ตอนที่ 879 การดำรงชีวิต

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“ทำไมฉันต้องพกมือถือไปด้วยเล่า?”

เยี่ยเทียนแปลกใจ พลังปราณแท้ในร่างกายของเขาที่แผ่ออกมาห่อหุ้มร่างกาย เป็นพลังงานแม่เหล็ก ถึงเยี่ยเทียนพกมือถือไว้กับตัว มันก็ไม่มีสัญญาณ ตอนหลังแม้แต่โทรศัพท์ดาวเทียมเยี่ยเทียนยังขี้เกียจจะพก

“ฉันคิดถึงนายแต่ฉันไม่รู้ว่านายอยู่ที่ไหน ยังได้ยินเสียงรอสายว่าโทรศัพท์ต่อสายไม่ติด”

เสียงของอวี๋ชิงหย่าน้อยอกน้อยใจ แต่กลับเป็นความคิดที่ซื่อตรงของเธอ หลายปีมานี้เยี่ยเทียนยิ่งทำตัวลึกลับ ทำให้อวี๋ชิงหย่ารู้สึกว่ากำลังจะเสียเขาไป

“เด็กโง่ ต่อไปเธอจะไม่ได้ยินว่าโทรศัพท์ต่อสายไม่ติดอีกแล้ว!”

เยี่ยเทียนรู้สึกสะท้อนใจ ยื่นมือออกไปโอบกอดภรรยา

“ฉันให้สัญญา ก่อนที่โทรศัพท์จะติดต่อไม่ได้ ฉันจะบอกเธอก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่ได้บอกเธอก่อนละก็ มือถือของฉันจะยังคงโทรติดอยู่เสมอ!”

“จริงหรือ?”

อวี๋ชิงหย่าเงยหน้ามองเขา เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนเหมือนนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า เธอไม่อยากผูกมัดสามีไว้อยู่ข้างกาย เพียงแต่ตอนที่เยี่ยเทียนไม่อยู่ เธอแค่อยากจะได้ยินเสียงของสามีบ้างเท่านั้น

“แน่นอนที่สุด ฉันเคยหลอกเธอเมื่อไหร่?”

เยี่ยเทียนยิ้ม เยี่ยเทียนดีดนิ้วทีหนึ่ง แสงไฟในห้องดับลง ไม่นานเสียงจังหวะรักก็ดังขึ้นตามมา

…………-

หลังจากได้ยาสมุนไพรมากมายกลับมาจากอาณาเขตแห่งเทพกสิกร โก่วซินเจียกลัวว่าถ้าเก็บไว้นานเกินไปฤทธิ์ยาจะเสื่อมลง วันรุ่งขึ้นเขาเดินทางกลับฮ่องกงทันที ส่วนเยี่ยเทียนต้องการจะพักผ่อนสงบจิตใจจึงอยู่ที่บ้านในปักกิ่ง

ในโลกมนุษย์พลังธรรมชาติช่างเบาบาง ไม่มีประโยชน์ใดกับเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนกักเก็บผลการฝึกวิชาเอาไว้ภายใน แม้แต่พลังปราณแท้ที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่เป็นปกติเขาก็เก็บมันลงไปเช่นกัน และเริ่มใช้ชีวิตแบบคนปกติ

เยี่ยเทียนไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่ในปักกิ่งมากนัก แต่ก็ไม่น้อย สหายที่คุ้นเคยรู้ข่าวว่าเขากลับมาแล้ว อย่าง             เว่ยหงจวินต่างเดินทางมาหาเขาถึงบ้าน แม้แต่ต่งเซิ่งไห่ยังบินกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาขอบคุณเยี่ยเทียนโดยเฉพาะ

ด้านรัสเซียก็ไม่แพ้กัน ตอนที่เยี่ยเทียนเพิ่งจากมาไม่นาน พวกเขาได้ตรวจสอบสาเหตุความขัดแย้งในมอสโคว อย่างแน่ชัดแล้ว ต่งเซิ่งไห่ย่อมโดนหางเลขไปด้วย แต่ต่งเซิงไห่อยู่ในประเทศจีน ต่อมาแอบกลับไปที่ศูนย์ใหญ่สมาคม     หงเหมินในซานฟรานซิสโก ทางรัสเซียก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว

หลังจากเผชิญวิกฤตในเมืองไทยมาแล้วทั้งยังเกือบถูกล้างตระกูล ต่งเซิงไห่ตอนนี้รอดพ้นจากความทุกข์ยากด้วยบุญกุศลที่เคยสั่งสมมาเกือบครึ่งชีวิต ทำให้เขาดูมีสง่าราศีขึ้นมา

ยังมีจู้เหวยเฟิงที่มอบสนามมวยใต้ดินให้คนอื่นไปดูแลแทนแล้วเริ่มทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะด้วยมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีอีกทั้งช่วงนี้ราคาบ้านและที่ดินพุ่งสูงขึ้น กิจการของเขาใหญ่โต เขาเหมือนออกจากวงการหนึ่งมาอยู่ในอีกวงการหนึ่งแทน

นอกจากการดื่มชาพบปะพูดคุยบ้างเป็นครั้งคราว เยี่ยเทียนตื่นแต่เช้าไปวิ่งออกกำลังกายเป็นเพื่อนอวี๋ชิงหย่า รับประทานมื้อเย็นเสร็จออกไปเดินเล่น การใช้ชีวิตตามประสาคนธรรมดาทำให้พลังงานอาฆาตที่สะสมจากการเข่นฆ่าคนมากมายของเยี่ยเทียนค่อยๆจางหายไป

“พี่ ได้ยินว่าพี่รู้จักเฉินจิ้งหลัน พี่ช่วยขอลายเซ็นมาให้หนูหน่อยได้ไหม?”

ตลอดบ่ายวันนั้นเยี่ยเทียนนั่งเป็นเพื่อนคุยกับมารดาอยู่ในเรือนกลาง หลิวหลันหลันสะพายเป้วิ่งเข้ามา ผ่านมาหลายปี เด็กสาวตัวซูบผอม ตัวสูงขึ้นมาก สูงถึง 168 เซ็นติเมตรแล้ว มองดูเหมือนเป็นสาวเต็มตัว

“เฮ้อ หลันหลันของเราเริ่มบ้าดาราแล้ว?”

เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา เขารู้ว่าเด็กวัยนี้ต่างมีดาราเป็นต้นแบบ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนเข้าใจดี ตอนเด็กๆเขาก็เคยอยากได้ลายเซ็นของโจวเหวินฟะที่คาบไม้จิ้มฟันถือปืนคนนั้นเหมือนกัน

“พี่ พี่จะช่วยหนูไหม?”

หลิวหลันหลันดึงมือเยี่ยเทียนอย่างอ้อนวอน เยี่ยเทียนไม่มีพี่น้อง มีเพียงลูกพี่ลูกน้องสาวคนนี้ที่เขารักทะนุถนอมที่สุด หลิวหลันหลันสอบได้คะแนนไม่ดีถูกพ่อแม่ของเธอตำหนิทุกครั้งจะต้องวิ่งมาหาเยี่ยเทียนให้ช่วย

เยี่ยเทียนแอบหันไปยิ้มกับมารดา

“ถ้าอยากได้ลายเซ็นดาราไปหาอาสะใภ้หนูสิ ต่อให้เป็นดาราฮอลลี่วู้ดในอเมริกาเขาก็หามาให้ได้!”

เยี่ยเทียนรู้จักเฉินจิ้งหลัน แต่ไม่ได้ติดต่อกันมาสามสี่ปีแล้ว แต่ข่าวคราวของเฉินจิ้งหลันเขาได้ข่าวอยู่ไม่ขาด

เหมือนกับที่ตอนนั้นเฉินจิ้งหลันมาดูดวงกับเขา หลายปีมานี้เธอโด่งดังขึ้นมาเป็นพลุแตก ทั้งโทรทัศน์ภาพยนตร์ดนตรี ยังได้ร่วมมือกับผู้กำกับใหญ่ของฮ่องกงไต้หวัน แค่เปิดโทรทัศน์ มีโฆษณาของเธอขึ้นอยู่เป็นระยะ จะให้ไม่รับรู้ข่าวของเธอคงเป็นไปไม่ได้

“หลันหลัน หนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วยังไม่ตั้งใจเรียนอีก อยากรู้จักดาราพวกนี้ไปทำไม?”

เยี่ยเทียนพูดไม่ผิดซ่งเวยหลันรู้จักดาราทางฝั่งยุโรปอเมริกามากมาย ด้วยเหตุผลทางการงานของบริษัทที่ ต้องการดารามานำเสนอสินค้า ในสายตาของซ่งเวยหลัน ดาราพวกนี้เป็นตัวแทนของความตื้นเขินและการไม่ให้เกียรติตัวเอง เธอไม่ค่อยถูกชะตานัก

“อาสะใภ้คะ หนูเรียนดีนะคะ หนูรับรองว่าจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยหวาชิงให้ได้!”

หลิวหลันหลันเบะปากมองเยี่ยเทียนด้วยแววตาตั้งความหวัง

“พี่ หนูบอกเพื่อนไปแล้วว่าต้องทำให้ได้ พี่ต้องช่วยหนูนะ!”

“ก็ได้ พี่รับปาก”

เยี่ยเทียนหัวเราะ

“แต่เธอต้องบอกพี่มาก่อนว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าพี่รู้จักเฉินจิ้งหลัน?”

แค่ลายเซ็นต์เท่านั้น เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องไปหาเฉินจิ้งหลันถึงที่ เพราะผู้จัดการส่วนตัวหรือบริษัทที่เซ็นต์สัญญากับนักแสดงต้องมีรูปพร้อมลายเซ็นต์ของเธออยู่แล้ว เพื่อความสะดวกเมื่อต้องการแจกจ่าย

เยี่ยเทียนยังรู้อีกว่าเฉินจิ้งหลันเซ็นต์สัญญากับบริษัทบันเทิงหวาเซิ่งแห่งฮ่องกง เขาแค่บอกกับเถ้าแก่หวาคำเดียว อย่าว่าแต่รูปใบเดียวเลย ให้มาเป็นคันรถหวาเซิ่งก็หาให้ได้ตามความประสงค์ของเยี่ยเทียน

“พี่สะใภ้เป็นคนบอกหนูเอง อิอิ สุดสัปดาห์นี้พี่สะใภ้ยังจะพาหนูไปดูคอนเสิร์ตเฉินจิ้งหลันด้วย”

ได้รับการตอบรับเป็นที่พอใจแล้วหลิวหลันหลันก็วิ่งจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้เยี่ยเทียนที่ทำหน้าลำบากใจกับซ่งเวยหลันที่ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

“แม่ ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ?”

เยี่ยเทียนไม่ชอบสายตาที่มารดามองเขาแบบนั้น

“ลูก ชื่นชอบแต่พอดีไม่เป็นไร แต่อย่าให้ถึงกับแต่งเข้ามาในบ้านเลย นอกจากว่าลูกจะไปอยู่ที่ประเทศอาหรับ!”

เธอทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ซ่งเวยหลันมีอะไรไม่เคยพบเห็นบ้าง? ลูกชายของเธอแต่งงานมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูกเสียที และนี่ก็เป็นเรื่องที่ค้างคาใจซ่งเวยหลันอยู่เหมือนกัน แม้เธอกับลูกสะใภ้จะมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ซ่งเวยหลันไม่ได้สนใจว่าลูกชายของเธอจะมีแฟนหลายคน

“แม่ พูดไปถึงนั่น? เอาเถอะ ผมจะไปรับชิงหย่าเลิกงานก่อน ไม่คุยกับแม่ต่อแล้ว”

มารดาทำให้เยี่ยเทียนทำตัวไม่ถูก เขาเป็นผู้ฝึกวิชาจนเข้าใกล้ขั้นจินตันเชียวนะ ทำไมแม่ถึงพูดว่าเขาเป็นคนหลายใจแบบนั้น? นอกจากอวี๋ชิงหย่าเยี่ยเทียนยังไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย

“เด็กบ้า ยังจะอายอีก?”

ซ่งเวยหลันเห็นลูกชายหาข้ออ้างหลบออกไป เธอหัวเราะออกมา ถ้าเปรียบเทียบชีวิตแบบนี้กับโลกธุรกิจ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่มีความสุขสมบูรณ์ดี

เรือนสี่ประสานห่างจากสถานีโทรทัศน์ที่อวี๋ชิงหย่าทำงานอยู่ไม่ไกล เดินมาแค่สิบกว่านาทีก็ถึง แต่พอเดินมาถึงปากซอยเยี่ยเทียนหยุดยืนมองคนที่กำลังโขกหมากรุกอยู่ใต้ต้นไม้พูดว่า

“นี่ เหล่าฉาง ทำตัวดีๆหน่อย คุณไม่ควรโผล่มาให้ผมเห็นอีกนะ!”

ตั้งแต่เยี่ยเทียนกลับมาจากอาณาเขตแห่งเทพกสิกร รอบเรือนสี่ประสานของเขามีคนพวกนี้มาพักอาศัยอยู่

ฉางเฮ่าให้ลูกเมียย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วย คอยแต่ติดตามเยี่ยเทียนไปไหนมาไหนตลอดวัน เข้ารวมกลุ่มกับคนแก่ในหมู่บ้าน ใครก็คิดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนๆนี้ เมื่อเดือนที่แล้วเป็นทหารรักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำประเทศอยู่เลย

ตอนแรกเยี่ยเทียนคิดว่าพวกฉางเฮ่าได้รับคำสั่งมา ให้คุ้มครองตัวเขาและครอบครัวไม่ให้อิทธิพลภายนอกมาระราน แต่ต่อมากลับพบว่าพวกเขากลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ จึงมาเพื่อช่วยเขาเก็บกวาดในเรื่องที่ตนก่อไว้โดยเฉพาะ

และคนพวกนี้ก็ไม่ได้มาสืบเรื่องในบ้านของเยี่ยเทียนเลย แต่ถ้าเยี่ยเทียนออกไปไหนจะมีคนสองสามคนติดตาม เวลาผ่านไปนานๆ เยี่ยเทียนขี้เกียจสนใจแล้ว

“เยี่ยเทียน คุณทำธุระของคุณไปเถอะ หมากกระดานนี้ผมกับตาเฒ่าอวี๋ยังเล่นไม่จบ”

ฉางเฮ่าอยู่แถวเรือนสี่ประสานมานานแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกหวาดเกรงเยี่ยเทียนเหมือนในตอนแรกอีก เขาเข้าใจแล้วว่าในสายตาของเยี่ยเทียน พวกเขาไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หากทำสิ่งใดให้เยี่ยเทียนไม่พอใจ เยี่ยเทียนก็ไม่คิดเอาเรื่อง คำพูดจาจึงดูสนิทคุ้นเคยขึ้นมาก

“ตาเฒ่าอวี๋ ม้าตายแล้วยังมีทหารอีกสี่ รุกฆาตได้เลย!”

เยี่ยเทียนกวาดตามองหมากบนกระดานแล้วบอกเคล็ดลับให้ตาเฒ่าอวี๋ สมัยก่อนเยี่ยเทียนเคยเล่นหมากรุกกับอาจารย์หลี่ซั่นหยวนใต้เสียงเทียนอยู่เป็นประจำ ฝีมือเดินหมากของเขาเก่งไม่ธรรมดา

“ฮ่าๆ จริงๆด้วย เสี่ยวฉาง เป็นยังไง ตาเฒ่าอย่างฉันชนะแล้วนะ?”

ตาเม่าที่เวลาว่างมานั่งโขกหมากรุกกันอยู่ในตรอกราวกับเป็นเฒ่าทารก แค่การเดินหมากก้าวเดียวแข่งกันจะเป็นจะตาย ตาเฒ่าอวี๋ชนะฉางเฮ่าได้ก็ดีใจจนหน้าชื่นตาบาน คำพูดที่พูดติดปากเสมอว่าผู้ชมหมากไม่ควรวิจารณ์นั้นลืมไปเสียสนิท

“ไม่ได้ ตาเฒ่าอวี๋ เพราะเยี่ยเทียนบอกถึงชนะ ตานี้ไม่นับ เรามาเริ่มกันใหม่!”

“ตาเฒ่าอวี๋ เล่นกันไปก่อนนะ ผมขอตัวละ!”

เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วบอกลาตาเฒ่าอวี๋ ถ้าเทียบกับการเก็บตัวฝึกวิชามาแรมวันแรมปี เยี่ยเทียนชอบวิถีชีวิตแบบนี้มากกว่า บรรยากาศของความเป็นคน ทำให้ชีวิตของเขาถูกเติมเต็มและเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกเต๋ามักจะขาด

ฉางเฮ่าถึงจะเล่นหมากรุกต่อ แต่พอเยี่ยเทียนคล้อยหลังไปสี่ห้าเมตร ก็มีคนหนุ่มสองคนแอบเดินตามไปห่างๆ

“ชิงหย่า ทางนี้”

เยี่ยเทียนเพิ่งมาถึงประตูใหญ่ของสถานีโทรทัศน์แห่งปักกิ่ง อวี๋ชิงหย่าเดินออกมาพอดี เธอเห็นเยี่ยเทียนแล้วเดินยิ้มเข้ามาหา

ตอนที่เธอเพิ่งเอามือคล้องแขนเยี่ยเทียน มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ร้องเรียกเธอไว้

“คุณอวี๋ เดี๋ยวก่อน ผมอยากให้คุณพิจารณาข้อเสนอของผมอีกครั้ง”

………………………