ตอนที่ 2,285 : เรื่องราวแพร่งพราย!
“ไม่เพียงแต่ชื่อแซ่ กระทั่งหน้าตายังเหมือนกัน…เรื่องนี้ยังจะกล่าวใดได้อีก”
“หากไม่บังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่อันใดในภูมิภาคเบื้องบน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พลังฝึมือของมันจะก้าวหน้าถึงขั้นนี้…แต่ก็ยากจะกล่าวว่ามันไม่พบพานอันใด”
ฟังจากวาจาที่อวิ๋นฟู่เหย่กล่าวพึมพำแล้ว
บอกให้รู้ว่าอวิ๋นฟู่เหย่ยังคงเชื่อว่าต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร สมควรเป็นคนๆเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
“หากรองจ้าววังไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนของพวกมนุษย์…จะอธิบายเรื่องที่เผ่าปีศาจมนุษย์เรามีผู้ฝึกมารไร้สังกัดที่พลังฝีมือสูงส่งระดับนี้อีกทั้งยังมีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์โดยที่พวกเราไม่รู้ดำรงอยู่ได้อย่างไร แถมเจ้านั่นอยู่ดีๆก็เหมือนจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า!”
“ใต้หล้าไม่อาจมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่นายน้อยตำหนักเมฆาครามจะมีชื่อแซ่ทั้งหน้าตาเหมือนกับผู้ฝึกมารอิสระของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้!”
ยิ่งคิดอวิ๋นฟู่เหย่ก็ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรของพวกมัน…คือคนๆเดียวกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
“น้องเล็ก ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ก่อนที่หวงเหวินจิ้งจะทันได้คืนสติ อวิ๋นฟู่เหย่ก็กล่าวคำลา แววตาของมันทอประกายเย็นชาวูบหนึ่ง ร่างก็คล้ายกลับกลายเป็นสายลมกรรโชกพัดหายไป
และอวิ๋นฟู่เหย่จากไปคราวนี้ เพียงเพราะคิดกระทำเรื่องหนึ่ง
เรียกประชุมชนชั้นรองจ้าววังทั้งหมด เพื่อหารือกันว่าจะจัดการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
เดิมทีเรื่องใหญ่ระดับนี้ สมควรให้จ้าววังเซียนสัญจรอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินจัดการด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามการปิดด่านบ่มเพาะของอวี่เหวินฮ่าวเฉินคราวนี้มันต่างออกไปจากกาลก่อน
เพราะรอบนี้มันกลับคว้า ‘โอกาส’ อันหาได้ยากยิ่ง บังเกิดความรู้แจ้งจนเจียนจะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ และก้าวข้ามไปเพื่อบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
ต้องทราบว่า ‘โอกาส’ ที่ว่านั้นเป็นอะไรที่แสวงหามิอาจพานพบ!
และเมื่อคว้าโอกาสนั่นไว้ได้สำเร็จ ย่อมชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้แน่นอน!
หากพลาดไป ไม่ทราบจะได้พบกับโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไหร่!
เพราะเหตุนี้อวิ๋นฟู่เหย่จึงไม่กล้ารบกวนอาจารย์ของมัน ไม่กล้าปลุกให้มาแก้ไขสถานการณ์อันตรายครั้งนี้
และเป็นเพราะเหตนี้อวิ๋นฟู่เหย่จึงได้มีโมโหหนักนัก ยังลงมือเข่นฆ่าศิษย์ลาดตระเวนที่หาญกล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าทิ้งทันที!
ยังดีที่ช่วงเวลาก่อนที่อัสนีฟ้าจะตอบรับคำสาบาน มันที่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็ได้เร่งกางอาคมปิดกั้นเสียงได้ทันเวลา
หาไม่แล้ว 9 ใน 10 ส่วน ไม่พ้นอาจารย์ของมันต้องหลุดออกจากภวังค์เพราะถูกรบกวน สูญเสียโอกาสที่จะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะอันหาได้ยากยิ่งไป!
อวิ๋นฟู่เหย่นั้นในฐานะรองจ้าววังอันดับ 1 ที่ถึงแม้หากจะกล่าวกันตามจริงเรื่องนี้สมควรเป็นอดีตไปแล้วเพราะมีต้วนหลิงเทียน แต่บารมีของมันก็ไม่ได้ลดลงจากกาลก่อน ย่อมสามารถระดมชนชั้นรองจ้าววังให้มารวมตัวกันได้ในเวลาอันสั้น
และเมื่อทุกคนมารวมกันแล้ว อวิ๋นฟู่เหย่ก็ไม่กล้ารอช้าเร่งอธิบายสถานการณ์เร่งด่วนออกไปทันที
“นี่มัน…”
หลังได้ยินคำอธิบายจากกปากอวิ๋นฟู่เหย่ รองจ้าววังทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ต่างอื้ออึงไปกันพักหนึ่ง
รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรของพวกมัน เป็นคนของตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังหลักของมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องล่าง?
นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีฐานะเป็นถึง นายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
ถึงแม้ทั้งหมดจะรู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าเหลือเชื่อก็ตามที หากแต่ด้วยหลักฐานที่อวิ๋นฟู่เหย่ยกออกมาก็ชี้ชัดนัก! รองจ้าววังทั้งหลายไม่อาจไม่เชื่อ!
“รองจ้าววังอวิ๋น แล้วท่านจ้าววังรับทราบเรื่องนี้แล้วหรือไม่?”
รองจ้าววังคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านอาจารย์ยังมิทราบ”
อวิ๋นฟู่เหย่ส่ายหัว “ที่ท่านอาจารย์ปิดด่านบ่มเพาะครานี้ เพราะท่านได้พบกับ ‘โอกาส’ ท่านอาจารย์ยังมั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้…โอกาสที่หาได้ยากยิ่งแบบนี้หากเสียไป ไม่ทราบท่านอาจารย์จะพบเจอโอกาสที่สามารถบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้อีกครั้งเมื่อใด…”
“เช่นนั้นข้าจึงมิกล้ารบกวนท่านอาจารย์ และปล่อยให้ท่านเข้าฌาณต่อไป”
อวิ๋นฟู่เหย่กล่าว
“อะไร!? ท่านจ้าววังพบ ‘โอกาส’ ที่จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วงั้นรึ!?”
ได้ยินคำของอวิ๋นฟู่เหย่ รองจ้าววังทั้งหลายกก็เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที
เป็นธรรมดาที่พวกมันจะล่วงรู้ว่า ‘โอกาส’ ของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างจ้าววังพวกมันคืออะไร…นั่นคือโอกาสที่จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
และตราบใดที่คว้าโอกาสนั่นไว้ได้ ก็มั่นใจแทบจะเต็ม 10 ส่วนได้เลยว่าจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แน่นอน!!
จากประวัติศาสตร์ ตราบใดที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคนอื่นสามารถคว้าโอกาสที่ว่าได้ โดยทั่วไปแล้วยังสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้ถึง 9 ส่วนด้วยซ้ำ!
แล้วจะไม่ให้พวกมันไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว!
เพราะเรื่องนี้หมายความว่า จ้าววังของพวกมัน กำลังจะชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ และก้าวข้ามไปเพื่อบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะได้สำเร็จ!!
สำหรับเรื่องที่ว่าจ้าววังของพวกมันจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลว ไม่เคยอยู่ในหัวพวกมันเลย
นั่นเพราะในประวัติศาสตร์วังเซียนสัญจรของพวกมัน ไม่เคยมีจ้าววังแม้แต่คนเดียวที่ล้มเหลวในการเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์!
เพราะจ้าววังเซียนสัญจรทุกคน จะได้รับสืบทอดวิธีการพิเศษที่ใช้รับมือกับหายนะทัณฑ์สวรรค์จากจ้าววังเซียนสัญจรรุ่นก่อน!
“ท่านอาจารย์เองยังกล่าวประมาณเวลาปิดด่านครั้งนี้ให้ข้ารับทราบคร่าวๆ…อีกราวๆหนึ่งปี!”
อวิ๋นฟู่เหย่กวาดตามองรองจ้าววังทั้งหมด กล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจังแววตาคมกล้า “หมายความว่าตลอดเวลาหนึ่งปีหลังจากนี้ พวกเราไม่อาจวู่วามจนแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะพวกเรามิอาจจัดการมันได้! และอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด…อย่างน้อยๆเราก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าท่านอาจารย์จะออกมา!”
หากจ้าววังเซียนสัญจรไม่ออกจากการปิดด่าน ในวังเซียนสัญจรก็ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือต้วนหลิงเทียนได้เลย!!
ถึงแม้พวกมันจะสามารถขอความช่วยเหลือจาก 2 วัง 6 ตำหนักที่เหลือของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ และหากได้รับความช่วยเหลือย่อมสามารถจัดการต้วนหลิงเทียนได้แน่นอน
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่อาจทนความอัปยศและความเสื่อมเสียเช่นนั้น ให้วังเซียนสัญจรต้องขายขี้หน้าได้!
เพราะสุดท้ายแล้ว นี่ก็คือเรื่องภายในของวังเซียนสัญจร!
“เพื่อความปลอดภัย ข้าจำเป็นต้องขอให้รองจ้าววังทุกท่านกระทำการกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องราวที่ได้รับทราบในวันนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด!”
กล่าวจบคำ อวิ๋นฟู่เหย่ก็หันไปมองรองจ้าววังคนหนึ่ง
และรองจ้าววังคนนี้ก็คือบิดาของหวงฉี่หลิง!
ทันใดนั้นบิดาหวงฉี่หลิงก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม ขณะเดียวกันมันก็ตระหนักได้ว่าอวิ๋นฟู่เหย่ได้ล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับลูกชายของมัน
‘หลิงเอ๋อ…เพื่อนเจ้าช่างประเสริฐนัก!’
บิดาของหวงฉี่หลิงได้แต่ลอบทอดถอนในใจ
หลังอวิ๋นฟู่เหย่จัดตั้งอาคมผนึกเสียงอย่างเรียบง่ายปกคลุมคฤหาสน์จ้าววังอีกรอบ มันก็ให้รองจ้าววังทั้งหลายกระทำการกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไป
แต่ทว่าหลังจากที่เหล่ารองจ้าววังทั้งหลายกล่าวคำสาบานไปได้เพียงเดือนเดียว…
ในวังเซียนสัญจรกลับปรากฏข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนรองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน ที่แท้ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน คนนั้นแพร่งพรายออกไป และต้นตอข่าวลือดังกล่าวกก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามาจากใคร!
ยิ่งไปกว่านั้น พอข่าวดังกล่าวแพร่ออกมา พริบตาก็รู้กันไปทั่วทั้งวังเซียนสัญจร!
กว่าที่รองจ้าววังทั้งหลายไม่เว้นอวิ๋นฟู่เหย่จะทันได้ตอบสนองเรื่องราวใดๆ ข่าวที่อาจจะชักนำเภทภัยมาสู่วังเซียนสัญจรก็แพร่ออกไปทั่วแล้ว กระทั่งยังเริ่มแพร่ออกไปถึงนอกวังแล้วด้วยซ้ำ!!
กระดาษมิอาจห่อไฟได้อีกสืบไป…
“ไอ้พวกสารเลวนั่น!”
รองจ้างวังอย่างอวิ๋นฟู่เหย่พิโรธแล้วจริงๆ และเหยื่อโทสะอารมณ์ของมันครานี้ ไม่พ้นพวกโหวเฟิง และศิษย์ลาดตระเวนอีก 2 คนในวันนั้น! ทั้ง 3 ถูกฆ่าทิ้งทันที ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้กล่าวคำแก้ตัวใดๆ!!
สำหรับรองจ้าววังคนอื่นๆนั้นอวิ๋นฟู่เหย่ไม่คิดว่าจะมีใครเกลือเป็นหนอน เพราะทั้งหมดได้สาบานต่อทัณฑ์สวรรค์หมดสิ้นแล้ว ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องราวออกไปแน่นอน
‘ข้าหวังว่ามันจักได้ยินข่าวพวกนี้ แล้วรีบหนีออกไปให้ไกลจากวังเซียนสัญจรได้ทันเวลา…’
เหนือน่านฟ้าวังเซียนสัญจร ปรากฏร่างบางอันเย็นชาให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหนึ่งลอยล่องอยู่กลางหาวเพียงลำพัง สองตาทอดมองไปยังที่อยู่ของต้วนหลิงเทียนไกลตา
อวิ๋นฟู่เหย่ต่อให้หลับก็ไม่อาจฝันถึง…
ว่าไม่ใช่ใครอื่นที่แพร่งพรายเรื่องราวออกไป แต่กลับเป็นศิษย์น้องเล็กของมัน หวงเหวินจิ้ง!
และวัตถุประสงค์ในการกระทำครั้งนี้ของหวงเหวินจิ้งก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
ให้ต้วนหลิงเทียนรู้ตัวได้ทันท่วงที สามารถหลบหนีออกจากวังเซียนสัญจร รวมถึงหลบหนีออกไปจากเมืองเหรินโม่เชิ่งแห่งนี้ได้ก่อนเกิดเรื่อง…
เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าหากอาจารย์ของนางออกจากการปิดด่านเมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนตายแน่!
สุดท้ายนางก็ไม่อาจทนเห็นต้วนหลิงเทียนต้องตายไปต่อหน้าต่อตา
ถึงแม้ตอนนี้นางจะรู้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนเป็น ‘มนุษย์’ ก็ตาม…
‘ที่ข้าทำให้เจ้าได้ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้ว’
หลังระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน ร่างหวงเหวินจิ้งก็พร่าเลือนไปคล้ายภูตผี ก่อนที่จะอันตรธานหายไปจากอากาศ ราวกับจะหายไปวับไปในความว่างเปล่า…
“น้องหลิงเทียน…เป็นนายน้อยของตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์งั้นเหรอ…เรื่องนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน!?”
ในขณะที่ข่าวลือดังกล่าวสร้างความโกลาหลไปทั่ววังเซียนสัญจร หวงฉี่หลิงเองก็ย่อมทราบด้วยเป็นธรรมดา มันยังถึงกับตะลึงไปยกใหญ่!
หลังดึงสติกลับคืน ใบหน้าแววตาก็อดไม่ได้ที่จะฉายชัดถึงความไม่อยากจะเชื่อ
และทันทีที่ข่าวดังกล่าวแพร่ออกมาจากวังเซียนสัญจร จนเริ่มแพร่กระจายไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง ก็ทำให้เผ่าปีศาจมนุษย์ถึงกับแตกตื่นกันยกใหญ่
ในเวลาเดียวกัน
ด้านเขตปกครองของเผ่าปีศาจสุกร ชนชั้นผู้นำทั้ง 3 ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังได้รับข่าวรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง!
“หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ในที่สุด! สารเลวต้วนหลิงเทียนนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นก็ถูกเปิดโปงจนได้!”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสีชาดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“ครานี้ทางเผ่าปีศาจมนุษย์นับว่าปั่นป่วนกันไม่น้อย…อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของต้วนหลิงเทียนพร้อมด้วยตราผนึกมารในมือ มันย่อมจัดการยอดฝีมือของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ทุกตน!”
“ถึงตอนนั้นยังจะนับประสาอะไรกับพวกผู้นำ 3 วัง 6 ตำหนัก ต่อให้ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ที่บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะจะออกโรงด้วยตัวเอง แต่มันก็ยากรอดพ้นชะตาตายตกภายใตเงื้อมมือต้วนหลิงเทียนที่มีตราผนึกมาร!”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสายฟ้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกกมาอย่างสนุกสนาน
“หากเผ่าปีศาจมนุษย์เกิดเรื่องนองเลือดขึ้นมา คราวนี้ไอพวกตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าปีศาจมนุษย์ก็ต้องมีนั่งไม่ติดกันบ้าง ถึงตอนนั้นต่อให้ต้วนหลิงเทียนนั่นจักมีตราผนึกมารมันก็จำต้องถึงวาระ! มิอาจหลีกหนีความตายได้พ้น!!”
ปีประกายเยียบเย็นเรืองสว่างวาบออกมาจากสองตาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ มุมปากยังยกยิ้มแสยะเย้ยหยัน
ได้ฟังจากคำของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 เหมือนพวกมันจะคิดกันไปแล้วว่าต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ไม่พ้นถูกต้วนหลิงเทียนใช้ตราผนึกมารฆ่าตายได้แน่ๆ…
หากแต่มีเรื่องหนึ่งที่พวกมันยังคิดไม่ถึง
ว่ายอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารในมือต้วนหลิงเทียนนั้น…มันไม่สมบูรณ์!
ตราผนึกมารที่ไม่สมบูรณ์นั่น ไหนเลยจะมีอานุภาพเข่นฆ่าตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะได้!
เอาจริงๆ ด้วยสภาพของตราผนึกมารตอนนี้ อย่าว่าแต่คิดฆ่าครึ่งก้าวเซียนอมตะ! กระทั่งเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนชนชั้นยอดฝีมือมันก็ไม่อาจฆ่าได้!!