ตอนที่ 984 สำรวจภูเขาจันทราอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ลั่วเฟิงสามารถคาดเดาความคิดของฉินอวี้โม่ได้ แม้เขาจะไม่อธิบายสิ่งใด มันก็พิสูจน์ข้อสงสัยของนางได้อย่างชัดเจน

“ฮ่า ๆ ๆ แม่สาวน้อย ภูเขาจันทราในตอนกลางคืนต่างจากตอนกลางวันมากนัก พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ภูเขาจันทราเพื่อเก็บสมุนไพรสักหน่อย หากไม่ขัดข้อง เจ้าก็ไปด้วยกันกับข้าเถอะและจะได้ชมทิวทัศน์งดงามบนยอดเขาของภูเขาจันทรา”

ลั่วเฟิงหัวเราะเบา ๆ และกล่าวออกมา

“นั่นถือว่าเป็นเกียรติสำหรับข้าน้อยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและตอบตกลงทันที การที่ลั่วเฟิงชวนนางขึ้นไปบนภูเขาจันทราก็คงเป็นเพราะต้องการที่จะบอกข้อมูลบางอย่างกับนาง แน่นอนว่านางไม่มีทางปฏิเสธได้

“ช่างสุภาพนอบน้อมยิ่งนัก เป็นสตรีรุ่นเยาว์ที่น่าชื่นชมมากทีเดียว ทว่าตอนนี้เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นผู้ที่มากับเจ้าอาจจะเป็นห่วงเอาได้”

แท้ที่จริงเขาก็ทราบว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้เดินทางมาที่นี่เพียงลำพัง

“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวกลับก่อนและจะกลับมาที่นี่ในเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวอำลาและลุกขึ้นเดินออกจากเรือนที่พักของลั่วเฟิง

ลั่วเฟิงไม่ออกไปส่งนางด้านนอกและเพียงโบกมือเบา ๆ ก่อนประตูลานกว้างจะปิดลงและเขาก็กลับเข้าไปในเรือนอีกครั้ง…

ภายในโรงเตี๊ยม เวลานี้พลังความแข็งแกร่งของฮวาหรงฟื้นฟูกลับคืนมาเล็กน้อยและนางได้กำชับฉินอวี้โม่มิให้ทำสิ่งใดบุ่มบ่ามอีกครั้งพร้อมตัดสินใจให้ทุกคนอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อฝึกวิชากันไปก่อน

ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่นางจะขึ้นไปบนภูเขาจันทราพร้อมกับลั่วเฟิงในวันพรุ่งนี้และกล่าวเพียงว่าจะออกไปเที่ยวชมรอบ ๆ เมืองโดยฝากฝังให้ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ช่วยดูแลฮวาหรง

เช้าตรู่วันต่อมา ทันทีที่ฟ้าสาง ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูเรือนของลั่วเฟิง

แทบจะทันทีที่นางมาถึง ประตูด้านหน้าก็เปิดออกอย่างช้า ๆ และลั่วเฟิงก็ก้าวออกมาพร้อมสะพายตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง

“ฮ่า ๆ ๆ เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดทีเดียว”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ยืนรออยู่แล้ว เขาก็คลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ เมื่อวานนี้เขาไม่ได้ระบุเวลานัดพบและจงใจลองเชิงฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม สตรีผู้นี้ชาญฉลาดยิ่งนักและเข้าใจความหมายของเขาได้อย่างง่ายดาย นางจึงมารออยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองล่าช้าแม้แต่น้อย

หากฉินอวี้โม่มาถึงที่นี่ช้าไปเพียงหนึ่งก้านธูป ลั่วเฟิงก็คงมุ่งหน้าออกไปโดยที่ไม่รอนางและนางทราบความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี

ทั้งสองไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความขณะออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง

ความเร็วของลั่วเฟิงรวดเร็วมากจนฉินอวี้โม่แทบตามไม่ทัน ในเวลานี้ก็มีผู้คนสัญจรไปมาเพียงไม่มากนักและไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นคนทั้งสอง

จังหวะการก้าวเท้าของลั่วเฟิงดูราวกำลังเหาะเหินเดินบนอากาศ ทว่าก็สามารถเห็นได้ว่าเท้าของเขานั้นเหยียบย่ำลงไปบนพื้นเช่นกัน แต่ละก้าวของเขาข้ามผ่านระยะทางที่ไกลพอสมควร

ฉินอวี้โม่เชื่อมาตลอดว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของตนไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดน ทว่าเมื่อเทียบกับลั่วเฟิงผู้นี้ นางตระหนักดีว่าตนยังด้อยกว่าเล็กน้อย เกรงว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของลั่วเฟิงจะเหนือชั้นกว่าฮวาฟางเฟยเสียอีก

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทั้งสองก็ปรากฏตัวที่เชิงเขาของภูเขาจันทรา

“ไม่เลว…ไม่เลวเลย”

ลั่วเฟิงรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ มิใช่เรื่องง่ายเลยที่สตรีจอมยุทธ์จะตามความเร็วของเขาได้ทันเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ไม่แสดงสีหน้าท่าทางเหน็ดเหนื่อยหรือตื่นตระหนกใด ๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าจิตใจของนางแกร่งกว่าที่เขาคาดไว้มาก

“นั่นเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสไม่ได้เร่งความเร็วเต็มที่ มิเช่นนั้นข้าก็คงตามไม่ทันแน่เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างถ่อมตนและไม่คิดว่าตนตามความเร็วของลั่วเฟิงได้จริง เห็นได้ชัดว่าลั่วเฟิงยับยั้งความเร็วของตนเองไว้ หากเขาแสดงความเร็วออกมาอย่างเต็มที่ นางไม่มีทางตามทันอย่างแน่นอน

“ขึ้นไปบนภูเขากันเถอะ !”

ลั่วเฟิงไม่คิดใช้พลังมายาในการเดินทางและเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาทีละก้าว

ฉินอวี้โม่ตามติดไปอย่างใกล้ชิดโดยไม่กล่าวสิ่งใด

“แม่สาวน้อย การปีนขึ้นภูเขาจันทราเช่นนี้ในทุก ๆ วันถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง เจ้ามีรากฐานที่ดีและการบ่มเพาะฝึกวิชาของเจ้าก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม ทว่าความแข็งแกร่งของเจ้าก็ยังน้อยเกินไป อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาไม่กี่ปี เชื่อว่าชายแก่อย่างข้าคงเทียบเจ้าไม่ได้เป็นแน่”

ในขณะที่ก้าวเดินและพูดคุยกัน ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงพื้นยกสูงกลางภูเขา

“ดูเหมือนว่าศพของจอมยุทธ์เหล่านั้นจะถูกพบที่นี่โดยที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ บนร่างกายและไม่อาจทราบถึงสาเหตุการตายที่ชัดเจนได้ ศิษย์พี่สองคนจากนิกายหมื่นบุปผาของเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน”

ลั่วเฟิงชี้ไปที่พื้นยกสูงและกล่าวขึ้นเบา ๆ

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะแสดงความเข้าใจก่อนกล่าว “สิ่งนี้มันเกิดขึ้นจากเงามืดหรือฝีมือของสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ซ่อนอยู่หรือเจ้าคะ ?”

ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าลั่วเฟิงจะต้องทราบข้อมูลบางอย่างเป็นแน่และครานี้เขาเชิญตนมาที่ภูเขาโดยที่มีจุดประสงค์อยู่

“เจ้าคิดว่าเงามืดนั่นมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นรึ ?”

ลั่วเฟิงตอบกลับด้วยคำถาม แม้เงามืดในม่านหมอกจะแข็งแกร่ง ทว่ามันก็ไม่มีความสามารถที่ทรงพลังถึงเพียงนั้น สำหรับสิ่งที่ทำให้จอมยุทธ์หลายคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนพบเป็นศพบนพื้นยกสูงอย่างไม่ทราบสาเหตุและทำให้ผู้คนมากมายหวาดกลัวนั้น นั่นมิใช่สิ่งที่เงามืดจะบรรลุได้

“ความแข็งแกร่งของผู้คุมกฎฝั่งขวาของเจ้ามิใช่ระดับที่เงามืดจะเอาชนะได้ ความแข็งแกร่งของบรรดาจอมยุทธ์ที่เดินทางมาที่ภูเขาจันทราก็ไม่ต่างจากนางมากนัก ในบรรดาคนที่ตายไปก็มีหลายคนที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับผู้คุมกฎฝั่งขวาของเจ้าเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของผู้ใดล่ะ ?”

ลั่วเฟิงก็หยุดลงบนพื้นยกสูงแห่งนี้เป็นการชั่วคราวก่อนมุ่งหน้าเดินขึ้นไปบนยอดเขาต่อไป

ฉินอวี้โม่ตามไปอย่างใกล้ชิดและมั่นใจแล้วว่าการตายประหลาดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตลึกลับอย่างแน่นอน ทว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งมีชีวิตประเภทใดกัน ?

“ภูเขาจันทราในตอนกลางวันดูมีชีวิตชีวามากจริง ๆ”

นับตั้งแต่อยู่ที่เชิงเขาก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็พบเห็นจอมยุทธ์หลายคนเตรียมตัวเดินทางขึ้นมาบนภูเขาและคนเหล่านั้นล้วนมีรอยยิ้มกว้างประดับใบหน้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“เดิมทีภูเขาจันทราเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกวิชา ทว่าน่าเสียดายที่เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากหายตัวไปในช่วงที่ผ่านมา ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าภูเขาจันทราคงต้องกลายเป็นภูเขารกร้างเป็นแน่”

ลั่วเฟิงกล่าวพลางถอนหายใจยาวขณะเดินขึ้นบนยอดเขาต่อไป

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นและเริ่มสับสนในความหมายของลั่วเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ

เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของบุรุษชราผู้นี้เหนือธรรมชาติมาก ทว่าเขาก็ยังเอาชนะสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นไม่ได้ ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของนางและจอมยุทธ์คนอื่น ๆ เกรงว่าคงจะมิใช่คู่มือแม้แต่น้อย…

ทั้งสองเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบ ๆ และในที่สุดก็มาถึงบนยอดเขาของภูเขาจันทรา

ยอดเขาแห่งนี้เป็นพื้นที่ราบเรียบและไม่มีอสูรมายาใด ๆ ปรากฏอยู่ ส่งผลให้บรรยากาศเงียบสงบยิ่งนัก

ลั่วเฟิงก็เดินไปรอบ ๆ บริเวณยอดเขาขณะเก็บสมุนไพรจำนวนหนึ่งที่พบเจอซึ่งไม่ถือว่ามีระดับที่สูงนักและทิ้งตัวนั่งลง

ฉินอวี้โม่จึงนั่งลงถัดจากเขาและเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ นางเชื่อว่าในเมื่อลั่วเฟิงชวนตนมาที่นี่ เขาจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างและมิใช่มาเพียงเพื่อเก็บสมุนไพรอย่างแน่นอน

“เจ้าคิดว่าสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เงียบสงบเกินไปหรือไม่ ?”

ลั่วเฟิงยิ้มให้กับฉินอวี้โม่และเอ่ยถาม ในช่วงที่ผ่านมานี้ อสูรมายาทั่วบริเวณนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็น ทว่าภูเขาจันทราในอดีตกลับเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยอสูรมายาระดับสูงจำนวนมาก มันจึงเป็นสถานที่โปรดปรานของบรรดาผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูง

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและคิดว่ามันเงียบสงบเกินไปจริง ๆ อสูรมายามากมายบนภูเขาจันทราหายไปที่ใดกัน ?

“เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้านั่นปรากฏตัว บอกตามตรง…ข้าเองก็ทำอะไรมันไม่ได้ ข้าพาเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้เห็นถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวของสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นก่อน สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เจ้าไม่ต้องตกใจและเพียงรับชมมันอย่างเงียบ ๆ ก็พอ”

ลั่วเฟิงกล่าวบอกจุดประสงค์ของการพาฉินอวี้โม่มาบนยอดเขาของภูเขาจันทราในครานี้

ในความจริงคือสิ่งมีชีวิตลึกลับจะปรากฏตัวในตอนกลางวันเช่นกันและลั่วเฟิงก็เคยต่อสู้กับมันมาก่อน

หลังจากเฝ้ารอเวลาพักใหญ่จนถึงประมาณเที่ยงวัน จู่ ๆ ลั่วเฟิงก็ลุกพรวดขึ้นมา

“มาแล้วรึ !”

เขากล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงของเขาก็เจือไปด้วยความหวาดหวั่นเช่นกัน