ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 64 การแทรกซึม (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 64 การแทรกซึม (1)

ฉับ!

ดาบเหล็กสั้นตัดผ่านเสาไม้อย่างสวยงาม

“เยี่ยมมาก”เหล่าผู้เฝ้ามองเริ่มส่งเสียงชื่นชม

“นายน้อยเก่งที่สุด!”

“เยี่ยมมาก นายน้อย”

“นายน้อยช่างอัจฉริยะ!”

เสียงเยินยอดังระงมไปทั่วทั้งพื้นที่

หลินซวงเฟยปี่นั่วเก็บดาบเข้าไปในฝักอย่างสงบนิ่ง

เขาได้ยินคำชื่นชมเหล่านี้บ่อยเกินไปแล้ว

เขาพึ่งจะอายุ 7 ขวบในปีนี้ แต่ความแข็งแกร่งนั้นเทียบเท่ากับผู้ใหญ่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าสิ่งมีชีวิตในโลกนี้เติบโตเร็วกว่าโดยเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุเพียง 12 ปี ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะพรสวรรค์แต่กำเนิดของตัวเขาเอง

แก่นโลหิตลวงตาเพิ่มพละกำลังของเขามหาศาล แม้ว่ามันจะยังไม่ทำงานเต็มที่ มันก็ยังทำให้เขาสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ เขาเป็นอัจฉริยะโดยแท้จริง แม้คำพูดของเหล่าผู้รับใช้จะเปี่ยมไปด้วยสรรเสริญเยินยอ เนื้อหาของการชื่นชมเหล่านั้นก็แม่นยำ

แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดเหล่านี้ก็ไร้สาระสำหรับหลินซวง

7 ปี เขาอยู่บนโลกใบนี้มากว่า 7 ปีแล้ว

ร่างกายหลักของเขายังคงล่องลอยอยู่ในทวีปต้นกำเนิดเพื่อผนึกชิ้นส่วนของปราการไว้และชะลอการกลับไปของเทพเจ้า

ปราการที่ควรจะถูกทำลายไปตั้งแต่ 2 ปีก่อนถูกรักษาไว้นานยิ่งกว่านั้นมาก

แต่การชะลอนี้ก็เป็นเสมือนการรักษาอาการป่วยระยะสุดท้าย การพังทลายลงในอีกไม่นานนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ในอีกไม่กี่ปี ไม่ว่าจะได้หรือเสีย เกราะป้องกันจะเริ่มพังทลายลงโดยสมบูรณ์

เขาจำเป็นต้องหาวิถีทางขยายการชะลอออกไปก่อนที่มันจะเกิดขึ้น

ที่จริงแล้ว มีอยู่วิธีหนึ่งที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้

ซูเฉินได้เรียนรู้มาจากเจ้าแห่งแดนฝันว่าเทพเจ้ากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อทำลายปราการ เทพเจ้าทุกคนต่างโจมตีปราการเพื่อเร่งการเสื่อมสภาพ

พูดอีกอย่างคือ ตราบใดที่เขาสามารถทำให้เทพเจ้าเหล่านั้นวุ่นกับเรื่องอื่นไปได้สักพัก การจากไปของปราการก็จะช้าลงอีกมหาศาล

แน่นอนว่าการพูดง่ายกว่าการลงมือทำ ในท้ายที่สุดแล้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลินซวงน้อยจะทำด้วยตัวเองได้

โชคยังดีที่มีความเป็นไปได้อื่น ๆ อยู่บ้าง…

หลินซวงถาม “เมื่อไหร่ท่านพ่อจะกลับมาหรือ?”

หนึ่งในข้ารับใช้โค้งคำนับและกล่าว “ขุนนางเฟยปี่นั่วเพิ่งจะกลับมา อยู่ในห้องทำงานขอรับ”

หลินซวงหันหลังและมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานทันที

แท้จริงแล้ว ห้องทำงานของเฟยปี่นั่วนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน

แต่หลินซวงเป็นข้อยกเว้น

เฟยปี่นั่วหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะที่เขาอ่านรายงานที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะของตน

เมื่อเฟยปี่นั่วเห็นลูกชายเข้ามา สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นอย่างมาก “ลูกชายข้า ทักษะการใช้ดาบของเจ้าพัฒนาขึ้นมากมาย และความสามารถของเจ้าก็นำเพื่อนร่วมรุ่นไปมาก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคือนักรบตัวจริง นี่คงจะเป็นข่าวดีที่สุดที่ข้าได้ยินมาตลอดทั้งฤดูร้อนเลยทีเดียว”

ในระบบแสนเรียบง่ายของอาณาเขตคุน นักรบระดับ 1 คือพื้นฐานไปสู่ความเหนือธรรมชาติ มีอยู่ทั้งหมด 10 ระดับด้วยกัน หากเหนือไปกว่านั้นจะเป็นระดับตำนาน ในบางเชิง ระบบนี้คล้ายคลึงกับระบบวิชาอาร์คาน่าทีเดียว

ความจริงที่ว่าหลินซวงมาถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่วัย 7 ปีแสดงให้เห็นชัดเจนถึงพรสวรรค์อันโดดเด่นของเขา

หลินซวงตอบอย่างใจเย็น “แล้วข่าวร้ายล่ะขอรับท่านพ่อ?”

“โจรพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในป่าอ้างว้าง” เฟยปี่นั่วถอนหายใจขณะที่ถือบันทึกข้อมูลไว้ในมือ “พ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งถูกพวกมันปล้นเมื่อวานนี้ ผู้อารักขาของข้ากลายเป็นพวกไร้ค่าไปซะแล้ว ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย!”

“นั่นไม่น่าแปลกใจสักนิด ท่านพ่อ” หลินซวงตอบ “ยังไงพวกเขาก็เป็นกองกำลังปีศาจที่ปกครองป่าอ้างว้าง”

ป่าอ้างว้างอยู่ถัดไปจากเขตแดนขุนนางเฟยปี่นั่ว ป่านั้นดูเปี่ยมไปด้วยพลังลึกลับ ทำให้มันเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ย่างก้าวเข้าไปข้างในจะตกอยู่ในอันตรายถึงตาย บางทีคงมีคนที่เข้าไปรอดกลับมาได้แค่ 1 ใน 10 เท่านั้น นี่คือที่มาของชื่อป่าแห่งนี้ด้วยมันเปล่าเปลี่ยวและเงียบสงัดอย่างน่าขนลุกเสมอมา

แต่กองกำลังปีศาจนั้นเป็นข้อยกเว้น

พวกมันสามารถอาศัยอยู่ภายในป่าอ้างว้างโดยเข้าออกได้ตามใจชอบ นี่ทำให้กองกำลังของขุนนางเฟ่ยปี่นั่วทำอะไรพวกเขาไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ

พวกเขาพยายามหลอกล่อกองกำลังปีศาจออกมาจากที่ซ่อนหลายต่อหลายครั้ง แต่โชคร้ายที่แผนการของพวกเขาถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งตลอด ราวกับว่าพวกมันมีดวงตาวิเศษอย่างไรอย่างนั้น

นี่ทำให้เฟยปี่นั่วฉุนเฉียวไม่น้อยและกลายเป็นขวากหนามทิ่มแทงใจที่ก่อกวนเขาไม่หยุดหย่อน

“พวกมันกำลังสร้างความเสียหายให้กับเรามากเกินไป เจ้ามีความคิดอะไรดี ๆ ไหม หลินซวงของข้า?” เฟยปี่นั่วถามลูกชาย

นี่ไม่ได้แปลกประหลาดนัก แม้ว่าลูกชายของเขาจะมีอายุเพียง 7 ปี แต่เด็กคนนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว อัจฉริยภาพของหลินซวงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ทักษะทางการเมืองของเขาก็น่าประทับใจเป็นอย่างมากเช่นกัน หลินซวงเคยทำให้เห็นมาหลายครั้งตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

“ให้คนของโบสถ์จัดการเรื่องนี้ขอรับ” หลินซวงตอบ “พลังของป่าอ้างว้างน่าจะมาจากคำสาปบางอย่าง บาทหลวงของพวกเขาควรจะจัดการมันได้อย่างง่ายดาย”

“แต่ค่าจ้างทางโบสถ์แพงเกินไป” เฟยปี่นั่วตอบพร้อมกุมขมับ

กองกำลังปีศาจที่ปกครองป่าอ้างว้างอยู่ไม่เคยแตะต้องสินค้าของโบสต์แม้แต่น้อย พวกเขาจึงไม่เคยทำร้ายมันกลับด้วยเช่นกัน

ค่าใช้จ่ายราคาแพงคือสิ่งจำเป็นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เพื่อให้พวกเขาตอบโต้

เฟยปี่นั่วควรจะสามารถรวบรวมกองทุนมาได้ในสถานการณ์ปกติ แต่ไม่นานก่อนหน้านี้ ความเข้าใจผิดบางอย่างได้บังเกิดขึ้นระหว่างเขาและหนึ่งในนักบวชของโบสถ์

ความเข้าใจผิดนี้ไม่ได้ใหญ่หลวงมากนัก นักบวชอูหลีเค่อเริ่มหลงใหลสาวรับใช้คนหนึ่งของขุนนางเฟยปี่นั่ว เฟยปี่นั่วเองก็ไม่ได้ใจแคบและตอบตกลง แต่ในคืนนั้น สาวรับใช้ได้เสียชีวิตลงอย่างปริศนา

การยัดเยียดตัวเองให้กับใครบางคนแล้วจึงสังหารนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างถึงที่สุดสำหรับชนชั้นสูงในช่วงเวลานี้

นักบวชผู้นั้นเข้าใจผิดว่าเฟยปี่นั่วปฏิเสธที่จะมอบสาวรับใช้ให้แก่เขาด้วยความเห็นแก่ตัวและเลือกที่จะสังหารนางแทน

ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงขุ่นเคือง

ขุนนางเฟยปี่นั่วมีความคับข้องใจที่ตนไม่อาจป่าวประกาศได้ และไม่มีทางที่จะสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรแล้วเขาก็ไปเยี่ยมเยียนสาวรับใช้ในเย็นวันนั้นอย่างแน่นอน และเขายังดื่มไวน์ไปด้วย……

อย่างไรก็ตาม นักบวชอูหลีเค่อก็ไม่พอใจเป็นอย่างมากและตั้งราคาค่าบริการที่เฟยปี่นั่วไม่อาจยอมรับได้

กองกำลังปีศาจก็แข็งแกร่งขึ้นในทุก ๆ วัน

เมื่อได้ยินคำตอบของหลินซวง เฟยปี่นั่วก็ต้องส่ายหัว

“ข้าไม่ได้พูดถึงโบสถ์คืนเหมันต์ขอรับ” หลินซวงตอบ

“อะไรนะ?” เฟยปี่นั่วตะลึงงัน

“ข้าหมายถึงโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์น่ะขอรับ” หลินซวงเอ่ย

“นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” เฟยปี่นั่วลุกขึ้นยืนทันที

เทพเจ้าแต่ละองค์มีขีดจำกัดในการทำสิ่งต่าง ๆ ข้อจำกัดของสนธิสัญญานิรันดร์กาลห้ามไม่ให้เทพเจ้าคนใดบุกรุกเข้ามาในเขตแดนของเทพเจ้าองค์อื่น

ดินแดนที่ตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเฟยปี่นั่วถูกเปลี่ยนมือมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่เทพเจ้าเหมันต์ก็ได้ควบคุมพื้นที่แห่งนี้มาโดยตลอด

นี่คือกฎที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้

เมื่อได้ยินข้อเสนอของหลินซวง การตอบสนองในทันทีของเฟยปี่นั่วคือปฏิเสธความคิดนั้นเสีย

“เราไม่ได้ขอให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนา เราแค่ขอให้พวกเขากำจัดโจรนิดหน่อยเท่านั้นเอง” หลินซวงอธิบาย

ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนศาสนา แต่เพื่อกวาดล้างโจรขโมยต่างหาก

เขตแดนนี้เป็นของเทพเจ้าเหมันต์ก็จริง แต่ทหารของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็ยังสามารถเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาได้

อืม เป็นข้ออ้างที่ฟังดูมีเหตุผลทีเดียว

เฟยปี่นั่วครุ่นคิดอยู่สักพัก “พวกเขาจะตอบตกลงหรือ?”

“เราจะจ่ายพวกเขา ยังไงการกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของพวกเขาอยู่แล้วขอรับ”

แม้ว่าโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์จะไม่ได้มีมาตรฐานความถูกต้องเดียวกันกับโบสถ์อื่น ๆ แต่มุมมองของพวกเขาก็เหมือนกันไม่มากก็น้อย

โบสถ์ที่เที่ยงตรงและสูงส่งเหล่านั้นแทบจะล่มสลายลงระหว่างยุคมืดแห่งเทพเจ้า เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ผู้ได้ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์มาจากหลายเผ่าพันธุ์ในทวีปต้นกำเนิดคือมาตรฐานความเที่ยงธรรมในแดนนี้

ความถูกต้องจากความมืดมิด!

นี่คือมาตรฐานความยุติธรรมของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์

ศิษย์ของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ยิ่งกว่ายินดีที่จะมีส่วนร่วมในการกวาดล้างความชั่วร้ายครั้งนี้

เฟยปี่นั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพยักหน้าบ้าง “ข้าจะส่งคำขอไปยังนักบวชช่าหลี่”

“ไม่ใช่นักบวชช่าหลี่ นักบวชทัวเอ่อร์ต่างหากขอรับ” หลินซวงแก้ไข

“ทัวเอ่อร์หรือ?”

“ขอรับ เพื่อนที่ข้ารู้จักไม่นานมากนี้ เขาคือนักบวชคนใหม่ที่พึ่งจะได้รับการแต่งตั้งในเขตแดนเหม่ยหลาน และเขาก็กระตือรือร้นที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน” หลินซวงเล่า

เฟยปี่นั่ว “งั้นเจ้าก็เตรียมการไว้พร้อมแล้วสินะ”

“ข้ายังจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากท่าน” หลินซวงก้มหัวลงด้วยความเคารพ

เฟยปี่นั่วมองดูบุตรชายของตนด้วยความพึงพอใจ “เยี่ยมมาก สรวงสวรรค์ได้ประทานพรให้ข้าได้มีลูกชายที่เลิศเลอถึงเพียงนี้เป็นแน่ ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปยังเขตแดนเหม่ยหลานเพื่อยื่นคำเชื้อเชิญอย่างเป็นทางการ”

“ได้เลยท่านพ่อ ข้าจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้”

“เจ้ารีบร้อนนักหรือ?”

“พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว ท่านพ่อ”

เฟยปี่นั่วถอนหายใจ “ใช่ เรามีเวลาไม่มาก แต่ข้ายังลังเลนิด ๆ เกี่ยวกับการส่งเจ้าไปตัวคนเดียว ยังไงซะเจ้าก็ยังอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น”

“ข้ารับใช้จะปกป้องข้าเอง และข้าจะกลายเป็นนักรบอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน ได้โปรดเถิดท่านพ่อ ให้โอกาสข้าได้พิสูจน์ตัวเองเถิด”

“เจ้าได้พิสูจน์ตนเองไปนานแล้ว ลูกข้า” เฟยปี่นั่วมองไปยังหลินซวง สายตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัยบางอย่าง

เจ้าจะได้รู้ในอีกไม่นานว่านี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ขนาดไหน หลินซวงคิดกับตัวเองขณะที่เขาจ้องเขม็งกลับไปยังเฟยปี่นั่ว