตามเขามาที่นี่ได้

“ข้าไม่ได้เข้ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”

ดวงตาเซียวจางทะลุผ่านรูบนกระดาษ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นอยู่บ้าง บางทีเพราะเขานึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“ค่ายกลกระบี่ที่พวกเด็กสาวนั่นสร้างขึ้นยากจะรับมือได้จริงๆ เมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่ต้องการต้องรับข้า แล้วข้าจะบีบบังคับให้พวกนางรับข้าหรืออย่างไร”

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกมาก หลังจากการต่อสู้ที่แม่น้ำลั่ว ราชสำนักก็เริ่มไล่ล่าเซียวจาง ทุกคนรู้ว่าจุดยืนของพระราชวังหลีเกี่ยวกับเซียวจางคืออะไร ต่อให้สวีโหย่วหรงกักตัว สถานศึกษาหนานซีไร้ผู้นำและคนในสำนักไม่ชอบวิธีการของเซียวจาง แต่จำเป็นต้องใช้ท่าที่แข็งขันถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เมื่อเขาคิดเรื่องนี้ก็สบตากับเซียวจางเข้าพอดี

เขาพลันเข้าใจว่าเซียวจางกำลังบอกเขาว่ามีบางอย่างอาจเกิดขึ้นในสถานศึกษาหนานซี

“ตอนที่ออกจากสถานศึกษาหานซี ข้าพบเจอกับพวกคนจากราชสำนักและรีบหลบหนี”

“ทำไม”

“เพราะว่ามีเกี้ยวสองหลังในกลุ่มคนพวกนั้น ข้าไม่รู้ว่าข้างในเป็นใครแต่พวกมันแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วสบตากัน รู้ว่าคำตอบคืออะไร”

“เซียงอ๋องกับอู๋ฉยงปี้… พวกเขาไปที่ไหน”

“ไม่แน่ชัด หลังจากนั้นข้าก็ถูกตัวประหลาดโจมตี เพราะข้าต้องขับพิษของมันอาการบาดเจ็บเก่าเลยกำเริบ จากนั้นพวกแมลงวันเหล่านี้ก็ไล่ตามข้ามา มันน่ารำคาญมาก ข้าจึงอยากมาที่นี่เพื่อหาชาดื่ม”

การดื่มชาย่อมเป็นสิ่งที่อยู่ในใจเขาจริงๆ แต่พวกเฉินฉางเซิงรู้ว่าเซียวจางนั้นคิดว่าตนเองคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานจึงอยากมาที่นี่เพื่อดื่มชา

ล้วนเป็นการดื่มชาแต่สาเหตุและกรอบความคิดนั้นต่างกัน

เฉินฉางเซิงพอจะเดาได้ว่าตัวประหลาดนั่นคือใคร

ทำให้คนอย่างเซียวจางถูกพิษได้ จะเป็นใครไปได้อีก

“พักนี้ท่านได้กินดีบ้างหรือเปล่า” เฉินฉางเซิงถาม

เซียวจางตอบ “ข้ากินอิ่มแต่ไม่ได้กินดี”

ต้องระวังการถูกโจมตีอยู่ทุกขณะ ต้องระวังพาอยู่เสมอ เป็นใครก็ยากที่จะกินดีได้

มีร้านอาหารอยู่ในป้อมเจ็ดสมบัติ ดังนั้นพวกเขาจึงหาห้องส่วนตัวเพื่อนั่งกิน ในเวลาอันสั้นพวกเขาก็เริ่มงานเลี้ยงอันหรูหรา

เฉินฉางเซิงก็กินเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครกล้าวางยาพิษในอาหาร

เซียวจางไม่สนใจใครทั้งนั้น ตะเกียบของเขาเคลื่อนไหวราวสายลม อาหารอันโอชะเกลี้ยงจานอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ดื่มสุรา แต่เขาก็ดื่มชาป่าฤดูหนาวไปครึ่งกา

การที่สามารถกินอย่างผ่อนคลายเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับเขาแล้ว

หลังจากกินและดื่มจนสมใจ เซียวจางก็ผ่อนคลายและผล็อยหลับไปคาโต๊ะ เสียงกรนดังก้องไปทั่วเมือง

พวกของเฉินฉางเซิงมองไปเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

นอกร้านอาหาร คนนับไม่ถ้วนก็มองเขาเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว