ยามไฮ่ (ช่วงสามทุ่มถึงห้าทุ่ม) ถูกผู้ฝึกตนเรียกว่าเป็นช่วงเวลาคนหยุดนิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณของลัทธิเต๋าที่เมื่อถึงยามคนนิ่ง ก็คือช่วงเวลาที่สำคัญในการฝึกตน เหมาะกับการทำจิตใจให้สะอาดสงบที่สุด คือสภาวะที่สงบนิ่งอย่างเป็นธรรมชาติอันดับหนึ่ง
เนื่องจากเฉินผิงอันต้องไปให้ทันเรือข้ามฟากที่จะออกเดินทาง จึงได้แต่ละทิ้งสภาพจิตใจที่สงบนิ่งมั่นคงนั้นชั่วคราว เก็บเมล็ดงาดวงจิตออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กร่างกายมนุษย์ ไม่ได้นั่งอยู่บนยอดเขาเพื่อมองดูภาพปราณกระบี่บุกหน้าด่านต่ออีก แต่ลุกขึ้นเตรียมจะออกเดินทางต่อ
คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่หญิงร้านน้ำชาคนนั้นจะปรากฎตัวอีกครั้ง ในมือถือโถเครื่องกระเบื้องเก็บใบชามาด้วยใบหนึ่ง ยืนรออยู่ตรงจุดที่ห่างจากศาลาไปไกล
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหาอีกฝ่าย หลังจากที่ผู้ฝึกตนหญิงจวนไช่เฉวี่ยผู้นี้ทำความเคารพแล้วก็ยื่นโถกระเบื้องบรรจุใบชาที่น่ามองใบนั้นมาให้พลางยิ้มกล่าว “เฉินเซียนซือ นี่คือกำแพงดำน้อยที่ทางร้านเก็บมาปีนี้ เป็นของขวัญเล็กๆ ไม่ถือว่าสลักสำคัญอะไร”
เฉินผิงอันรับโถกระเบื้องมาแล้วก็ถามว่า “ร้านน้ำชายังมีกำแพงดำน้อยอีกไหม ข้าอยากจะซื้อเพิ่มอีกสักหน่อย”
ผู้ฝึกตนหญิงส่ายหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงขออภัย “ต้นชาเก่าแก่ที่ภูเขาด้านหลังจวนไช่เฉวี่ยมีอยู่แค่ไม่กี่ต้นเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ล้วนมีการจับจองไว้ก่อนแล้ว ทางด้านร้านน้ำชาก็ได้รับมาในจำนวนที่จำกัดเช่นกัน ตอนนี้เหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้ใบชาไปเปล่าๆ โถหนึ่งแล้ว”
ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับ เพียงยิ้มบางๆ โดยไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันถาม “ท่าเรือดอกท้อมีรายงานภูเขาสายน้ำหลังเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่หาซื้อได้บ้างหรือไม่? ตลอดทางที่ข้าเดินทางจากท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงมานี้ ต้องพลาดอะไรไปไม่น้อย”
ผู้ฝึกตนหญิงกล่าว “ที่ร้านน้ำชามีอยู่บางส่วน เฉินเซียนซือไม่จำเป็นต้องควักเงิน ร้านเราเอาเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เฉินผิงอันทำท่ายกโถเก็บใบชาขึ้นแล้วพูดอย่างจนใจว่า “ดื่มชาจากผู้อาวุโสอู่โดยไม่จ่ายเงินมามื้อหนึ่งแล้ว แล้วยังเอากำแพงดำน้อยไปเปล่าๆ อีกโถหนึ่ง หากยังรับรายงานภูเขาสายน้ำไปเฉยๆ อีก คงไม่ค่อยดีเท่าไร”
ผู้ฝึกตนหญิงยิ้มกล่าว “เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง กำลังดี”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “มีเหตุผล”
น้ำใจคนที่เล็กน้อยยิบย่อยก็เป็นน้ำใจคนของแท้แน่นอนเช่นกัน
ในความทรงจำของเขา การต้อนรับขับสู้ในช่วงแรกเริ่มสุดของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า เถ้าแก่หญิงที่จงใจปิดบังสถานะของหอชิงฝู และยังมีผู้ฝึกตนหญิงของร้านน้ำชาตรงหน้าผู้นี้ ล้วนค่อนข้างเชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้
แค่จดจำไว้ก็พอ
บนเส้นทางของชีวิตคน ทัศนียภาพที่จำเป็นต้องเหลียวซ้ายแลขวาไปมองมีมากเกินไป อย่าได้เดินไปเดินมาก็ลืมมันเสีย ทว่าแท้จริงแล้วต่อให้ลืมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ผู้ฝึกตนหญิงบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ แล้วจึงไปนำรายงานจวนเทพเซียนสามฉบับมามอบให้กับแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกมาจากร้านน้ำชาแล้ว เขาก็เริ่มเปิดรายงานอ่านไปด้วย
การที่อู่ชวินออกมารับรองแขกอย่างกระตือรือร้น เหตุผลนั้นง่ายดายมาก
ตอนอยู่ในแคว้นฝูฉวีที่เป็นแคว้นเพื่อนบ้าน การทยอยกันเซ่นกระบี่ของเขากับฉีจิ่งหลงสร้างความเคลื่อนไหวที่ใหญ่เกินไป
รายงานภูเขาสายน้ำของอุตรกุรุทวีปมองดูเหมือนไร้ความยำเกรงใดๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีกฎข้อหนึ่งที่ไม่ได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นั่นคือหลังจากที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งรบตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ข่าวจะถูกส่งกลับมายังอุตรกุรุทวีปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เซ่นกระบี่ จะไม่มีบันทึกไว้ในรายงานภูเขาสายน้ำ
ฉีจิ่งหลงได้บอกเหตุผลที่ชัดเจนให้ฟังก่อนแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดคุยฆ่าเวลาเพื่อความบันเทิงได้
ขนบธรรมเนียมของใต้หล้า แต่ละถิ่นแต่ละสถานที่ล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง
ทางฝั่งของศาลาริมน้ำในร้านน้ำชา อู่ชวินบรรพจารย์ผู้คุมกฎนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเดิม เพียงแต่ว่าฝั่งตรงข้ามกลับไม่มีคนนั่งและไร้ถ้วยน้ำชาวางอยู่ อู่ชวินเองก็ไม่มีความคิดอยากจะดื่มชา จึงทำเพียงนั่งชมริ้วคลื่นในทะเลสาบที่ส่องประกายวับวาบล้อแสงจันทร์อยู่เงียบๆ
ผู้ฝึกตนหญิงยืนอยู่นอกขั้นบันไดของศาลา
อู่ชวินเอ่ยถาม “ความเคลื่อนไหวทางฝั่งเมืองหลวงต้าจ้วน ไม่มีภูเขาลูกใดรู้เรื่องวงในแล้วเขียนลงในรายงานภูเขาสายน้ำบ้างเลยหรือ?”
ผู้ฝึกตนหญิงส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าฮ่องเต้สกุลหลูของต้าจ้วนจะออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้แพร่งพรายข้อมูลใดๆ ตอนนั้นคนที่ไปยืนชมศึกตรงหัวกำแพงเมืองหลวงกับริมตลิ่งแม่น้ำอวี้ซีมีแค่หร็อมแหร็ม อริยะจากสำนักศึกษาท่านนั้นมานั่งพิทักษ์ด้วยตัวเอง และยิ่งไม่มีเซียนดินคนใดกล้าลอบชมศึก ต่อให้เป็นการใช้วิชาอภินิหารเทพมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือชมศึกอยู่ไกลๆ ก็ยังไม่ค่อยกล้าเท่าไร”
อู่ชวินยิ้มกล่าว “อริยะท่านนั้นอารมณ์ร้ายอยู่มากจริงๆ แต่ว่าหลังจากที่เขาลงมือสองครั้ง บนภูเขาล่างภูเขาของภาคกลางอุตรกุรุทวีปก็สงบมั่นคงขึ้นมาเยอะมาก”
ผู้ฝึกตนหญิงถามอย่างใคร่รู้ “เหตุใดบรรพจารย์อู่ถึงไม่มอบชุดคลุมอาคมชั้นเลิศให้กับท่านเฉินไปโดยตรง?”
อู่ชวินผายมือบอกเป็นนัยให้เด็กรุ่นหลังในสำนักผู้นี้นั่งลง หลังจากฝ่ายหลังนั่งลงแล้ว อู่ชวินก็ยิ้มเอ่ยว่า “สนองตอบความต้องการของผู้อื่น อีกฝ่ายให้ความเคารพกฎเกณฑ์และมารยาทอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรเคารพกฎเช่นกัน หากเป็นพวกละโมบบ้าตัณหา จึงจะใช้แผนการอย่างอื่น”
ผู้ฝึกตนหญิงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “แค่กำแพงดำน้อยโถเดียวเท่านั้น ตอนที่เฉินเซียนซือรับไว้ ท่าทางเขาดูชื่นชอบมันมากจริงๆ”
อู่ชวินชำเลืองตามองเด็กรุ่นหลังผู้ฉลาดเฉลียวที่คอยช่วยเหลือภูเขาทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้แขก
การที่สามารถมาทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ร้านน้ำชาที่ต้องรับรองแขกชนชั้นสูงของตระกูลเซียนแทนจวนไช่เฉวี่ยได้นั้น แสดงว่าต้องมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
แต่ในเมื่อมานั่งอยู่ตรงตำแหน่งนี้ เดิมทีนี่ก็หมายความว่าในเรื่องของการฝึกตน เส้นทางในอนาคตเลือนราง ตกอยู่ในสภาพการณ์น่ากระอักกระอ่วนไม่ต่างจากผู้ดูแลเรือข้ามฟากในโลกมนุษย์ส่วนใหญ่
อู่ชวินไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ
ผู้ฝึกตนนั้น มองเรื่องราว ยิ่งต้องทบทวนจิตใจ
หากคุยเรื่องที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนกับเด็กรุ่นหลังผู้นี้ จะเป็นการทิ่มแทงใจนางเสียเปล่าๆ
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็รับรองแขกจากหลายๆ ฝ่ายได้รัดกุมรอบคอบพอสมควร อีกทั้งยังไม่เคยวาดงูเติมขาโดยพลการ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
อู่ชวินถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าเจ้าจวนของตนได้เจอกับเจียวหลงบนบกผู้นั้นแล้วหรือยัง?
เกี่ยวกับหลิวจิ่งหลงที่ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดของสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นี้ มีเรื่องราวมากมายเหลือเกินที่ควรค่าแก่การนำมาพูดคุย
เพียงแต่ว่าเรื่องเล่าลือหลายอย่าง อยู่ห่างจากกองกำลังตระกูลเซียนลำดับที่สามในอุตรกุรุทวีปอย่างจวนไช่เฉวี่ยไกลเกินไป แต่ก็อาจเป็นเพราะในอดีตเจ้าจวนเคยเดินทางร่วมกับหลิวจิ่งหลงมาระยะทางหนึ่ง อีกทั้งเจ้าจวนเองก็ไม่เคยปิดบังความรักความหลงใหลที่มีต่อท่านหลิวผู้นี้ นางเป็นคนใจกว้างเปิดเผย เวลาเจอใครก็มักจะชอบถามเรื่องความรักของชายหญิง ต่อให้เป็นกับอู่ชวินก็ยังเคยขอความรู้มาก่อน เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหญิงของจวนไช่เฉวี่ยต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้และวาดฝันในตัวท่านหลิวผู้นั้นอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้ว สตรีล้วนชื่นชมเลื่อมใสมาดของเซียนกระบี่ ส่วนบุรุษก็ล้วนคิดคำนึงถึงเทพธิดา
ดังนั้นอันที่จริงอู่ชวินจึงใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าคู่รักเทพเซียนบนภูเขาเหล่านั้น ทำอย่างไรถึงสามารถครองรักกันไปได้จนเส้นผมขาวโพลน หากเจอกับหายนะใหญ่มาเยือน ทั้งสองฝ่ายจะสามารถร่วมเป็นร่วมตายกันได้จริงๆ หรือ?
อู่ชวินไม่รู้ แล้วก็หวังว่าตนเองจะไม่ต้องรู้เรื่องนี้ไปชั่วชีวิต นางอยากทำเพียงแค่สงบใจฝึกตน แต่น่าเสียดายที่คุณสมบัติของตัวเองเป็นอย่างไร อู่ชวินรู้ดีอยู่แก่ใจ ก็แค่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้น
พอคิดถึงเรื่องนี้ อู่ชวินก็บอกให้เถ้าแก่ร้านน้ำชาไปเอาเหล้ามาสองกา
ผู้ฝึกตนหญิงคิดจะพูดปกปิด
อู่ชวินกลับยิ้มกล่าวว่า “ดื่มเหล้าในร้านน้ำชาแล้วทำไม อีกอย่างข้าก็คือบรรพจารย์ผู้คุมกฎของจวนไช่เฉวี่ย ใครจะกล้ามาควบคุมข้า?”
ผู้ฝึกตนหญิงจึงลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบเหล้ามาด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาขึ้นหลายส่วน
ขนาดบรรพจารย์อู่ชวินยังเป็นเช่นนี้ นางที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งไร้ความหวังบนมหามรรคาก็ได้แต่เฝ้าอยู่ในร้านน้ำชาแคบๆ แห่งนี้ แล้วจะไม่ให้แอบดื่มเหล้าดับทุกข์เลยได้อย่างไร?
รุ้งเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า พลิ้วกายลงบนทะเลสาบ แล้วพุ่งเข้ามาในศาลา สตรีที่รูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอู่ชวิน พูดอย่างอัดอั้นว่า “ดื่มเหล้าสิดี เพิ่มข้าไปอีกคน”
อู่ชวินยิ้มกล่าว “ไม่ค่อยราบรื่น? ท่านหลิวผู้นั้นยังคงเป็นตอไม้ทึ่มทื่ออย่างที่เจ้าจวนเรียกอยู่เหมือนเดิมหรือ?”
ท่านผู้นี้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอู่ชวินก็คือผู้ฝึกตนหญิงเซียนดิน เจ้าจวนอายุน้อยของจวนไช่เฉวี่ย ซุนชิงผู้ฝึกตนหญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากนับตามลำดับอาวุโสแล้ว ลำดับศักดิ์ของนางยังต่ำกว่าอู่ชวิน
ซุนชิงส่ายหน้า “ท่านหลิวเปลี่ยนไปจากเดิมมาก คราวนี้ที่พบหน้ากัน เขาพูดกับข้าอย่างตรงไปตรงมา หลักการเหตุผลพวกนั้น ข้าเข้าใจ ท่านหลิวหวังดีต่อข้า แต่ในใจของข้ากลับยังคงไม่โล่งอยู่ดี”
อู่ชวินกล่าวอย่างสงสัย “เขาพูดว่าอะไร?”
เจ้าจวนสาวโบกมือ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ค่อนข้างน่าอายน่ะ”
อู่ชวินไร้คำพูดตอบโต้
เจ้าไปดักทางคนอื่นเขาถึงขนาดนั้น แล้วยังมีเรื่องอะไรให้ต้องอายอีกเล่า?
แต่อู่ชวินก็สงสัยมากจริงๆ แม้ว่าเจ้าจวนของตนจะไม่ถือว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีความสามารถน่าตะลึงพรึงเพริดอะไรนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคอขวดโอสถทองที่อายุไม่ถึงร้อยปี ยิ่งเป็นหนึ่งในสิบเทพธิดาใหญ่ของอุตรกุรุทวีป พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากมีเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งเป็นฝ่ายขอร้องให้เจ้าจวนที่มีความหวังบนมหามรรคาผู้นี้กลายมาเป็นคู่บำเพ็ญตนของตน ก็ยังไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเลยสักนิด แต่จะว่าไปแล้ว หากคิดคำนวณผลประโยชน์ตามนี้ พูดประโยคที่เป็นธรรมสักหน่อย เจ้าจวนของตนยังเทียบกับเทพธิดาหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิงไม่ได้ คนเขาไม่เพียงแต่อยู่ในอันดับสิบคนเหมือนกับหลิวจิ่งหลง รูปโฉมยังงดงามยิ่งกว่าซุนชิงอีกด้วย
อู่ชวินถามเสียงเบา “คราวนี้ตัดใจจากท่านหลิวได้แล้ว?!”
ซุนชิงหัวเราะเสียงดัง “จะเป็นไปได้อย่างไร ยิ่งชอบมากกว่าเดิมอีก!”
อู่ชวินกุมขมับพูดไม่ออก
เหตุใดท่านหลิวที่ชอบใช้เหตุผลมากที่สุดถึงได้ไม่มีเหตุผลขนาดนี้
คนทั้งสามร่วมดื่มเหล้าด้วยกัน
ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นเถ้าแก่ร้านผู้นั้นยังค่อนข้างจะสำรวมตน เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนหญิงสามคนที่ลำดับศักดิ์และสถานะล้วนแตกต่างกันได้จงใจถอนวิชาในการฝึกตนทิ้งไป จึงดื่มจนเมามาย ใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำงดงามดุจดอกท้อ
ถึงท้ายที่สุดคนทั้งสามก็เป็นเพียงแค่สตรีเท่านั้น
ยามที่สตรีพูดจาสัปดนหยาบโลน นั่นต่างหากถึงจะเป็นข้อต้องห้ามอย่างแท้จริง
ทว่ากลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลไปอีกแบบ
……
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กทะยานลมกลับสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่อยู่ทิศเหนือด้วยกัน เนื่องจากฉีจิ่งหลงต้องคอยดูแลป๋ายโส่วลูกศิษย์ที่เพิ่งรับมาใหม่ซึ่งขอบเขตไม่สูง ดังนั้นการเดินทางจึงไม่เร็วนัก
จากนั้นก็ถูกซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยผู้นั้นมาดักพบกลางทาง
ตอนนี้ฉีจิ่งหลงพอจะมีความมั่นใจมากแล้ว ก็แค่หนีไม่พ้นต้องเอาความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ประโยชน์ ทำไปตามลำดับขั้นตอน เขาจึงพูดคุยกับเทพธิดาซุนผู้นั้นไปรอบหนึ่ง
ซุนชิงที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ
เพียงแต่ว่าตอนที่นางบอกลาจากไป จนไม่เห็นเรือนกายอรชนบอบบางนั้นแล้ว เด็กหนุ่มป๋ายโส่วก็ส่ายหน้า จุ๊ปากพูดว่า “คนแซ่หลิว พี่สาวเทพธิดาที่หน้าตางดงามขนาดนั้นดันมาชอบเจ้า นางก็ตาบอดจริงๆ หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าจวนซุนคือหนึ่งในสิบเทพธิดาใหญ่ของอุตรกุรุทวีปเรา คนแซ่หลิว ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าจริงๆ นะ ไม่ได้เป็นคู่บำเพ็ญตนกันแล้วอย่างไร ข้าว่าซุนชิงผู้นั้นก็ยังต้องตอบตกลงอยู่ดี เรื่องดีๆ ที่ได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงตัดใจปฏิเสธได้ลงเล่า?”
ฉีจิ่งหลงที่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทะยานลมกลับทิศเหนือไปพร้อมกับเด็กหนุ่มต่ออีกครั้ง เขาเปิดปากเอ่ยว่า “อธิบายเหตุผลกับเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ก็คือการสีซอให้ควายฟัง”
ป๋ายโส่วพูดอย่างเดือดดาล “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากินอิ่มอยู่ว่างงานก็เลยรับข้าเป็นลูกศิษย์งั้นรึ?! ทำไมไม่ให้ข้ากลับภูเขาเกอลู่ไปเล่า?”
ฉีจิ่งหลงพูดเนิบช้าว่า “เมื่อเทียบกับการที่อุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่ที่รับเงินเพื่อฆ่าคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ข้ายินดีจะได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่บรรลุมรรคาอย่างแท้จริงมากกว่า”
ฉีจิ่งหลงเอ่ยอีกว่า “เจ้าวางใจเถอะ เข้าไปอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย หลังจากได้รับการบันทึกชื่อลงในศาลบรรพจารย์แล้ว ในอนาคตเวลาที่เจ้าลงจากภูเขาก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยิ่งไม่ต้องยอมรับว่าตัวเองคือลูกศิษย์ของข้า เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ เจ้าก็ออกกระบี่ได้ตามสบาย ข้ากับสำนักล้วนไม่คิดจะพันธนาการจิตใจของเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ให้ชัดเจนว่ากฎเกณฑ์ของข้าและสำนักมีข้อใดบ้าง ข้าไม่หวังว่าในอนาคตตเมื่อข้าลงโทษเจ้า เจ้าจะบอกกับข้าว่าตัวเองไม่รู้กฎเกณฑ์อะไรเลย”
—-