แต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนก็มิใช่พวกมือเท้าอ่อนด้อย รีๆรอๆไม่ยอมลงมืออยู่แล้ว
เรื่องยุ่งเหยิงที่พัวพันมานานนับหมื่นปี สมควรต้องชำระให้จบสิ้นไปในวันนี้เอง
ผู้ใดกล้าขัดขวาง ล้วนกำจัดได้โดยไม่จำเป็นต้องละเว้นทั้งสิ้น
นี่คือสิ่งที่แดนสวรรค์ติดค้างเผ่าภูติ ติดค้างหนี้ชีวิตนับพันนับหมื่นดวงที่ต้องตกตายไปอย่างอนาถ
แน่นอนว่า หากมีเทพองค์ใดต้องการเปลี่ยนฝั่ง เขาก็ยินดีจะรับเอาไว้
พอจีเฉวียนออกคำสั่งออกไป สิบยมราชก็ลงมืออย่างพร้อมเพียง
บนหน้าผากของแต่ละคนปรากฏตราประทับยมราชสีดำขึ้นมา คราวนี้ ตราประทับเหล่านั้นทอประกายแสงสีดำอมทองออกมาด้วย
เพียงพริบตาเดียว ประกายแสงเหล่านั้นก็ครอบคลุมร่างกายของเหล่ายมราชเอาไว้
กองทัพภูติผีของเผ่าภูติที่อยู่ด้านหลังก็บุกออกมาด้วยเช่นกัน
การปรากฏตัวของทั้งหมดนำพาความมืดมิดครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า สนามรบที่เดิมทีมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ยามนี้ยิ่งเพิ่มพูดความลึกลับและน่าหวาดผวากว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนดึงตัวเอาไว้ สิบยมราชคอยป้องกัน ไม่ปล่อยให้นางออกไปจากกลุ่ม แม้แต่เพียงก้าวเดียวก็ไม่ได้
มือซ้ายของจีเฉวียนอุ้มพิณจันทราของเขาเอาไว้ เส้นผมสีดำพลิ้วออกไปที่ด้านหลัง ดูไปทั้งทนง องอาจแฝงความเกียจคร้าน
ที่ด้านหลังของตี้เสีย คือฮว๋ายยู่ที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
แม้ว่าพระองค์จะทรงช่วยนางออกมาจากการลงมือของหยวนเมิ่ง แต่ก็มิได้เหลือบแลนางแม้แต่ครั้งเดียว
ไอมารบนร่างของพระองค์ยิ่งทีก็ยิ่งพุ่งพล่านออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าเทพกว่าครึ่งล้วนถูกครอบงำ กลายเป็นเครื่องมือสังหารของพระองค์
กองทัพภูติผีของเผ่าภูติ และเหล่าสัตว์อสูรที่เคยถูกกักขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบมาร ต่างก็สู้รบกับเหล่าเทพอย่างพัวพันจนแยกแยะไม่ออก
เหล่าเทพที่ถูกไอมารครอบงำ ในดวงตามีแต่สีแดงและกลิ่นคาวเลือด พวกเขาบุกฝ่าไปยังด้านหน้า เข่นฆ่าสังหารโดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ แต่ละคนต่อให้แขนขาดขาด้วนก็ยังคงต่อสู้อย่างสุดกำลัง
หากจะทำลายเทพสักองค์หนึ่ง นอกจากจะต้องทำลายร่างกายของพวกเขาแล้ว ยังจะต้องทำลายดวงจิตของพวกเขาอีกด้วย
แต่ว่าพอร่างกายของเทพเหล่านั้นพึ่งจะถูกทำลายไป จิตวิญญาณของพวกเขาก็ถูกตี้เสียดูดกลืนไปจนหมดสิ้น
หมอกสีดำบนร่างของพระองค์ยิ่งทีก็ยิ่งเพิ่มพูน ไอมารรอบกายยิ่งทีก็ยิ่งหนาแน่น
ไอมารเหล่านี้ยิ่งแผ่ออกไปครอบคลุมกองทัพจักรพรรดิสวรรค์เอาไว้ และด้วยบัญชาของตี้เสีย ทั้งหมดก็กลายเป็นเครื่องมือสังหาร
สองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด ไม่มีผู้ใดได้เปรียบกว่ากันทั้งนั้น
ตี้เสียมิได้เอาแต่ทอดพระเนตรดูอยู่เฉยๆ พระองค์เก็บแส้ทลายนภากลับไป ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตโบกขึ้นมา จากนั้นเปลวเพลิงสีดำก็ผุดขึ้นมาจากในร่างของพระองค์ และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เปลวเพลิงสีดำนั้นเป็นเหมือนดั่งน้ำพุ พริบตาเดียวก็เพิ่มปริมาณ ทวีจำนวนตลอดเวลา
เพลิงสีดำนั้น….มิใช่ธรรมดา!
เปลวเพลิงที่ได้รับพลังจากทั้งจอมมารและจักรพรรดิสวรรค์ มีพลังทำลายล้างรุนแรง ขอเพียงสัมผัสถูกร่างกายแม้เพียงเล็กน้อยก็จะลุกลามไปทั่วทั้งร่าง
สิบยมราชต่างก็มีสีหน้าหนักใจ
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ตี้เสียจะสามารถสร้างเปลวเพลิงที่ชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้
ต่อให้เป็นร่างกายของพวกเขา หากถูกเปลวเพลิงนี้เข้า เกรงว่าก็คงยากจะต้านทานได้เช่นกัน
ตี้เสียทอดพระเนตรมองดูสีหน้าของพวกเขา ก็พอพระทัยอย่างยิ่ง
มุมพระโอษฐ์ของพระองค์ยกยิ้มแย้มสรวล เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาดแหลมคม
“เราคือผู้ปกครองสูงสุดของหกภพภูมิ เมื่อหมื่นปีก่อนเจ้าไม่อาจทำอะไรเราได้ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน”
พระองค์ตรัสพลาง ก็เพิ่มพูนความรุนแรงของเปลวเพลิงสีดำขึ้นไปอีก ความวุ่นวายทั้งหมดเบื้องหน้านี้ หากถูกไฟเผาผลาญจนสิ้นไปทั้งหมดก็ยิ่งดี
เพลิงสีดำนี้ คือเปลวไฟจากในพระทัยของพระองค์ ในใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถดับมันได้
นอกเสียจากว่าจะมีเพลิงที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพลิงในพระทัยของพระองค์
แต่ว่าสิ่งนั้น….ย่อมไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
“ข้าผู้เฒ่าเชื่อแล้วว่าเจ้ามันชั่วช้า!” ตลอดชีวิตของไท่ซานอ๋องผู้เป็นหนึ่งในสิบยมราช ก็เป็นผู้ที่ไม่ยอมสยบต่อผู้ใดโดยง่ายอยู่แล้ว
เขากระชับฆ้อนยักษ์ในมือแล้วพุ่งออกไปในทันที
ฉู่เจียงรีบร้องห้ามเขาเอาไว้ “อย่า….”
‘สัมผัส’ คำนั้นยังไม่ทันจะออกจากริมฝีปาก ก็เห็นเงาร่างของไท่ซานอ๋องโบยบินไปถึงเบื้องหน้าของตี้เสียแล้ว ฆ้อนยักษ์ในมือของเขาขยายใหญ่จนมีขนาดพอๆกับตำหนักเล็กๆหลังหนึ่ง
ฆ้อนยักษ์ยังไม่ทันจะกระทบถูก ก็เห็นพื้นหินหยกใต้พระบาทของตี้เสียแตกออก กลายเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งขึ้นมา
ขณะที่เห็นว่าฆ้อนกำลังจะทุบลงไปบนพระเศียร ก็เห็นเปลวเพลิงสีดำของพระองค์ไหลขึ้นไปบนฆ้อนยักษ์ของไท่ซานอ๋อง
ไท่ซานอ๋องกุมฆ้อนในมือเอาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย พริบตาเดียวเปลวเพลิงสีดำนั้นก็ไหลลามขึ้นไปบนมือของเขาอย่างรวดเร็ว
ไท่ซานอ๋องรู้สึกเพียงแค่ว่าข้อมือเบาหิว เขามองเห็นฆ้องยักษ์ของตนเองสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปกับตา!
แถมเพลิงสีดำนั้นยังกลืนกินมือของเขาลงไปพร้อมๆกันอีกด้วย
“ติ้ง…..” ทันใดนั้น จีเฉวียนก็ดีดพิณจันทราในมืออีกครั้ง
คลื่นเสียงสำเนียงหนึ่งพุ่งออกไป ตัดมือของไท่ซานอ๋องขาดออกในทันที
ส่วนมือที่ถูกตัดออกไปของเขา ขณะที่ยังไม่ทันได้หล่นกระทบพื้นก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าไปเสียแล้ว!
หากว่าเมื่อครู่จีเฉวียนลงมือช้าไปอีกเพียงนิดเดียว สิ่งที่สลายกลายเป็นขี้เถ้าคงต้องเป็นร่างทั้งร่างของไท่ซานอ๋องเสียแล้ว
เขาไม่ทันจะได้พะวงสนใจท่อนแขนที่มีเลือดไหลอาบเป็นน้ำพุออกมา คนก็ถูกฉู่เจียงกับเสินฟางคว้าตัวกลับไปเสียแล้ว
บนหน้าผากของไท่ซานอ๋องมีแต่เม็ดเหงื่อละเอียดผุดขึ้นเต็มไปหมด ในใจต้องประหวั่นพรั่นพรึง
“มารดามันเถอะ ไอ้หลานเต่านั่นมันคืออะไรกัน!” ไท่ซานอ๋องยิ่งร้อนใจที่ล้างแค้นไม่สำเร็จ การได้มาเข่นฆ่าบนแดนสวรรค์เป็นสิ่งที่เขามุ่งหมายมานานปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว เขาแทบจะอยากสังหารตี้เสียด้วยตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่าไอ้หลานเต่านั้นยังมีฝีมือเช่นนี้ด้วย?
เสียงพิณในมือของจีเฉวียนยังไม่สุดสิ้น หลังดีดออกไปเรื่อยๆอีกหลายเสียง ก็สลายเปลวเพลิงสีดำที่ไล่ตามมาออกไป
“เยือกเย็นไว้” เขาเพียงเอ่ยอย่างเย็นชาออกมาสองคำ
ขณะเดียวกันก็ดีดพิณด้วยมือข้างเดียว ดูเสมือนคุณชายสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิด มิว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จีเฉวียนก็โดดเด่นดึงดูดสายตาที่สุดอยู่เสมอ
เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว ไท่ซานอ๋องที่เมื่อครู่ยังระเบิดอารมณ์เป็นพายุอยู่ก็สงบเสงี่ยมลงในทันที
เพียงแต่ในใจของเขายังไม่อาจสงบนิ่งได้ อยากจะพุ่งเข้าไปทุบอีกสักครั้ง
แต่เพราะฉู่เจียงและเสินฟางต่างก็กดร่างเขาเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาได้เคลื่อนไหวโดยพลการ
“วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลี พวกเจ้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ตนได้กระทำลงไป!”
ตี้เสียหัวเราะอย่างชั่วร้าย เพลิงสีดำลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง
จีเฉวียนหน้าไม่เปลี่ยนสี ราวกับว่ามิได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น
เพลิงสีดำลุกโชนขึ้นไปบนท้องฟ้าและกำลังจะม้วนตัวพัดโหมเข้าใส่อีกครั้ง
ที่ด้านหลังของจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันพลันปรากฏแสงสีทองส่องประกายออกมา
แสงสีทองนั้นเจิดจ้าบาดตาอย่างรุนแรง แทบจะส่องให้แดนสวรรค์สว่างไปกว่าครึ่ง!
แสงนั้นมาพร้อมกับคลื่นทะเลเพลิงที่ร้อนแรงขุมหนึ่ง
ไอร้อนระอุพุ่งมาถึงเบื้องหน้าของพวกนาง แต่แล้วมันกลับลดเลี้ยวออกไปราวกับว่ามีดวงตา เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้าชนเปลวเพลิงสีดำของตี้เสียในทันที
ผู้คนทั้งหมดต่างต้องตกอยู่ในความตื่นตะลึง พร้อมๆกับได้ยินเสียงร่ำร้องที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งแดนสวรรค์
“กะ กะ กะต๊าก! นี่เฮียเอง! กะ กะ กะต๊าก!”
เสียงกะ กะ กะต๊ากดังเป็นชุดบาดแก้วหูผู้คน
ทำเอาแม้แต่เหล่าทวยเทพที่ถูกไอมารครอบงำยังต้องชะงักงันไป ต่างก็พากันหันไปมองดูที่ต้นเสียง
ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้านั้น ภาพของสิ่งที่พุ่งเข้าสู่ในตาก็คือ….เจ้าไก่ขนฟูสีดำ
ขนาดยักษ์?
หากมองดูเพียงเงาร่างของมัน นั่นย่อมเป็นเจ้าไก่ดำขนฟูอย่างแน่นอน
แค่ไก่ตัวหนึ่ง มันจะมีอะไรมาอวดให้เห็นว่ายอดเยี่ยมนักหนากัน?
ตู๋กูซิงหลันดวงตาเป็นประกายขึ้นมา นางคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าติ๊งต๊องจะสามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้สวยงามเท่ระเบิดขนาดนี้
รอจนเจ้าไก่สีดำขนฟูตัวนั้นบินเข้ามาใกล้ ฝูงชนถึงได้เห็นว่า……
…………….