ตอนที่ 2417 พลังของตราประทับ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ในตอนนั้นเอง กลางอากาศก็มีกลิ่นคาวเลือดแผ่กระจายออกมาจากตราประทับเลือด หลังจากที่คนส่วนใหญ่ได้กลิ่นนี้แล้ว พวกเขาล้วนรู้สึกเวียนหัวและแน่นหน้าอก

พวกมหาเมธีล้วนตื่นตระหนกกันอย่างมาก จึงไม่ได้คิดเรื่องคิดจะหลบหนีอีกต่อไป พวกเขาหยิบของวิเศษที่ใช้ป้องกันทุกชนิดออกมาใช้ พวกเขาต้องหลุดพ้นจากกับดักกลิ่นคาวเลือดนี้ก่อนค่อยว่ากัน

“สหายทุกท่านยังรออะไรกันอยู่เล่า ตอนนี้มีฝีมืออะไรก็แสดงออกมาสิ ฝ่ายตรงข้ามคือเทพเซียน หากเราหนีไปโดยไม่ต่อสู้ ก็จะโดนไล่ตามฆ่าได้อย่างง่ายดาย” แม้ว่าหมิงจุนจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน แต่เมื่อเห็นว่าแดนโพธิสัตว์ที่ตนเองได้สร้างไว้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายหายไปอย่างง่ายดายแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูย่ำแย่ขึ้นอย่างมาก แต่เขายังตะโกนส่งเสียงขึ้นมาอย่างเก็บอาการได้

เมื่อสิ้นเสียงของเขา เขาก็พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วพ่นรัศมีลำแสงห้าสีออกมา ม้วนกระดาษสีขาวดั่งหยกหนึ่งเล่มก็ปรากฏขึ้นมา

จากนั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาร่ายคาถา พร้อมชี้มือขึ้นไปที่บนท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

เสียงดังขึ้นดัง “ตู้ม” เมื่อม้วนกระดาษม้วนนั้นเปิดขึ้นมา มันกลายเป็นภาพโบราณ และมีอักษรสีเงินพุ่งออกมามากมายนับไม่ถ้วน เมื่อมันร้อยเรียงกันก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเงิน และลอยขึ้นไปสู่ตราประทับเลือดอันนั้น

เมื่อของทั้งสองสิ่งสัมผัสกัน ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมแสงสีเงินที่กระจายออกมา

ราวกับว่าตาข่ายสีเงินนั้นแกว่งไปมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่ได้ขาดในทันที ในทางกลับกัน กลับทำให้ตราประทับเลือดนั้นชะงักลงเล็กน้อย

“บันทึกสวรรค์อิ๋นจวิน คาดไม่ถึงว่ามันคือสมบัติสวรรค์ทมิฬ” เมื่อเห็นเช่นนั้นอิ๋๋นกังจือก็รู้ได้ทันที เขาจึงพูดอะไรไม่ออกเลย หลังจากสีหน้าของเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง เขากัดฟันกร๊อด แล้วกระตุ้นคาถาอะไรบางอย่างออกมา

ในตอนนั้นเองร่างกายของเขาก็ส่งเสียงคำรามดังลั่น รัศมีลำแสงสีเงินก็ส่องประกายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างคนยักษ์สีเงินปากเป็นราชสีห์ แววตาเป็นโค ร่างกายสูงหลายสิบจั้ง หลังจากที่สองแขนของมันกวัดไกว่ไปมาแล้ว มันก็กลายเป็นเงาหมัดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่ตราประทับเลือดอันนั้น

หลังจากที่ทุกหมัดถูกปล่อยออกไปแล้ว กลางอากาศก็มีเสียงฟ้าคำรามสั่นสะเทือนเสียงดัง ราวกับว่าหมัดแต่ละหมัดนั้นมีพลังโจมตีระดับเทพอัสนี

นี่คือกระบวนท่าที่ตระกูลของพวกเขาเป็นคนคิดขึ้นมาเอง

ฮูหยินอูหลิงและคนอื่นๆ ก็กำลังร่ายคาถากันงึมงำ ด้านหลังของเขามีแสงสีดำปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเองเงาร่างสีดำหัวสุกรร่างวานรก็ปรากฏขึ้น

หลังจากสัตว์ประหลาดตัวนี้คำรามเสียงดังกึกก้องแล้ว มันก็อ้าปากกว้าง

ทันใดนั้นท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท พวกมันขึ้นไปอยู่ด้านบนของตราประทับเลือดอันนั้นอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน จากนั้นมันก็กัดลงไปอย่างแรง

ราวกับว่ามันสามารถกลืนตราประทับเลือดลงไปได้ในคำเดียว เป็นภาพที่น่ากลัวอย่างมาก

หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดนางในสีเขียวอ่อนกัดฟันกร๊อดเพราะบาดแผลที่ยังคงอยู่ นางก็ลงมือเช่นกันพลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าหมิงจุน ฮูหยินอูหลิงและคนอื่นๆ เลย หลังจากที่นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา เงาร่างขวานยักษ์เจ็ดสีที่มีความยาวมากกว่าพันจั้งก็ปรากฏขึ้นมา และฟันไปที่ตราประทับเลือดอย่างไร้ความปรานี

ส่วนชายหัวโล้นที่อยู่ระดับมหาเมธี ก็แสดงพลังโจมตีไปที่ตราประทับเลือดเช่นเดียวกัน ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ปล่อยมีดบินสิบเล่มออกไป

เหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะลงมือตามลำดับ แต่ความจริงแล้ว เขาแทบจะโจมตีในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการโจมตีทั้งหมดจึงพุ่งตรงไปที่ตราประทับเลือดทันที

เมื่อหม่าเหลียงเห็นดังนั้นเขาก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น ร่างยักษ์สีทองของเขาก็พุ่งไปที่ตราประทับเลือดกลางอากาศ แล้วตะโกนออกไปว่า “หยุด”

ทันใดนั้นเองตราประทับเลือดก็ส่งเสียงคำรามดังลั่น หมอกสีเลือดด้านนอกก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ระลอกคลื่นไร้รูปร่างก็กระแทกออกไป ทำให้การโจมตีทั้งหมดบริเวณใกล้เคียงเกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้น

ภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น

ตาข่ายยักษ์สีเงิน หมัดเงา ขวานยักษ์พันจั้ง และอื่นๆ การโจมตีทั้งหมดต่างถูกแช่แข็งกลางอากาศ ของวิเศษชิ้นอื่นๆ ที่โดนระลอกคลื่นเหล่านั้นกระแทก ก็กลายเป็นเศษฝุ่นอย่างไร้สุ้มเสียง

เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งของมหาเมธีทั้งหลายที่ปล่อยออกไปนั้น หลังจากที่โดนระลอกคลื่นกระแทก พวกมันก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

ด้วยพลังอันน่ากลัวนี้ ทำให้หมิงจุนอดสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจไม่ได้ เขารีบอ้าปากพร้อมพ่นแก่นโลหิตบริสุทธิ์ออกไปหนึ่งกลุ่มท่ามกลางหมอกสีขาวที่อยู่ตรงหน้า

อักษรรูนขนาดใหญ่สีเงินที่ส่องประกายวิบวับหลายสิบตัวก็ปรากฏขึ้นมา ทันทีที่ลมพัดมา อักษรสีเงินขนาดน้อยใหญ่ก็กลายเป็นวงแหวนเรืองแสงสีเงิน

เขตอาคมลำแสงเป็นเพียงการทับซ้อนกันเท่านั้น จากนั้นก็กลายเป็นเจดีย์เรืองแสงสีเงินหลังหนึ่ง หลังจากที่ลมพัดผ่านไปแล้ว เจดีย์แห่งนี้ก็มีขนาดสูงเจ็ดแปดร้อยจั้ง

หลังจากเสียงดัง “ตู้ม” เจดีย์เรืองแสงนั้นก็ตั้งอยู่ด้านล่างของตราประทับเลือดนั้น หลังจากที่มันสั่นอยู่เล็กน้อย มันก็ตั้งตรงลงไป

แต่ทันใดนั้นหมอกเลือดที่อยู่โดยรอบของตราประทับนั้นก็เริ่มหมุนวน ด้านบนปลายแหลมของเจดีย์ก็ถูกแรงกดดันกดทับลงมา ทันใดนั้นก็จมอยู่ในห้วงความลึกหลายพันจั้ง

หลังจากที่ยอดปลายแหลมสีเงินนั้นเลือนรางอีกครั้ง ด้านบนสุดของยอดก็ถูกเปิดออกมา ทำให้ตราประทับเลือดจมลงอีกครั้ง…

ตอนนั้นเอง ทุกอย่างหยุดนิ่ง

แม้จะเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจดีย์สีเงิน แต่ทำให้การกดทับของตราประทับนั้นช้าลงไปเล็กน้อย

ฮูหยินอูหลิงมีใบหน้าซีดเผือด หลังจากนางก็เหลือบไปสบสายตากับอิ๋นกังจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ สองมือก็ยกขึ้นมาร่ายคาถา วิชาสีดำด้านหลังก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งหลังจากที่มันแกว่งแขนไปมาแล้ว มันก็พุ่งตรงไปด้านในแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ตอนนั้นเองใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นก็บิดเบี้ยวไป หลังจากที่แสงสีดำพวยพุ่งออกมา มันก็กลายเป็นยักษ์ตัวหนึ่งที่สูงหลายสิบจั้ง

รูปร่างเป็นหัวสุกรตัววานรเช่นเดิม เหมือนกับวิชามนต์ดำเมื่อก่อนหน้านี้ไม่มีผิด แต่ว่าในครั้งนี้ลำตัวของมันสวมเกราะกระดูกสีขาวเทาอยู่ สองมือที่เต็มไปด้วยขนนั้นกำลังถือกระบี่ยักษ์สีเหลืองอยู่สองเล่ม

มันร้องคำรามเสียงดังลั่น

กระบี่สีเหลืองเล่มยักษ์ที่สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ถืออยู่ก็ฟันลงไปอย่างรุนแรง

“ตู้มๆ” จันทร์เสี้ยวสีเหลืองสองสายจากกระบี่ยักษ์สีเหลืองแทบจะพุ่งออกไปในเวลาเดียวกัน มันพุ่งไปโจมตีฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่งที่อิ๋นกังจื่อกลายร่างเป็นยักษ์ร่างสีเงิน ก็ส่งเสียงดังคำรามเช่นกัน ทันใดนั้นเองประจุสายฟ้าสีเงินชั้นหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากผิวหนัง หลังจากมันเปล่งแสงสว่างวาบแล้ว เขาก็กลายเป็นมนุษย์สายฟ้าสีเงิน

“ไป”

อิ๋นกังจื่อออกคำสั่งเสียงเบา สายฟ้าทั้งหมดก็ร้องคำรามพร้อมพุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้น

มังกรสีทองห้ากรงเล็บที่มีความยาวหลายสิบจั้งก็ปรากฏออกมา มันอ้าปากกางกรงเล็บอย่างดุร้ายและพุ่งตรงไปที่มนุษย์ยักษ์ร่างสีทอง ผู้ที่ควบคุมอยู่คือชายชราถือไม้เท้าสีทองอยู่ จากนั้นเขาก็โยนไม้เท้าออกไป พร้อมกลายร่างเป็นเงาร่างมังกรตัวจริง พร้อมพุ่งออกไป

เงาขวานยักษ์ขนาดพันจั้งก็มีแสงสว่างสีเขียวกระจายออกมา หัวผีขนาดใหญ่เท่าล้อเกวียน หลายสิบหัว ก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งมหาเมธีคนอื่นๆ ก็พร้อมใจโจมตีพร้อมกันอีกครั้ง

“รนหาที่ตาย”

หม่าเหลียงที่กลายร่างเป็นยักษ์ร่างทอง เขาล้วนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด อีกทั้งก็คำรามเสียงดังสนั่น จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพ่นอักษรรูนสีทองออกมาจำนวนมากมายมหาศาล ราวกับสายน้ำเชี่ยว

เสียงระเบิดดังขึ้น

ทันใดนั้นพายุหมุนก็พัดมาอยู่ด้านหน้าของยักษ์ร่างทอง ทำให้เกิดเป็นม่านวายุสีทองขนาดใหญ่เทียมฟ้า

กระบี่สีเหลือง สายฟ้าสีเงิน มักรสีทอง พุ่งเข้าไปที่ม่านวายุพร้อมกัน จากนั้นก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้น แล้วมันก็สลายหายไปทันที ส่วนขวานยักษ์ หัวผี และเคล็ดวิชาอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลัง ไม่มีทางเข้าใกล้ม่านวายุสีทองได้เลยแม้แต่นิดเดียว มันปิดกั้นทุกอย่างไว้ด้านนอกอย่างสมบูรณ์แบบ มันสามารถหมุนวนต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่ฝ่ายเราไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย

ตอนนั้นเอง ใบหน้าของเหล่ามหาเมธีล้วนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ

“ทำไมสหายทั้งสี่ถึงไม่ยอมลงมือเล่า หรือว่าเจ้าจะผิดสัญญาของพวกเรา?” น้ำเสียงของหมิงจุนราบเรียบเหมือนน้ำนิ่ง เขาหันกลับไปถามคนที่ยืนอยู่กลางอากาศในบริเวณใกล้ๆ

“ผิดสัญญา? พี่หมิง ตอนแรกพี่ไม่ได้บอกว่าพวกเราว่าพวกเราต้องรับมือกับเซียนท่านนั้นนี่นา” บริเวณนั้นก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้น ชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีดำหน้าตาคล้ายกันก็ปรากฏขึ้นสี่คน หนึ่งในคนเหล่านั้นที่เป็นผู้อาวุโสที่สุดก็พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ

อีกทั้งเมื่อมองจากปราณของพวกเขา พวกเขาคืออสูรสีดำสี่หัว ที่แอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของ

หม่าเหลียงอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ว่าในเวลานี้เขากลายร่างเป็นมนุษย์สี่คนแล้วก็เท่านั้นเอง

“สัญญาที่ข้าเขียนกับพวกเจ้าทั้งสี่คนเมื่อตอนนั้น ก็ไม่มีได้ประโยคไหนที่บอกว่าพวกเจ้าจะสามารถถอยหนีเมื่อเจอเซียนได้ ไม่เช่นนั้นเพื่อสัญญาฉบับนี้ ข้าไม่ลงทุนลงแรงไปขนาดนั้นหรอก หากพวกเจ้าผิดสัญญาแล้ว พวกเจ้าไม่กลัวโดนพลังสะท้อนกลับของสัญญาหรอกหรือ มันจะทำให้ระดับของพวกเจ้าลดลงไปไม่น้อยเลยไม่ใช่หรือ?” หลังจากหมิงจุนเลิกคิ้วขึ้น เขาก็พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย

“เหอะ แม้ว่าระดับของข้าจะลดลงไป แต่ก็ดีกว่ามาตายอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มสวมชุดเกราะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งครึ้ม และใบหน้าดำมืด

“ตายอยู่ที่นี่? หึๆ ข้าจะหาจุดจบให้พวกเจ้าทั้งสี่คนได้อย่างไรกันนะ? เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวขอเพียงพวกเจ้าทั้งสี่ใช้พลังอัคคีเที่ยงแท้โจมตีไปที่เขาคนนั้นแค่ครั้งเดียว แล้วข้าจะทำลายสัญญาฉบับนั้นให้ แล้วปล่อยพวกเจ้าไปเป็นอย่างไร?” หลังหมิงจุนแค่นหัวเราะหึๆ แล้ว น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“ท่านพูดจริงหรือ?” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำก็พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ พร้อมถามกลับทันทีอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าจะโกหกในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร ข้ายินดีจะสาบานให้กับคำพูดเมื่อครู่นี้” หมิงจุนพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ พวกเราพี่น้องก็จะช่วยเจ้าอีกครั้ง สหายไม่จำเป็นต้องสาบานใดๆ ทั้งสิ้น แต่หลังจากลงมือแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ข้าจะรีบไปจากที่นี่ทันที” หลังจากที่ชายหนุ่มชุดเกราะสีดำปรึกษาผ่านทางสายตากับคนอื่นอีกสามคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็พยักหน้าตอบตกลง

“เช่นนั้นก็รบกวนให้พวกเจ้าทั้งสี่ฟังคำสั่งของข้าแล้วค่อยลงมือ” หมิงจุนถอดหายใจออกมาพร้อมสีหน้าโล่งอก

ตอนที่พวกเขากำลังปรึกษากันอยู่นั้น หม่าเหลียงที่กลายร่างเป็นยักษ์สีทองอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับร่ายคาถาพึมพำอีกครั้ง หลังจากนั้นก็มีแสงสีเลือดจางๆ ปรากฏขึ้นที่กลางหน้าผาก แก่นโลหิตบริสุทธิ์สีทองก็หยดออกมา หลังจากที่มันสว่างวาบแล้ว มันก็กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่ง พุ่งตรงขึ้นไปสู่คราบเลือดขนาดยักษ์

ตอนนั้นเองตราประทับเลือดก็ส่งเสียงดังสนั่น หลังจากที่หมอกสีเลือดพัดไปพัดมาแล้ว เส้นเลือดก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และมีจำนวนนับไม่ถ้วน นับมากกว่าร้อยเส้นได้ ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นมันก็โผล่ออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง

“แย่แล้ว”

หมิงจุนตกใจอย่างมาก เขารีบชี้มือไปทางม้วนกระดาษสีเงินที่อยู่ตรงหน้า เมื่อม้วนกระดาษสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง มันก็กลายเป็นม่านแสงสีเงินเข้าปกป้องตัวเขา ฮูหยินอูหลิง อิ๋นกังจื่อ และแม่นางสวมชุดนางในสีเขียวอ่อน สามคนนี้ที่อยู่ด้านด้านข้างของเขา

มหาเมธีคนอื่นๆ ก็ตกใจอย่างมาก พวกเขาหนีเข้าไปในม่านแสงนั้นไม่ทัน จึงทำได้เพียงหยิบสมบัติออกมาใช้ปกป้องตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะเดียวลำแสงวิญญาณก็ปรากฏขึ้นมาปกป้องตัวของมหาเมธีคนอื่นๆ

หลังจากเส้นเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาแล้ว แทบจะทุกพื้นที่กลายเป็นรูพรุนไปหมด ในขณะเดียวกันก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายเสียง

ปลายเจดีย์ที่ห่างออกไปไม่ไกลก็โดนทะลวงเหมือนถูกเจาะมากกว่าร้อยรู และส่ายไปมาอย่างไม่มั่นคง ส่วนชายหัวโล้นและมหาเมธีคนอื่นๆ หลังจากผ่านวิกฤตเส้นไหมเลือดมาได้แล้ว ของวิเศษที่ใช้ปกป้องกายและลำแสงวิญญาณก็ค่อยๆ แตกสลายไปทั้งหมดแล้ว บนร่างกายของพวกเขามีรูทะลุผ่านร่างขนาดเล็กๆ มากกว่าร้อยรู

ชายหัวโล้นและมหาเมธีคนอื่นๆ ทำได้เพียงมองดูรูของร่างกายตนเอง พริบตาเดียวก็มีเปลวเพลิงสีเลือดทะลักออกมาจากรูเหล่านั้น ครู่เดียวคนเหล่านี้ก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีเขียว ขนาดจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดก็หลบหนีไม่ทันเช่นเดียวกัน