ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 48 สายลมเย็นเหนือแม่น้ำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คนธรรมดาย่อมต้องเกิดปัญหาหากกินยาสำหรับสามวันเข้าไปในคราวเดียว

เซียวจางกลับไม่พบเจอปัญหาอันใด เพราะความสามารถในการฟื้นตัวของเขานั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง

หลังจากหลับสนิทไปครึ่งชั่วยามเขาก็ตื่นขึ้นมาและกล่าว “ข้ามีแรงพอแล้ว”

เฉินฉางเซิงถาม “ท่านไม่ต้องการจะเดินทางพร้อมพวกเราจริงหรือ”

“เมื่อพวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นต้อนเดินทางร่วมกัน”

เซียวจางรับเอากล่องใส่เสบียงและยาจากเฉินฉางเซิง คว้าทวนและเดินออกไป

เขาไม่ได้จากไปในทันที แต่ไปที่ศาลาสมบัติที่อยู่บนสุดของป้อมเจ็ดสมบัติก่อนเพื่อเอาชากล่องนั้น

จากนั้นก็หันไปทางนักพรตชุดน้ำเงินและยอดฝีมือจากราชสำนักและกล่าว “มาเลย”

……

……

เซียวจางจากไป เช่นเดียวกับนักพรต ยอดฝีมือและพลหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์

พวกของเฉินฉางเซิงก็ย่อมจากไปเช่นเดียวกัน

ชาวเมืองเฟิ่งหยางยังอ้อยอิ่งอยู่บนถนนไม่ยอมจากไป

พวกเขากราบกรานเฉินฉางเซิง แสดงความเคารพอย่างนบนอบ แม้แต่ผู้อาวุโสที่แทบเดินไม่ได้ก็ยังถูกญาตินำออกมาที่ถนนโดยหวังว่าจะได้รับคำอวยพรจากสังฆราช

หากเป็นเวลาอื่น เฉินฉางเซิงย่อมใช้เวลาอยู่ในเมืองเฟิ่งหยางสักหน่อย รักษาอาการป่วยให้ผู้ศรัทธาหรือทำพิธีการแห่งแสงขนาดย่อมๆ ตามวิธีที่บรรยายเอาไว้ในคัมภีร์

ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาเพราะเขาต้องจากไป โชคยังดีฮู่ซานสือเอ้อร์ได้ส่งข้อความไปยังอารามเต๋าใกล้ๆ แล้ว ซึ่งจะมาทำการแจกจ่ายยาอย่างเหมาะสม

จากคำขอร้องของเฉินฉางเซิง นักบวชสองนายที่มีวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางมาเช่นเดียวกัน

“ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่กับพวกท่านทุกคน”

เฉินฉางเซิงกล่าวกับผู้คนในเมืองเฟิ่งหยาง

ฝูงชนก้มกราบอีกครั้ง ดูราวกลับระลอกคลื่นอีกครั้ง

ครั้นออกจากเมืองเฟิ่งหยางข้ามโซ่ที่โยงข้ามแม่น้ำ พวกเขาก็มาถึงส่วนที่มีคนอาศัยอยู่ประปรายในโกรกธาร

นึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งได้เห็นถังซานสือลิ่วก็กล่าวขึ้น “ตอนนี้เองที่ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นสังฆราชจริงๆ”

สังฆราชนั้นศักดิ์สิทธิ์และได้รับความเคารพจากผู้ศรัทธานับไม่ถ้วน ทว่าความเคารพรักที่แท้จริงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้รับมาอย่างง่ายดาย

ปกติแล้วจำเป็นต้องใช้เวลาในการสะสมเกียรติยศ

เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชได้แค่สามปีเท่านั้น ในเมืองที่ห่างไกลและเล็กอย่างเมืองเฟิ่งหยาง หากอารามเต๋าไม่ออกหน้าประกาศว่าเขามาถึง ผู้ศรัทธามากมายอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา

ที่เขาสามารถได้รับความรักและเคารพจากใจของผู้ศรัทธามากมายส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะอันหวาประกาศเรื่องเกี่ยวกับยาจูซาออกไป การประโคมยกย่องของนิกายหลวงก็มีประสิทธิภาพอย่างมากเช่นกัน

เฉินฉางเซิงไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องพวกนี้ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าตัวประหลาดที่เซียวจางพูดถึงน่าจะเป็นฉูซู”

ถังซานสือลิ่วตอบ “บางทีหากเซียวจางไม่ได้บาดเจ็บหนัก เขาคงไม่ถูกลอบโจมตี”

เจ๋อซิ่วกลาว “ไม่แน่หรอก ฉูซูก็บาดเจ็บในเมืองเวิ่นสุ่ยเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้ออกไปตามลำพัง”

ถังซานสือลิ่วเข้าใจความหมายและถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าตัวประหลาดนี่เป็นปัญหามากนักหรือ”

เฉินฉางเซิงตอบ “เป็นปัญหาอย่างมากจริงๆ”

เมื่อเขากล่าวประกายความกังวลก็ฉายขึ้นบนใบหน้า

ไม่ใช่เพราะฉูซูแต่เป็นอีกเรื่องที่เซียวจางเอ่ยถึง อาจมีปัญหาเกิดขึ้นที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วรู้ว่าเขากังวลเรื่องใด หลังจากออกจากเมืองเฟิ่งหยาง พวกเขาก็เดินทางเร็วขึ้นกว่าก่อนมาก

แต่เฉินฉางเซิงคิดว่ามันไม่เร็วพอ

หากสถานศึกษาหนานซีพบเจอกับเรื่องเลวร้ายขึ้นจริงๆ คนที่กำลังกักตนอยู่บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่

พวกเขาเดินทางไปตามโกรกธารเป็นระยะทางหลายสิบลี้อย่ารวดเร็ว เมืองเฟิ่งหยางก็หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว จำนวนเรือบนแม่น้ำก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

เฉินฉางเซิงนำหนานเค่อออกมาจากสวนโจว และมองไปที่เจ๋อซิ่วกับคนอื่น

ถังซานสือลิ่วรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าจะกลายเป็นแมว”

เจ๋อซิ่วถาม “เจ้าเคยเห็นกรงแมวที่ใหญ่แบบสวนโจวไหม”

ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าวอย่างถ่อมตน “การได้อยู่ในโลกใบเล็กของพระองค์ชั่วระยะเวลาหนึ่งนับเป็นพรอันยิ่งใหญ่”

เจ๋อซิ่วขมวดคิ้ว

ถังซานสือลิ่วถอนหายใจกล่าว “มากไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงเร่ง “เร็วเข้า”

หนานเค่อมองดูพวกเขาถูกส่งเข้าไปในสวนโจวแล้วถาม “เฉินฉางเซิง เราจะไปไหนกัน”

ตอนนี้นางจำชื่อเฉินฉางเซิงได้แล้ว แต่นางไม่รู้ว่านางเป็นใคร ยังคงไม่รู้อะไรราวกับเด็กน้อย

“เราจะไปยังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์” เฉินฉางเซิงกางแผนที่ ชี้ไปยังทิศทางที่นางต้องไป

ดวงตาหนานเค่อยังคงทึมทึบ จึงยากจะบอกได้ว่านางเข้าใจแผนที่หรือไม่ นางถาม “เร็วแค่ไหน”

เฉินฉางเซิงตอบ “เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ แน่นอนว่าอย่าได้ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ”

หนานเค่อตอบ “เข้าใจแล้ว”

นางคว้าคอของเฉินฉางเซิงและกระโดดออกจากหน้าผาไปทางแม่น้ำ

สายลมเหนือแม่น้ำเย็นอยู่บ้าง ส่งเสียงหวีดหวิวปะทะใบหน้าเขา เฉินฉางเซิงรู้สึกเย็นอยู่บ้าง

จากนั้นเขาก็เห็นแม่น้ำใกล้เข้ามา พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสงบใจลง

ตอนนี้เองที่เขานึกได้ว่าหลังจากการต่อสู้อาบเลือดบนเทือกเขา ปีกคู่ของหนานเค่อก็หายไป แล้วนางจะบินได้อย่างไร

ประกายความสับสนปรากฏขึ้นบนดวงตาทึมทึบของหนานเค่อเช่นกัน

นางรู้ว่านางสามารถบินได้ ดังนั้นนางจึงกระโดดออกมาโดยไม่กลัวหรือลังเลเลย

แต่ว่านางบินได้อย่างไรกันแน่

หนานเค่อใช้วิชาตัวเบาที่ไวปานสายฟ้าหายตัวไปในอากาศอย่างน่าทึ่ง แต่นางก็ไม่อาจที่จะหยุดการร่วงลงได้

ทั้งสองเริ่มตกลงไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ แม่น้ำก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

นางหลับตาลง

เฉินฉางเซิงถอนหายใจและคิด ไม่มีจี๊ดจี๊ดแล้วจะใช้วิธีไหนทำให้เสื้อผ้าแห้งดี

ตอนที่พวกเขากำลังจะตกลงไปในแม่น้ำ เสียงสองเสียงก็ดังขึ้นด้านหลังของหนานเค่อ

เสียงนั้นคล้ายกับเสียงของกระดาษขาวบนใบหน้าเซียวจางที่ดังในเมืองสวินหยาง

ไม่ใช่เมืองเฟิ่งหยางแต่เป็นเมืองสวินหยาง เพราะมันเป็นเมืองสวินหยางที่กระดาษขาวบนใบหน้าของเขาอยู่ครบถ้วน

เป็นประดุจเสียงใบเรือกระพือพัดด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แน่นอน มันก็ฟังเหมือนเสียงกระพือปีกอย่างยิ่ง

ปีกสีเขียวเข้มขนาดสิบกว่าจั้งกางออกด้านหลังหนานเค่อ ยกนางขึ้นเหนือแม่น้ำและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

เฉินฉางเซิงอยู่ใกล้กับแม่น้ำยิ่งกว่าและพื้นรองเท้าก็ถึงกับแตะโดนน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นตามมา

มองจากระยะไกลก็ดูคล้ายกับแมลงปอแตะผิวน้ำอยู่บ้าง

……

……

สังฆราชเฉินฉางเซิงได้ออกจากเมืองเฟิ่งหยางแล้ว ทว่าผู้คนในเมืองน้อยนี้ยังไม่อาจทำใจจากไป

ในร้านอาหารริมแม่น้ำ คุณชายผู้หนึ่งมองไปที่ฝูงชนที่ยังมองไปตามแม่น้ำ ใบหน้าเขามีประกายความหงุดหงิดอยู่บ้าง

“มีแต่พวกโง่เขลาเบาปัญญา”

เด็กสาวหน้าตาหมดจดเดินมา เป็นมู่จิ่วซือ

คุณชายคนนั้นก็คือเปี๋ยเทียนซิน

เห็นมู่จิ่วซือ เปี๋ยยั่งหงก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที กล่าวอย่างเป็นกันเอง “ลมจากแม่น้ำค่อนข้างแรง ระวังด้วย”

ตอนที่มู่จิ่วซือถูกขับออกจากพระราชวังหลี การบำเพ็ญวิชานิกายหลวงของนางถูกทำลาย แต่วิชาที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนต้าซียังคงอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องลมจากแม่น้ำ

เปี๋ยเทียนซินเพียงต้องการจะแสดงความเป็นห่วงเท่านั้น

มู่จิ่วซือยิ้มเล็กน้อย รับความเป็นห่วงของเขาอย่างเป็นธรรมชาติและยืนใกล้เขาขึ้นเล็กน้อย