ตอนที่ 2,284 : ซับซ้อน สับสน
“ระ…รองจ้าววัง…เป็น…เป็นผู้น้อยเอง”
เจอคำจี้ถามของรองจ้าววังอันดับ 1 อวิ๋นฟู่เหย่ แห่งวังเซียนสัญจร พร้อมสายตาที่มองมาดั่งมีดดาบ ศิษย์ลาดตระเวน หวงเจิ้ง ได้แต่ก้มศีรษะที่สั่นเทาลงกล่าวออกด้วยความตื่นกลัว ทั่วร่างยังเริ่มชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
มาตอนนี้มันพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่า
จ้าววังเซียนสัญจรที่มันคิดเข้าพบ กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่
ทว่ามันกลับกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า จนสวรรค์ตอบรับด้วยเสียงอัสนีฟาดผ่าดังลั่นสะท้านปฐพี ย่อมเป็นไปได้สูงที่จะสร้างความรบกวน และอาจทำให้จ้าววังเสียสมาธิได้
ตอนนี้เองสายตาอวิ๋นฟู่เหย่กก็หันมาจับจ้องมองหวงเจิ้ง
ต่อมา
ขวับ!
อวิ๋นฟู่เหย่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาพลันยกมือหนึ่งขึ้นมา พริบตาก็ก่อเกิดกระบี่พลังผนึกควบรวมขึ้นต่อหน้าโหวเฟิงและเหล่าศิษย์ลาดตระเวนทั้งหลาย ทำให้ลูกตาโหวเฟิงอดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ลูกตาโหวเฟิงหดเล็กลง
ฉัวะ!
กระบี่พลังดังกล่าวพุ่งไปฉับไวปานสายฟ้าสะบั้นศีรษะของ หวงเจิ้ง ให้ปลิดปลงลงมาอย่างง่ายดาย!
และไม่ทันที่หยาดโลหิตจะได้พุ่งทะลักอะไรออกมา ตัวกระบี่ก็เปล่งพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงปานจะทำลายได้ทุกสรรพสิ่งออกมาระลอกหนึ่ง!
ปงง!!
เสียงระเบิดอันน่าสยดสยองดังขึ้น หัวตัวของหวงเจิ้งที่แยกจากถูกพลังดังกล่าวกลืนกินทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก! ความร้อนจะแรงระเบิดยังระเหยโลหิตจนเหือดหาด!!
คงเหลือก็แต่เพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่งที่ร่วงตกลงจากความว่างเปล่า
“อะ..”
โหวเฟิงเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาอยู่กับตัว มันอดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ มองไปยังอวิ๋นฟู่เหย่อีกครั้ง แววตาฉายชัดถึงความหวาดกลัวอันท่วมท้น!
เหล่าศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ก็ดึงสติกลับมาได้แล้วเช่นกัน หน้าของพวกมันยังเปลี่ยนสีไปอย่างแรง!
ถึงแม้ว่าสำหรับพวกมันแล้วจะเพียงได้ยินเสียงกระบี่ฟันวูบหนึ่งทั้งเสียงระเบิดดังขึ้นสั้นๆอีกวูบหนึ่ง แต่พวกกมันมอาจแลเห็นได้เลยว่าอวิ๋นฟู่เหย่ลงมืออย่างไร…
หากทว่าคนทั้งคนอย่างหวงเจิ้งก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว…!
และด้วยแหววนพื้นที่วงหนึ่งที่กำลังร่วงตกลงไปด้านล่าง ก็บอกให้พวกมันรู้ว่าหวงเจิ้งสมควรถูกฆ่าตายไปเป็นที่เรียบร้อย!
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องราวดังกล่าว ศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ก็เร่งก้มหน้าลงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ร่างยังสั่นระริกไปราวลูกนกตกน้ำ ด้วยกลัวว่าอวิ๋นฟู่เหย่จะลงมือเข่นฆ่าพวกมันเหมือนหวงเจิ้ง
หลังฆ่าหวงเจิ้งทิ้ง อวิ๋นฟู่เหย่ก็ไม่ได้เผยทีท่าอะไร สีหน้าแววตายังคงสงบราวกับพึ่งทำเรื่องราวอันเล็กน้อยไร้สำคัญ
และอันที่จริงสำหรับมันแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สำคัญจริงๆ
“ไฉนมันถึงมากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าที่นี่?”
สองตาอวิ๋นฟู่เหย่หันไปมองจ้องตาโหวเฟิง พร้อมถามออกอีกครั้ง
เพราะอย่างไรก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่งั้นศิษย์ลาดตระเวนคนหนึ่งคงไม่มากล่าวคำสาบานอะไรตรงนี้
“เรียนท่านรองจ้าววัง เรื่องมันเป็นเช่นนี้ขอรับ…”
ได้ยินคำถามของอวิ๋นฟู่เหย่ ด้านโหวเฟิงไหนเลยจะกล้ารอช้า เร่งอธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกมา รวมถึงสาเหตุการกล่าวคำสาบานของหวงเจิ้ง ทั้งหมดทำไปเพื่อพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเรื่องรองจ้าววังคนใหม่ที่มีหน้าตาเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาคราม
“อะไร? รองจ้าววังคนใหม่กับนายน้อยตำหนักเมฆาครามไม่เพียงชื่อแซว่แต่ยังมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน?”
อวิ๋นฟู่เหย่ขยวดคิ้วย่นเป็นปม
หลังได้ยินเรื่องราวจากปากโหวเฟิง มันเองก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราวทันที!
รองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน มิคาดกลับมีใบหน้าเหมือนกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ล้วนมีชื่อแซ่เดียวกันว่า ต้วนหลิงเทียน!?
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ด้วย?
“พวกเจ้ามีรูปเหมือน ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นงั้นหรือ?”
สายตาอวิ๋นฟู่เหย่ละจากโหวเฟิง ไปหันมองถามศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ทันที
“ท่านรองจ้าววัง นี่เป็นภาพเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาครามขอรับ”
ศิษย์ลาดตระเวนหนึ่งในนั้นไม่กล้ารอช้า เร่งหยิบม้วนภาพออกมาถือไว้ด้วยท่าทางราวกับจะประเคนถวายทันที ด้วยกลัวว่าหากชักช้าจะถูกฆ่าเหมือนหวงเจิ้ง
วูบ!
ไร้การลงมือใดๆ หากแต่มีพลังไร้สภาพขุมหนึ่งดึงรั้งม้วนภาพนั่นให้ลอยมาหาอวิ๋นฟู่เหย่
อวิ๋นฟู่เหย่เองก็รับม้วนภาพมาคลี่กางดูทันที ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมากล่าวถามอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจงั้นหรือ…ว่านี่คือรูปของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน?”
“ถูกแล้วขอรับ ภาพนี้ข้าได้มาจากในเมือง…”
ศิษย์ลาดตระเวนเร่งตอบ ทีท่าอาการแลดูประหม่าไม่น้อย
“เรียนท่านรองจ้าววัง เป็นเรื่องจริงขอรับ ยามนี้ในเมืองมีคนที่มีภาพนี้ไม่น้อย…ยิ่งไปกว่านั้นปีศาจมากมายจากเผ่าปีศาจมนุษย์เราก็ได้ใช้วิชาควาญวิญญาณสอบถามจากผู้ฝึกตนมนุษย์ที่มีภาพนี้มาด้วยตัวเอง จึงยืนยันได้ว่าคนในภาพเหมือนนั่น เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามมิผิดแน่”
โหวเฟิงเองก็กล่าวยืนยันออกมา
ได้ยินดังนั้น สองตาอวิ๋นฟู่เหย่ก็หดหยีลง มันพยักหน้าแผ่วเบาคราหนึ่ง ก่อนที่ร่างจะอันตรธานหายไปปานสายลม ไม่ทักทายร่ำลาผู้ใด
หลังอวิ๋นฟู่เหย่หายตัวไปแล้ว โหวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ถึงแม้มันจะเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนคนหนึ่ง แต่ยังรู้สึกกดดันไม่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอย่างอวิ๋นฟู่เหย่
สำหรับศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 พวกมันยิ่งโล่งอกกว่าใคร! ทั่วร่างพวกมันตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น หวาดกลัวจนแทบจะทรุดลงไปกกกองแต่แรก!!
“ข่าววันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด…หาไม่แล้วพวกเจ้าทั้ง 3 ตาย!”
ในขณะที่พวกโหวเฟิงทั้ง 3 กำลังระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เสียงอวิ๋นฟู่เหย่ก็ดังขึ้นในอากาศปานฟ้าร้อง สร้างความตกใจให้พวกมันจนหัวใจแทบหยุดเต้น
พวกมันทั้ง 3 ย่อมเชื่อฟังคำของอวิ๋นฟู่เหย่อย่างจริงจัง
หลังคล้ายกลับกลายเป็นสายลมกรรโชกพัดหายไปจากสายตาพวกโหวเฟิงแล้ว อวิ๋นฟู่เหย่ก็ย้อนกลับมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่อันเป็นที่พักของอาจารย์มัน ซึ่งเป็นจ้าววังเซียนสัญจรแห่งนี้
‘จะว่าไปศิษย์น้องเล็กสมควรเคยเห็นรองจ้าววังคนใหม่นามว่าต้วนหลิงเทียนนั่น ตอนที่ไปพบมันพร้อมท่านอาจารย์เพื่อแต่งตั้ง เช่นนั้นก็ไม่จำต้องรีบเข้าไปรบกวนท่านอาจารย์ในช่วงสำคัญ…’
ทันใดนั้นอวิ๋นฟู่เหย่คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ร่างมันหยุดลงทันที
อวิ๋นฟู่เหย่นั้นเป็นศิษย์เอกของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน
และศิษย์น้องเล็กในความคิดของมันก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นศิษย์ปิดสำนักของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน หวงเหวินจิ้ง!
“ไปยืนยันกับศิษย์น้องเล็กก่อน! หากยืนยันได้แล้ววว่ารองจ้าววังคนใหม่นั่นเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน จริง…เรื่องนี้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจำต้องเรียกประชุมรองจ้าววังทั้งหมดโดยด่วนเพื่อเร่งหาทางแก้ไข”
หลังกระซิบพึมพำกับตัว สองตาอวิ๋นฟู่เหย่ก็ทอประกายเยียบเย็นออกมาอย่างดุร้ายปานจะกลืนกินผู้คน
จากนั้นร่างอวิ๋นฟู่เหย่ก็อันตรธานหายไปอีกครั้ง
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกที ก็บรรลุถึงอีกด้านของคฤหาสน์ ส่วนนี้ก็มีเรือนหลังใหญ่ปลูกสร้างเอาไว้ มีสวนสงบส่วนตัว และนี่ก็คือสถานที่บ่มเพาะของหวงเหวินจิ้ง
“พี่ใหญ่…”
ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา หวงเหวินจิ้งที่ขัดสมาธิบ่มเพาะพลังก็ลืมตาขึ้น วูบร่างออกไปด้านนอก กล่าวทักผู้มาเยือนทันที
“น้องเล็ก…เจ้าชมดูรูปนี้ทีว่าเจ้ารู้จักคนในรูปหรือไม่?”
อวิ๋นฟู่เหย่ไม่กล่าวใดมาก พอเห็นหวงเหวินจิ้งมันก็ใช้พลังหอบหิ้วม้วนภาพส่งไปคลี่กางเบื้องหน้าหวงเหวินจิ้งทันที
รูปเหมือนหนึ่งพลันปรากฏสู่สายตาหวงเหวินจิ้งทันที
“อะ…”
ทันทีที่เห็นภาพดังกล่าวร่างหวงเหวินจิ้งก็สะท้านไปเบาๆ ประกายซับซ้อนเริ่มฉายชัดขึ้นมาในแววตา
ตั้งแต่ที่ได้ล่วงรู้ว่าบุรุษผู้นี้มีภรรยากับลูกแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน นางก็พยายามบังคับใจตัวเองให้ลืมอีกฝ่ายไป
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านนางพยายามบ่มเพาะฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้ตัวเองไม่มีเวลาฟุ้งซ่านและนึกถึงชายผู้นี้
อย่างไรก็ตามหวงเหวินจิ้งไม่คิดฝันเลย
หลังผ่านไป 2 ปีแล้วแท้ๆ แต่พอได้เห็นภาพชายคนนั้นอีกครั้ง ใจที่พยายามสงบมาตลอดเวลา ยังอดไม่ได้ที่จะเต้นไปไม่เป็นจังหวะเหมือนกาลก่อน
“พี่ใหญ่ ท่านคิดทำอันใด…ไฉนถึงเอารูปรองจ้าววังต้วนมาให้ข้าดู?”
หวงเหวินจิ้งเร่งสูดลมหายใจเข้าลึกคราหนึ่งเพื่อสงบท่าทีด้วยเกรงว่าจะเผยสิ่งใดให้อวิ๋นฟู่เหย่เห็น ใบหน้างามหวนกลับมาเย็นชา มองถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยสายตาสงสัย
“รองจ้าววังต้วน?”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หวงเหวินจิ้งกล่าวคำนี้ออกมา ลูกตาอวิ๋นฟู่เหย่ก็หดเล็กลงกล่าวออกเสียงหนัก “ดูเหมือนที่เจ้าพวกนั้นพูดจะเป็นเรื่องจริง…รองจ้าววังต้วนผู้นี้มีปัญหา!”
“หือ?”
ได้ยินคำของอวิ๋นฟู่เหย่ หวงเหวินจิ้งพลันขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาทันที “พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าอย่างไร? รองจ้าววังต้วนมีปัญหาอันใด?”
“น้องเล็กเรื่องนี้เจ้าคงยังไม่รู้…ภาพที่ข้าเอาให้เจ้าดูนั้นมิใช่ภาพของรองจ้าววังต้วนของพวกเราที่พึ่งวาดขึ้น หากแต่เป็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์ในดินแดนเซียนแห่งนี้ที่ถูกวาดขึ้นนานมาแล้ว”
อวิ๋นฟู่เหย่ย่อมไม่คิดปกปิดเรื่องนี้กับศิษย์น้องหญิงของมันเป็นธรรมดา
“อะไรนะ!?”
แทบจะพร้อมกันกับที่อวิ๋นฟู่เหย่กล่าวจบคำ หน้างามของหวงเหวินจิ้งก็เปลี่ยนสีไปทันที “พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าอะไร…หรือรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรา ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาคราม แต่ยังมีใบหน้าเหมือนกันเช่นนั้นหรือ?”
ตอนนี้หวงเหวินจิ้งเองก็ย่อมตระหนักเรื่องราวได้เช่นกัน
“เหมือนหรือ…พวกมันเป็นคนๆเดียวกันสิไม่ว่า!”
อวิ๋นฟู่เหย่ยิ้มเยาะ
“คนๆเดียวกัน?”
หวงเหวินจิ้งตกใจไม่น้อย ใจยังสั่นสะท้านไปอย่างแรง จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา “เรื่องนี้จักเป็นไปได้อย่างไร?”
“นายน้อยตำหนักเมฆาครามต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มิใช่ลือกันว่ายามที่มันออกตากภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน พลังฝึกปรือยังมิบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เลยมิใช่หรือ…แล้วในเวลาไม่ถึง 10 ปี ไฉนมันถึงบรรลุพลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้?”
เสียงถามหวงเหวินจิ้งยิ่งมายิ่งแผ่วเบาลง
เพราะตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะนึกกถึงความสามารถในการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา
‘ในเมื่อมันสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ข้าได้…เช่นนั้นหมายความว่ามันก็สามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ตัวเองได้เช่นกัน…หากมันยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองให้เป็นสีม่วงเข้ม แล้วไปบ่มเพาะในภูมิภาคเบื้องบน…ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะบรรลุถึงพลังสามารถระดับนี้ได้ในเวลา 10 ปี!’
คิดถึงจุดนี้ หวงเหวินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกในใจ ยังบังเกิดความรู้สึกซับซ้อนทั้งสับสนนัก
“จริงสิ…ข้ากลับไม่ทันฉุกคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน…”
อวิ๋นฟู่เหย่พอได้ยินคำหวงเหวินจิ้ง หน้ามันก็เผยทีท่าเคร่งขรึม จากนั้นก็กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ
“ในเวลาไม่ถึง 10 ปีแม้จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนที่มีสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในการบ่มเพาะอุดมสมบูรณ์…แต่ก็ยากจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจากจุดที่มันยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์…แล้วเจ้านั่นมันทำได้อย่างไรกันแน่…”