บทที่ 539.1 อยู่ห่างไปไกลแสนไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

แคว้นสุ่ยเซียวคือแคว้นแห่งสายน้ำ หนองบึงและทะเลสาบที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน เมืองและมณฑลส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงตัวเมืองหลวงเองล้วนสร้างอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งที่ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เป็นเหตุให้มีการขนส่งทางน้ำหนาแน่น เรือมีจำนวนมาก มีลำธารใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสายหนึ่งชื่อว่าธารดอกท้อ ธาตุน้ำมีความอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ชายฝั่งทั้งสองข้างปลูกต้นท้อไว้เรียงราย บนถนนมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่คือปัญญาชนผู้มีความรู้ที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือ

เฉินผิงอันจึงเดินเลียบธารน้ำเส้นนี้ไป ไม่ได้ตรงไปยังอำเภอแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับทะเลสาบ แต่เลือกเดินไปยังทางแยกสายเล็ก กระทั่งมาถึงสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของตระกูลเซียนอย่างท่าเรือดอกท้อ ขอแค่ผู้ฝึกตนสามารถทลายเขาวงกตสายน้ำขุนเขาที่เป็นเวทอำพรางตาชั้นต่ำตื้นเขินมาได้ก็จะสามารถเดินเข้าไปในท่าเรือแห่งนี้ พอเข้ามายังพื้นที่ลับแล้ว การมองเห็นก็จะพลันเปิดกว้าง ที่ท่าเรือดอกท้อมีภูเขาเขียวอยู่ลูกหนึ่ง บริเวณโดยรอบของภูเขาเขียวคือทะเลสาบขนาดเล็กที่ผืนน้ำเป็นสีเขียวเข้มนิ่งสงบ บนท่าเรือมักจะมีก้อนเมฆสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ตลอดทั้งปี ประหนึ่งเซียนสวมชุดเขียวบนศีรษะสวมกวานสีขาวหิมะ ยามที่เรือข้ามฟากมาถึงก็ต้องข้ามผ่านทะเลเมฆแห่งนั้นมาให้ได้ก่อน คนธรรมดาทั่วไปจึงมักจะมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเรือข้ามฟาก

ท่าเรือดอกท้อเป็นของจวนไฉ่เชวี่ยจวนตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นสุ่ยเซียว ในจวนแห่งนั้นมีแต่ผู้ฝึกตนหญิง พวกนางจะฝึกตนด้วยการหล่อหลอมน้ำในลำธารดอกท้อพร้อมกับดอกไม้พืชพรรณจำนวนมากของตระกูลเซียน บวกกับใช้วิชาลับเฉพาะบางอย่างที่สืบทอดมาแต่โบราณ นำมาถักทอเป็นชุดคลุมอาคมของสำนักบนภูเขา จวนไช่เฉวี่ยมีกำลังคนน้อยและทรัพยากรน้อย ปีหนึ่งสามารถทอชุดคลุมอาคมได้แค่หกชิ้นเท่านั้น ว่ากันว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปได้สั่งจองไปถึงอีกร้อยปีให้หลังแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนจะนำไปเตรียมไว้ให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ห้าขอบเขตล่างที่อยู่ใกล้กับคอขวด เอาไว้เป็นหนึ่งในของขวัญแสดงความยินดีสำหรับการได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางในอนาคต

สำหรับเรื่องของการโดยสารเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันคุ้นชินมานานแล้ว เขาไปสอบถามรายละเอียดของเรือข้ามฟากจากหอสูงแห่งหนึ่งที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘วสันต์อยู่ต้นลำธาร’ จ่ายเงินแล้วก็รับเอาป้ายไม้ท้อที่สลักภาพมงคลขับไล่เสนียดจัญไรที่ประณีตงดงามชิ้นหนึ่งมา เรือจะออกเดินทางคืนนี้ มุ่งหน้าไปยังถ้ำสวรรค์วังมังกร ระหว่างทางจะหยุดจอดพักค่อนข้างบ่อย เพราะว่าจะต้องจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวมากมายของตระกูลเซียน เพื่อสะดวกให้ผู้โดยสารลงจากเรือไปท่องเที่ยวตามภูเขาสายน้ำ เส้นทางการทำเงินประเภทนี้ อันที่จริงทั้งเส้นทางมังกรเดินของแจกันสมบัติทวีป และเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า ต่างก็ถือว่าใช่ ผู้โดยสารชื่นชอบ ใช้ทัศนียภาพอันงดงามมาสร้างความสบายตาสบายใจให้กับตัวเอง แล้วก็ถือโอกาสซื้อผลิตพันธ์พิเศษของตระกูลเซียนในแต่ละสถานที่มาเก็บไว้ จวนตระกูลเซียนในพื้นที่ก็ยิ่งยินดีต้อนรับ ผู้คนสัญจรไปมา ล้วนถือว่าเป็นเงินเทพเซียนที่มีขาเดินเองได้ เรือข้ามฟากก็ได้ความสัมพันธ์ควันธูปจากตระกูลเซียนที่อยู่ระหว่างทาง ไม่แน่ว่าอาจยังได้รับส่วนแบ่ง ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว

ทางฝั่งของท่าเรือแห่งนี้ จวนไช่เฉวี่ยได้เปิดหอเทียนอี (อาภรณ์สวรรค์) ขึ้นมาแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้โดยสารสามารถมาชมขั้นตอนการถักทอชุดคลุมอาคมหลายสิบชุดได้จากที่นี่โดยไม่ต้องจ่ายเงินเทพเซียน ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปชมด้านในได้

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่พลาด พอไปถึง เขาก็เดินลอดผ่านระเบียงพร้อมกับกลุ่มคนไปช้าๆ ในห้องทุกห้องจะมีผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยกำลังก้มหน้าง่วนทำงาน ยิ่งเป็นห้องหลัง ประกายแสงอัญมณีของชุดคลุมอาคมที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ชิ้นหนึ่งก็จะยิ่งทอประกายเจิดจ้าพร่างตา

อันที่จริงเฉินผิงอันมีความคิดว่าจะซื้อไว้สักชุด เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะมาถึง อีกทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการดูชุดคลุมอาคม กังวลว่าต่อรองราคาไม่ได้ผลแล้วยังจะกลายเป็นว่าเสียท่าจ่ายเงินเกินราคาไปอีก การค้าขายบนภูเขาจำนวนไม่น้อย เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสามารถประหยัดเงินได้มากกว่าผู้ฝึกตนอิสระได้อย่างแท้จริง การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า หากไม่ใช่การค้าที่ทำกันเพียงครั้งเดียว ราคาที่ฝ่ายขายเสนอมาย่อมจะต้องนึกถึงภูเขาเบื้องหลังเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอยู่หลายส่วน ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หัวที่ห้อยไว้ตรงสายรัดเอวก็ไม่รู้ว่าจะร่วงหล่นลงบนพื้นวันไหน ภูเขาตระกูลเซียนใครก็ยินดีให้ได้เงินน้อยเพื่อแลกมาด้วยน้ำใจที่ติดค้างทั้งนั้น

เฉินผิงอันเชื่อว่าในมือของจวนไช่เฉวี่ยจะต้องมีชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นดีที่สุดเก็บไว้สักชิ้นสองชิ้น รวมไปถึงชุดคลุมอาคมที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจำนวนหนึ่งเพื่อเตรียมไว้ในยามฉุกเฉิน เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนทั่วไปเปิดปาก แน่นอนว่าจวนไช่เฉวี่ยย่อมไม่มีทางสนใจ

เฉินผิงอันจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ฉีจิ่งหลงไม่ได้อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นหากเจ้าหมอนี่ช่วยพูดให้เขา ถึงเวลานั้นคิดจะขอราคาที่ค่อนข้างยุติธรรมมาจากผู้ฝึกตนหญิงจวนไช่เฉวี่ยแห่งนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่าเหตุนัก

หากจวนไช่เฉวี่ยมีเทพธิดาที่ลำดับอาวุโสไม่ต่ำแล้วยังชื่นชมเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีปผู้นี้อยู่พอดี จะต้องยินดีขายชุดคลุมในราคาทุนให้อย่างแน่นอน เขาเฉินผิงอันคิดจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ไม่ใช่หรือ?

ตอนที่ออกมาจากหอเทียนอี เฉินผิงอันรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งนัก วัตถุอย่างชุดคลุมอาคม ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำแค่ไหน ต่อให้เจ้าจะเป็นตระกูลเซียนอักษรจงที่ในคลังสมบัติมีชุดคลุมอาคมกองกันเป็นภูเขาอยู่นานแล้ว ก็ยังไม่รังเกียจว่ามากเกินไป

การที่เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารมีราคาแต่หาซื้อไม่ได้ ก็มาจากสาเหตุนี้

ฝึกบำเพ็ญตนก็เพื่อความเป็นอมตะ กาลเวลายาวนาน ไม่กริ่งเกรงความร้อนหนาว หวาดกลัวเพียงอย่างเดียวคือหนึ่งในหมื่นนั้น ชุดคลุมอาคมตระกูลเซีย ก็เหมือนกับเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างหวาน จินอูจิงเหวย และเสื้อเกราะควันธูปของสำนักการทหารที่ต่างก็มีไว้เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันหนึ่งในหมื่น ผู้ฝึกตนลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ มีหรือไม่มีชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะติดกาย คือเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันเพิ่งจะออกมาจากหอทอผ้าก็มีผู้ฝึกตนหญิงลักษณะท่าทางไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินมาหาเขาช้าๆ

ในเมื่อเป็นงูเจ้าถิ่นจากจวนไช่เฉวี่ยที่มาเยือนถึงที่

เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน แล้วเป็นฝ่ายประสานมือคารวะก่อน

ผู้ฝึกตนหญิงคารวะกลับคืนแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าคือผู้ฝึกตนผู้ดูแลกฎประจำศาลบรรพจารย์ของจวนไช่เฉวี่ย นามว่าอู่ชวิน อู่เขียนด้วยอักษรจื่อและเกอ ชวินเขียนด้วยอักษรซานและจวิน”

เฉินผิงอันรู้สึกคลางแคลงอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนใหญ่ของจวนไช่เฉวี่ยที่ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในหอ เหตุใดถึงต้องมาพบตน แต่กระนั้นก็ยังบอกชื่อของตัวเองออกไปว่า “ข้าแซ่เฉิน นามคนดี”

ไม่หน้าแดงเลยสักนิด

ทว่าชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนี้มีความหมายดีจริงๆ

ไม่แย่ไปกว่าเฉินคนดีเลย

ผู้ฝึกตนหญิงเห็นพวกผู้ฝึกตนข้ามถิ่นที่อำพรางตัวตนอย่างมิดชิดมาหลายคนแล้ว นางจึงไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็ถามเข้าประเด็นว่า “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ เซียนซือเฉินรู้จักหลิวจิ่งหลง ท่านหลิวแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในอุตรกุรุทวีป ใครยบ้างที่ไม่รู้จักหลิวจิ่งหลง?”

คนของอุตรกุรุทวีปเคยชินที่จะเรียกชื่อซึ่งถูกบันทึกไว้ในศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุยอย่างหลิวจิ่งหลง ไม่ใช่ชื่อก่อนขึ้นภูเขาอย่างฉีจิ่งหลง

ความลับของเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ได้ถาม ฉีจิ่งหลงเองก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง

อู่ชวินหลุดหัวเราะพรืด

คำตอบนี้ไม่ได้มีความจริงใจอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะหาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้เลย

อู่ชวินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าจวนของพวกเราปิดด่าน แต่ในอดีตเจ้าจวนเคยโชคดีได้เดินทางท่องเที่ยวผ่านภูเขาสายน้ำร่วมกับท่านหลิวระยะเวลาหนึ่ง มันส่งผลประโยชน์ต่อการฝึกตนของนางอย่างมาก แล้วนางก็เคารพเลื่อมใสในนิสัยใจคอของท่านหลิวมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านหลิวไม่เคยเดินทางผ่านภูเขาของเราเลย เจ้าจวนของพวกเราจึงรู้สึกเสียดายไม่น้อย”

ในความเป็นจริงแล้วอู่ชวินเองก็พูดจริงบ้างเท็จบ้าง เจ้าจวนสาวของจวนไช่เฉวี่ยคนปัจจุบัน หากนับตามลำดับอาวุโสแล้วก็ถือว่าเป็นศิษย์หลานของนางอู่ชวิน เพียงแต่ว่าพรสวรรค์ดีกว่าอาจารย์อาอย่างนางไปมาก บนเส้นทางการฝึกตนไม่เคยแบ่งแยกอายุ ใครที่เรียนรู้ได้เร็วก็ประสบผลสำเร็จก่อน ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเองก็ยอมรับในหมัดอย่างมาก เจ้าจวนของตนผู้นั้นไม่เพียงแต่เลื่อมใสในตัวหลิวจิ่งหลง ยังหลงรักเขาด้วย ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้ปิดด่าน แต่เป็นเพราะพบเบาะแสน้อยนิดที่เกิดจากการเซ่นกระบี่ในแคว้นฝูฉวีก่อนหน้านี้ เจ้าจวนจึงรีบร้อนไล่ตามไป คิดว่าจะแสดงฉากพบเจอกันโดยบังเอิญสักครั้ง เพียงแต่ว่าเรื่องประเภทนี้ เป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรเอ่ยออกมาตามตรง อู่ชวินจึงไม่กล้าพูดอะไร

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา

เจ้าจวนปิดด่าน เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของจวนตระกูลเซียนบนภูเขา

แต่ดูจากภาพปรากฎการณ์อันเป็นมงคลของจวนไช่เฉวี่ยและท่าเรือดอกท้อแห่งนี้กลับไม่เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้บรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ท่านหนึ่งอาจจะไม่ได้มีตบะสูงที่สุดของตระกูลเซียน แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการฝึกตนมากที่สุดของบนภูเขา หากเจ้าจวนปิดด่านจริงๆ อู่ชวินย่อมไม่มีทางเดินมาพูดกับคนนอกต่างถิ่นคนหนึ่งง่ายๆ เช่นนี้แน่ บวกกับถ้อยคำเกรงอกเกรงใจที่เอ่ยถึงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยกับหลิวจิ่งหลง เฉินผิงอันก็เข้าใจได้ทันที ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายแอบไปดักรอหลิวจิ่งหลงระหว่างการเดินทางกลับเหนือของเขาอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะปกปิดอะไรอีก ในเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะมอบความจริงใจมาให้แล้ว เฉินผิงอันก็ย่อมต้องมอบผลท้อตอบแทนผลหลี เขาเอ่ยว่า “ข้ากับฉีจิ่งหลงสนิทกันมากจริงๆ”

แล้วก็เปลี่ยนมาใช้คำเรียกขานยามที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

จิตวิญญาณของอู่ชวินสั่นสะท้านเล็กน้อย เพียงแต่ว่าสีหน้ายังคงเป็นปกติ

ก่อนหน้านี้แม้ว่านางพอจะเดาได้บางส่วน แต่เมื่ออีกฝ่ายยอมรับว่ารู้จักหลิวจิ่งหลงจริงๆ เซียนดินโอสถทองอย่างอู่ชวินก็ยังคงสัมผัสถึงแรงกดดันอย่างไร้รูปลักษณ์ได้ในชั่วพริบตา

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นฝูฉวีที่ภูเขาไม่สูงน้ำไม่ลึกซึ่งเป็นเพื่อนบ้านแห่งนั้น หลิวจิ่งหลงได้เรียกกระบี่ออกมา ภาพปรากฎการณ์แห่ง ‘กฎเกณฑ์’ ที่ไม่ว่าใครก็เสแสร้งแกล้งสวมรอยไม่ได้ขุมนั้น เจ้าจวนของตนมองทะลุได้ในปราดเดียว แล้วก็แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายทันที

แล้วตอนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าด้านข้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวจิ่งหลงก็มีเซียนกระบี่อีกท่านหนึ่งออกกระบี่ตามมาติดๆ อีกทั้งยังเรียกกระบี่บินอีกสองเล่มออกมาพร้อมกันด้วย!

ร่วมออกกระบี่เซ่นไหว้เซียนกระบี่ใหญ่ที่รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับหลิวจิ่งหลง

อู่ชวินเองก็ไม่ใช่คนโง่

หากมือกระบี่ชุดดำที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกตรงหน้าผู้นี้มาถึงท่าเรือดอกท้อแล้ว ต่อให้เขาจะเปิดเผยตบะของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินออกมา แล้วตะโกนบอกต่อหน้าตนว่าตัวเขาคือเพื่อนสนิทของเจียวหลงบนบก อู่ชวินย่อมไม่มีทางเชื่อ

ทว่าผู้ฝึกกระบี่แปลกหน้าคนหนึ่งที่สามารถร่วมออกกระบี่พร้อมกับหลิวจิ่งหลงบนยอดเขา ต่อให้อยู่ในอาณาเขตของจวนไช่เฉวี่ยแล้วร่ำร้องตะโกนว่าข้าผู้อาวุโสไม่รู้จักหลิวจิ่งหลง ตีให้ตายอู่ชวินก็ไม่เชื่อ

บนภูเขาของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระก็ล้วนไม่กลัวเจียวหลงบนบกผู้นี้ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าหลิวจิ่งหลงจะฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ จะอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น หรือใช้กำลังที่มากกว่ามาบีบคั้นผู้อื่น

แต่ขณะเดียวกัน ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน แล้วก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะแพ้หรือชนะ ทว่าพวกเขาก็ยังต้องกลัวการออกกระบี่ของหลิวจิ่งหลงอยู่ไม่มากก็น้อย

หลิวจิ่งหลงผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบหวนคิดเรื่องราวร้อยรอบพันตลบ ชอบใช้เหตุผลมาอธิบายราวกับหญิงแก่ขี้บ่นเลือกที่จะออกกระบี่ต่อหน้าแล้ว ใครเล่าจะไม่บ่นอยู่ในใจว่าเป็นเพราะตนไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่ ตนไร้คุณธรรมจริงๆ หรือเปล่า? แล้วหลังจากนี้ตนจะกลายเป็นหนูวิ่งข้ามถนน สูญเสียการปกป้องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินหรือไม่? ฝึกตนอยู่บนภูเขา ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนลัทธิมารก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น การที่ชอบฆ่าคนพร่ำเพื่อตามใจปรารถนา กับการลงมืออย่างอำมหิตซึ่งมีเหตุผลให้พออภัยได้ หนึ่งคือฟ้า อีกหนึ่งคือดิน

และนี่ก็คือจุดที่แข็งแกร่งของหลิวจิ่งหลง

—-