คนธรรมดาย่อมต้องเกิดปัญหาหากกินยาสำหรับสามวันเข้าไปในคราวเดียว
เซียวจางกลับไม่พบเจอปัญหาอันใด เพราะความสามารถในการฟื้นตัวของเขานั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง
หลังจากหลับสนิทไปครึ่งชั่วยามเขาก็ตื่นขึ้นมาและกล่าว “ข้ามีแรงพอแล้ว”
เฉินฉางเซิงถาม “ท่านไม่ต้องการจะเดินทางพร้อมพวกเราจริงหรือ”
“เมื่อพวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นต้อนเดินทางร่วมกัน”
เซียวจางรับเอากล่องใส่เสบียงและยาจากเฉินฉางเซิง คว้าทวนและเดินออกไป
เขาไม่ได้จากไปในทันที แต่ไปที่ศาลาสมบัติที่อยู่บนสุดของป้อมเจ็ดสมบัติก่อนเพื่อเอาชากล่องนั้น
จากนั้นก็หันไปทางนักพรตชุดน้ำเงินและยอดฝีมือจากราชสำนักและกล่าว “มาเลย”
……
……
เซียวจางจากไป เช่นเดียวกับนักพรต ยอดฝีมือและพลหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์
พวกของเฉินฉางเซิงก็ย่อมจากไปเช่นเดียวกัน
ชาวเมืองเฟิ่งหยางยังอ้อยอิ่งอยู่บนถนนไม่ยอมจากไป
พวกเขากราบกรานเฉินฉางเซิง แสดงความเคารพอย่างนบนอบ แม้แต่ผู้อาวุโสที่แทบเดินไม่ได้ก็ยังถูกญาตินำออกมาที่ถนนโดยหวังว่าจะได้รับคำอวยพรจากสังฆราช
หากเป็นเวลาอื่น เฉินฉางเซิงย่อมใช้เวลาอยู่ในเมืองเฟิ่งหยางสักหน่อย รักษาอาการป่วยให้ผู้ศรัทธาหรือทำพิธีการแห่งแสงขนาดย่อมๆ ตามวิธีที่บรรยายเอาไว้ในคัมภีร์
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาเพราะเขาต้องจากไป โชคยังดีฮู่ซานสือเอ้อร์ได้ส่งข้อความไปยังอารามเต๋าใกล้ๆ แล้ว ซึ่งจะมาทำการแจกจ่ายยาอย่างเหมาะสม
จากคำขอร้องของเฉินฉางเซิง นักบวชสองนายที่มีวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางมาเช่นเดียวกัน
“ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่กับพวกท่านทุกคน”
เฉินฉางเซิงกล่าวกับผู้คนในเมืองเฟิ่งหยาง
ฝูงชนก้มกราบอีกครั้ง ดูราวกลับระลอกคลื่นอีกครั้ง
ครั้นออกจากเมืองเฟิ่งหยางข้ามโซ่ที่โยงข้ามแม่น้ำ พวกเขาก็มาถึงส่วนที่มีคนอาศัยอยู่ประปรายในโกรกธาร
นึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งได้เห็นถังซานสือลิ่วก็กล่าวขึ้น “ตอนนี้เองที่ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นสังฆราชจริงๆ”
สังฆราชนั้นศักดิ์สิทธิ์และได้รับความเคารพจากผู้ศรัทธานับไม่ถ้วน ทว่าความเคารพรักที่แท้จริงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้รับมาอย่างง่ายดาย
ปกติแล้วจำเป็นต้องใช้เวลาในการสะสมเกียรติยศ
เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชได้แค่สามปีเท่านั้น ในเมืองที่ห่างไกลและเล็กอย่างเมืองเฟิ่งหยาง หากอารามเต๋าไม่ออกหน้าประกาศว่าเขามาถึง ผู้ศรัทธามากมายอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา
ที่เขาสามารถได้รับความรักและเคารพจากใจของผู้ศรัทธามากมายส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะอันหวาประกาศเรื่องเกี่ยวกับยาจูซาออกไป การประโคมยกย่องของนิกายหลวงก็มีประสิทธิภาพอย่างมากเช่นกัน
เฉินฉางเซิงไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องพวกนี้ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าตัวประหลาดที่เซียวจางพูดถึงน่าจะเป็นฉูซู”
ถังซานสือลิ่วตอบ “บางทีหากเซียวจางไม่ได้บาดเจ็บหนัก เขาคงไม่ถูกลอบโจมตี”
เจ๋อซิ่วกลาว “ไม่แน่หรอก ฉูซูก็บาดเจ็บในเมืองเวิ่นสุ่ยเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้ออกไปตามลำพัง”
ถังซานสือลิ่วเข้าใจความหมายและถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าตัวประหลาดนี่เป็นปัญหามากนักหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “เป็นปัญหาอย่างมากจริงๆ”
เมื่อเขากล่าวประกายความกังวลก็ฉายขึ้นบนใบหน้า
ไม่ใช่เพราะฉูซูแต่เป็นอีกเรื่องที่เซียวจางเอ่ยถึง อาจมีปัญหาเกิดขึ้นที่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วรู้ว่าเขากังวลเรื่องใด หลังจากออกจากเมืองเฟิ่งหยาง พวกเขาก็เดินทางเร็วขึ้นกว่าก่อนมาก
แต่เฉินฉางเซิงคิดว่ามันไม่เร็วพอ
หากสถานศึกษาหนานซีพบเจอกับเรื่องเลวร้ายขึ้นจริงๆ คนที่กำลังกักตนอยู่บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
พวกเขาเดินทางไปตามโกรกธารเป็นระยะทางหลายสิบลี้อย่ารวดเร็ว เมืองเฟิ่งหยางก็หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว จำนวนเรือบนแม่น้ำก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เฉินฉางเซิงนำหนานเค่อออกมาจากสวนโจว และมองไปที่เจ๋อซิ่วกับคนอื่น
ถังซานสือลิ่วรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าจะกลายเป็นแมว”
เจ๋อซิ่วถาม “เจ้าเคยเห็นกรงแมวที่ใหญ่แบบสวนโจวไหม”
ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าวอย่างถ่อมตน “การได้อยู่ในโลกใบเล็กของพระองค์ชั่วระยะเวลาหนึ่งนับเป็นพรอันยิ่งใหญ่”
เจ๋อซิ่วขมวดคิ้ว
ถังซานสือลิ่วถอนหายใจกล่าว “มากไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงเร่ง “เร็วเข้า”
หนานเค่อมองดูพวกเขาถูกส่งเข้าไปในสวนโจวแล้วถาม “เฉินฉางเซิง เราจะไปไหนกัน”
ตอนนี้นางจำชื่อเฉินฉางเซิงได้แล้ว แต่นางไม่รู้ว่านางเป็นใคร ยังคงไม่รู้อะไรราวกับเด็กน้อย
“เราจะไปยังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์” เฉินฉางเซิงกางแผนที่ ชี้ไปยังทิศทางที่นางต้องไป
ดวงตาหนานเค่อยังคงทึมทึบ จึงยากจะบอกได้ว่านางเข้าใจแผนที่หรือไม่ นางถาม “เร็วแค่ไหน”
เฉินฉางเซิงตอบ “เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ แน่นอนว่าอย่าได้ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ”
หนานเค่อตอบ “เข้าใจแล้ว”
นางคว้าคอของเฉินฉางเซิงและกระโดดออกจากหน้าผาไปทางแม่น้ำ
สายลมเหนือแม่น้ำเย็นอยู่บ้าง ส่งเสียงหวีดหวิวปะทะใบหน้าเขา เฉินฉางเซิงรู้สึกเย็นอยู่บ้าง
จากนั้นเขาก็เห็นแม่น้ำใกล้เข้ามา พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสงบใจลง
ตอนนี้เองที่เขานึกได้ว่าหลังจากการต่อสู้อาบเลือดบนเทือกเขา ปีกคู่ของหนานเค่อก็หายไป แล้วนางจะบินได้อย่างไร
ประกายความสับสนปรากฏขึ้นบนดวงตาทึมทึบของหนานเค่อเช่นกัน
นางรู้ว่านางสามารถบินได้ ดังนั้นนางจึงกระโดดออกมาโดยไม่กลัวหรือลังเลเลย
แต่ว่านางบินได้อย่างไรกันแน่
หนานเค่อใช้วิชาตัวเบาที่ไวปานสายฟ้าหายตัวไปในอากาศอย่างน่าทึ่ง แต่นางก็ไม่อาจที่จะหยุดการร่วงลงได้
ทั้งสองเริ่มตกลงไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ แม่น้ำก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
นางหลับตาลง
เฉินฉางเซิงถอนหายใจและคิด ไม่มีจี๊ดจี๊ดแล้วจะใช้วิธีไหนทำให้เสื้อผ้าแห้งดี
ตอนที่พวกเขากำลังจะตกลงไปในแม่น้ำ เสียงสองเสียงก็ดังขึ้นด้านหลังของหนานเค่อ
เสียงนั้นคล้ายกับเสียงของกระดาษขาวบนใบหน้าเซียวจางที่ดังในเมืองสวินหยาง
ไม่ใช่เมืองเฟิ่งหยางแต่เป็นเมืองสวินหยาง เพราะมันเป็นเมืองสวินหยางที่กระดาษขาวบนใบหน้าของเขาอยู่ครบถ้วน
เป็นประดุจเสียงใบเรือกระพือพัดด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แน่นอน มันก็ฟังเหมือนเสียงกระพือปีกอย่างยิ่ง
ปีกสีเขียวเข้มขนาดสิบกว่าจั้งกางออกด้านหลังหนานเค่อ ยกนางขึ้นเหนือแม่น้ำและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เฉินฉางเซิงอยู่ใกล้กับแม่น้ำยิ่งกว่าและพื้นรองเท้าก็ถึงกับแตะโดนน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นตามมา
มองจากระยะไกลก็ดูคล้ายกับแมลงปอแตะผิวน้ำอยู่บ้าง
……
……
สังฆราชเฉินฉางเซิงได้ออกจากเมืองเฟิ่งหยางแล้ว ทว่าผู้คนในเมืองน้อยนี้ยังไม่อาจทำใจจากไป
ในร้านอาหารริมแม่น้ำ คุณชายผู้หนึ่งมองไปที่ฝูงชนที่ยังมองไปตามแม่น้ำ ใบหน้าเขามีประกายความหงุดหงิดอยู่บ้าง
“มีแต่พวกโง่เขลาเบาปัญญา”
เด็กสาวหน้าตาหมดจดเดินมา เป็นมู่จิ่วซือ
คุณชายคนนั้นก็คือเปี๋ยเทียนซิน
เห็นมู่จิ่วซือ เปี๋ยยั่งหงก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที กล่าวอย่างเป็นกันเอง “ลมจากแม่น้ำค่อนข้างแรง ระวังด้วย”
ตอนที่มู่จิ่วซือถูกขับออกจากพระราชวังหลี การบำเพ็ญวิชานิกายหลวงของนางถูกทำลาย แต่วิชาที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนต้าซียังคงอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องลมจากแม่น้ำ
เปี๋ยเทียนซินเพียงต้องการจะแสดงความเป็นห่วงเท่านั้น
มู่จิ่วซือยิ้มเล็กน้อย รับความเป็นห่วงของเขาอย่างเป็นธรรมชาติและยืนใกล้เขาขึ้นเล็กน้อย