ตอนที่ 985 การต่อสู้อันดุเดือดบนยอดเขา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ ยอดสูงสุดของภูเขาจันทรา ลั่วเฟิงยืนขึ้นและส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่หลบไปด้านข้าง สายตาของเขามองออกไปไม่ไกลนักและสีหน้าแสดงความระแวดระวังอย่างชัดเจน

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยและน่าสะพรึงกลัวซึ่งกำลังใกล้เข้ามาและรู้สึกประหลาดใจทันที

กลิ่นอายที่แผ่ออกมาคล้ายกับกลิ่นอายจากเงามืดที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้ ทว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมากลับรุนแรงกว่ามาก

หากคาดเดาไม่ผิด สิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ลั่วเฟิงกล่าวถึง

“เจ้ามาที่นี่อีกแล้วรึ !”

น้ำเสียงแหบพร่าและน่าขนลุกดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่พร้อมกับร่างเงาสีดำปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหัน

ทั้งร่างนั้นปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำและเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีเขียวสลัวเท่านั้น

สายตาคู่นั้นมองมาที่ฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณาและทำให้นางขนลุกซู่ได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายที่แผ่มาจากสิ่งมีชีวิตลึกลับตรงหน้าก็คล้ายกับกลิ่นอายของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจที่นางเคยประจันหน้าก่อนหน้านี้

“ช่างเป็นสตรีที่น่ากินไม่น้อย เหตุใดถึงพานางขึ้นมาที่นี่ เจ้าคิดจะมอบนางให้เป็นอาหารของข้างั้นรึ ?”

สิ่งมีชีวิตลึกลับกล่าวขึ้นเบา ๆ โดยไม่แสดงถึงจิตสังหารมากนัก

“ข้ามาที่นี่เพื่อโน้มน้าวให้เจ้าหยุดการกระทำของเจ้าเสีย ผู้คนล้มตายไปมากแล้ว หากเจ้ายังทำเช่นเดิมต่อไป คนของสามสำนักและเก้านิกายจะต้องเคลื่อนไหวออกมาอย่างแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสเอาตัวรอดได้อีก แม้ตัวข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ ทว่าคนจากสามสำนักและเก้านิกายก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย”

ลั่วเฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น ฉินอวี้โม่มั่นใจได้ทันทีว่าเขาคุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตลึกลับพอสมควรและน่าจะเคยประจันหน้ากันมาหลายครา

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหยุดข้าไม่ได้หรอก แม้แต่คนจากสามสำนักและเก้านิกายก็หยุดข้าไม่ได้ ลั่วเฟิง…เราต่อสู้กันมานับสิบครั้งแล้ว เจ้าไม่เคยได้เปรียบเหนือกว่าข้าด้วยซ้ำ หากเจ้าจัดการกับข้าได้จริง ๆ เจ้าก็คงจะทำไปนานแล้ว วันนี้ข้าไม่อยากเสียเวลาต่อสู้กับเจ้า พานางกลับไปเสียเถอะ”

สิ่งมีชีวิตในร่างบุรุษลึกลับแสยะยิ้มและเปิดเผยข้อมูลบางอย่างออกมา

มันเคยต่อสู้กับลั่วเฟิงมาแล้วมากกว่าสิบครั้งโดยที่ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ แต่มันเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเหนือกว่ามาตลอด แม้ว่าลั่วเฟิงจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ไม่สามารถเอาชนะมันในเขตแดนของมันได้ ในขณะเดียวกันหากสิ่งมีชีวิตลึกลับออกจากภูเขาจันทราไป มันก็เอาชนะลั่วเฟิงไม่ได้เช่นกัน

หากไม่มีผู้ใดกล้ามาที่ภูเขาจันทราอีก ลั่วเฟิงก็ไม่มีทางหยุดยั้งมันได้และนั่นหมายความว่าแผนการของมันจะดำเนินต่อไปจนสมบูรณ์ในที่สุด

“เมื่อคืนนี้เป็นเจ้าใช่รึไม่ที่ทำร้ายผู้คุมกฎฝั่งขวาของนิกายหมื่นบุปผา ?”

ลั่วเฟิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา วันนี้เขาพาฉินอวี้โม่มาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้เช่นกัน

“หึ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีสถานะอยู่ในระดับผู้คุมกฎของนิกาย ความแข็งแกร่งของนางก็ไม่ได้มากนัก ทว่ายังกล้าคิดสู้กับข้า ช่างมีความคิดที่เพ้อฝันจริง ๆ ข้าเพียงให้บทเรียนนางกลับไปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นนางคงกลายเป็นศพไปแล้ว”

สิ่งมีชีวิตลึกลับแค่นเสียงเย้ยหยันและยอมรับว่าตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮวาหรงบาดเจ็บจริง

“จะต้องมีใครสักคนที่หยุดเจ้าได้”

ลั่วเฟิงทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและกล่าวต่อ “ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วก็มาสู้กันสักตั้งเถอะ ข้าก็อยากเห็นนักว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะพัฒนาไปมากเพียงใดแล้ว”

เมื่อสิ้นเสียงดังกล่าว ลั่วเฟิงก็พุ่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ทันที

สิ่งมีชีวิตลึกลับก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยและตั้งรับการจู่โจมอย่างกะทันหันของลั่วเฟิงได้อย่างทันท่วงที

ทั้งสองปะทะกันด้วยพลังมายาที่ทรงพลังอย่างที่สุดส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบมืดหม่นลงในทันทีและเกิดคลื่นพลังมหาศาลขึ้นมาที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงแรงกดดันอันแรงกล้า

อย่างไรก็ตาม นางมองดูการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายต่อไปอย่างใจจดใจจ่อและไม่กล่าวสิ่งใด

ลั่วเฟิงพานางขึ้นมาบนภูเขาจันทราด้วยจุดประสงค์บางอย่าง บางทีอาจเป็นเพราะเขาต้องการให้ฉินอวี้โม่ได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตลึกลับและหาทางจัดการกับมันให้ได้ เพราะถึงอย่างไรสามสำนักและเก้านิกายก็อาจจะร่วมมือกันจัดการกับมันไม่ได้เสมอไป

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายคุ้นเคยกับการโจมตีของกันและกันและการต่อสู้ก็ดำเนินไปอย่างดุเดือดเข้มข้น

ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์หรือความเร็วของร่างกาย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ด้อยไปกว่าฮวาฟางเฟยแม้แต่น้อย หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เกรงว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางทราบได้เลยว่ามีผู้ที่แกร่งกล้าเช่นนี้อยู่ในเมืองจันทรา

อย่างไรก็ตาม พลังมายาของลั่วเฟิงเป็นพลังประเภทธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติพิเศษใด ในขณะที่พลังของสิ่งมีชีวิตลึกลับอัดแน่นไปด้วยพลังกลืนกินที่ทรงพลังและสามารถยับยั้งพลังมายาของลั่วเฟิงได้

อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วพลังระหว่างทั้งสองก็ไม่ต่างกันมากนักส่งผลให้ไม่สามารถกำหนดผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ

ทั้งสองต่อสู้กันนานสองก้านธูปและฉินอวี้โม่เริ่มตาลายเต็มที

ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง กอปรกับการประจันหน้าด้วยกระบวนท่าที่ถี่และต่อเนื่องทำให้ไม่มีสิ่งใดแทรกกลางระหว่างทั้งสองได้เลย

กระบวนท่าโจมตีของลั่วเฟิงรุนแรงและทรงพลังมากกว่า ในขณะที่การโจมตีของสิ่งมีชีวิตลึกลับก็เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแปลกประหลาดเกินคาดเดา

ทั้งสองปล่อยการโจมตีเข้าใส่กันหลายร้อยกระบวนท่า ไม่ว่าเป็นการประจันหน้าในด้านพลังมายาหรือด้านทักษะยุทธ์ก็ยังไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ถือว่าเป็นเขตแดนของสิ่งมีชีวิตลึกลับและนั่นหมายความว่ามันจะมีความได้เปรียบในด้านพลังมากกว่า ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีบางคราที่ลั่วเฟิงต่อกรกับอีกฝ่ายไม่ได้และทำได้เพียงพยายามหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่าย

พลังของเขตแดนเป็นสิ่งที่ลึกลับอย่างมากเช่นกัน ผู้ที่มีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันจะสามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่ออยู่ในเขตแดนของตน

หากการต่อสู้เกิดขึ้นในเมืองจันทรา สิ่งมีชีวิตลึกลับก็อาจจะมิใช่คู่มือของลั่วเฟิง ทว่าในภูเขาจันทราแห่งนี้ เรียกได้ว่ามันเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทาน

“พอแค่นี้ !”

หลังจากเวลาผ่านไปอีกสองก้านธูป ในที่สุดลั่วเฟิงก็กล่าวออกไปและหยุดการเคลื่อนไหวของตน

“เหอะ ข้าไปล่ะ หากคนจากสามสำนักและเก้านิกายคิดจะจัดการกับข้าก็เชิญพวกเขามาได้เลย ข้าจะเฝ้ารออยู่ที่นี่”

หลังจากกล่าวทิ้งท้าย สิ่งมีชีวิตลึกลับก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน

“เป็นอย่างไรบ้าง ? เจ้าเห็นการต่อสู้เมื่อครู่นี้อย่างชัดเจนดีหรือไม่ ?”

พลังของลั่วเฟิงลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดขณะเดินกลับมาหาฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยเสียงเบา

“สิ่งที่มันพึ่งพาอาศัยอยู่เป็นพลังมายาที่แปลกประหลาดบางอย่าง ตราบใดที่หาวิธีรับมือกับพลังมายานั้นได้ การเอาชนะมันก็ไม่ยากจนเกินไป คนของสามสำนักและเก้านิกายคงจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่กี่วัน ข้าคิดว่าเราทุกคนน่าจะคิดหาทางรับมือกับพลังของมันได้ หากไม่มีวิธีรับมือที่สมบูรณ์ เราก็ไม่ควรรีบร้อนขึ้นมาบนภูเขาจันทรา อีกอย่าง…เว้นแต่จะสัมผัสถึงพลังของข้า โดยปกติแล้วมันจะไม่ปรากฏตัวออกมาในตอนกลางวันและไม่มีทางที่จะระบุตำแหน่งของมันได้เลย ความแข็งแกร่งของมันในช่วงกลางวันจะอ่อนแอกว่าในช่วงกลางคืน หากเราจัดการกับมันในช่วงกลางวัน โอกาสที่จะเอาชนะมันก็จะมีมากยิ่งขึ้น”

ลั่วเฟิงกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างจริงจัง เขาไม่ทราบว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับอาศัยอยู่ที่ใด โดยปกติแล้วมันจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขาเท่านั้นและเก็บตัวอยู่ที่ในรังของตนเองอยู่ตลอดเวลา ลั่วเฟิงเคยพยายามตามหาทั่วภูเขาจันทราแล้วทว่าไม่เคยพบรังของมันมาก่อน

หากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตามหารังของมันได้และจัดการกับมันในช่วงกลางวัน โอกาสคว้าชัยชนะของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะชี้แจ้งทุกคนจากสามสำนักและเก้านิกายให้ทราบตรงกัน”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยืนยันความเข้าใจ

ทั้งสองใช้เวลาอยู่บนยอดเขาอีกพักใหญ่ก่อนเดินลงจากภูเขา

จากนั้นในช่วงเย็น ทั้งสองก็กลับมาถึงเมืองเล็กอีกครั้ง

ฉินอวี้โม่ขอตัวกลับไปที่โรงเตี๊ยมและลั่วเฟิงก็กลับไปยังเรือนของตนเช่นกันโดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าไม่ควรไปพบเขาหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนเก็บตัวสงบเสงี่ยมและไม่ต้องการเป็นที่สนใจมากนัก

ฉินอวี้โม่ก็รับปากแต่โดยดีและเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม

ทันทีที่กลับมาถึงโรงเตี๊ยม สิงโยวก็ปรี่เข้ามาหานางและบอกกับนางว่าฮวาหรงต้องการเรียกพบ

แม้ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด ฉินอวี้โม่ก็ทราบว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาจันทราอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ลังเลและเดินไปยังห้องพักของฮวาหรงโดยเร็ว