ตอนที่ 983 จอมยุทธ์ลั่วเฟิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่นั่งลงในมุมหนึ่งและฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อพยายามหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์

บรรดาจอมยุทธ์เหล่านั้นก็ไม่สนใจสิ่งใดรอบตัวแม้แต่น้อยขณะพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก

“บนภูเขาจันทรามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวใดกันที่ทำให้ผู้คนล้มตายได้มากเพียงนี้…”

จอมยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ หลังจากการคำนวณเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ เขาก็พบว่ามีจอมยุทธ์มากกว่าสิบคนที่ได้หายตัวไปบนภูเขาจันทราโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ส่วนผู้ที่ถูกพบเป็นศพก็ล้วนปรากฏอยู่ที่พื้นยกสูงบนภูเขา ซึ่งนั่นก็รวมถึงเหลียนซวงและเหลียนอู้เช่นกัน

“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่กล้าขึ้นไปบนภูเขาจันทราในตอนกลางคืน มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปและข้าก็ไม่อยากหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

บุรุษอีกคนยักไหล่ขึ้นมาและแสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นอย่างชัดเจน ภูเขาจันทราในยามค่ำคืนแปลกพิลึกอย่างแท้จริงและทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมาก

“ข้าได้ยินมาจากยอดฝีมือท่านหนึ่งว่าในตอนกลางคืนบนยอดเขาของภูเขาจันทราจะมีหมอกหนาที่ปกคลุมรอบตัวและมีสิ่งมีชีวิตลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ในหมอกนั้น การหายตัวไปและการตายของจอมยุทธ์หลายคนก็เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น”

จอมยุทธ์ที่ยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกกล่าวอย่างระมัดระวังมากขึ้นพร้อมชำเลืองมองซ้ายมองขวาและลดระดับเสียงลงเล็กน้อยราวกับกังวลว่าจะถูกค้นพบโดย ‘บางอย่าง’

“ยอดฝีมือผู้ใดกันหรือที่ท่านบอกว่าทราบเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏบนยอดเขาในตอนกลางคืน ?”

ฉินอวี้โม่ขยับเข้าไปใกล้และอดเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้

หากมิใช่เพราะนางและฮวาหรงขึ้นไปสำรวจบนภูเขาจันทราด้วยตัวเอง นางก็คงไม่มีทางทราบเลยว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏอยู่ที่ยอดเขาแห่งนั้นในยามค่ำคืน

ทว่า ‘ยอดฝีมือผู้นั้น’ กลับบอกได้ว่ามีหมอกหนาบนยอดเขาและมีสิ่งมีชีวิตลึกลับในหมอกเหล่านั้น หรือว่าเขาจะเคยขึ้นไปบนภูเขาจันทราในตอนกลางคืนเช่นกัน ?

“เขาคือจอมยุทธ์ลั่วเฟิงแห่งเมืองจันทราของเรา”

บุรุษผู้นั้นตอบกลับโดยอัตโนมัติก่อนเรียกสติกลับคืนมาและหันมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาประหลาดใจ

พวกเขาไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้ปรากฏอยู่ในเมืองจันทราตั้งแต่เมื่อใด

ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกหรือลักษณะท่าทาง สตรีนางนี้ก็งดงามเพียบพร้อมจนสตรีทุกคนที่พวกเขาเคยพบเทียบไม่ติดฝุ่น อีกทั้งความแข็งแกร่งของนางก็ยากเกินหยั่งถึงเช่นกัน

“ท่านจอมยุทธ์เป็นใครมาจากที่ใดหรือ ?”

หลังจากเรียกสติกลับคืนมา เขาก็เอ่ยถามเพื่อยืนยันสถานะของฉินอวี้โม่

“ข้าคือฉินอวี้โม่ เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา ศิษย์พี่สองคนของข้ามาที่เมืองนี้เมื่อหลายวันก่อนและตายไปบนภูเขาจันทราอย่างปริศนา ทุกท่านคงจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ครานี้พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อสืบหาสาเหตุการตายของทั้งสอง หากข้ารบกวนเกินไปก็ขออภัยทุกท่านด้วย”

ฉินอวี้โม่ประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันและกล่าวแนะนำตัวพร้อมบอกจุดประสงค์ของตนอย่างชัดเจน

“ที่แท้ก็เป็นสมาชิกของนิกายหมื่นบุปผานี่เอง”

จอมยุทธ์เหล่านั้นพยักศีรษะด้วยความเข้าใจ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนจริง ในเมื่อกล่าวว่าเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา การที่ฉินอวี้โม่จะมีรูปลักษณ์โดดเด่นและมากพรสวรรค์เช่นนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก

“หากท่านจอมยุทธ์อยากทราบเกี่ยวกับสถานการณ์บนภูเขาจันทราเพิ่มเติม ท่านก็ควรไปสอบถามจากท่านจอมยุทธ์ลั่วเฟิงดู ไม่มีใครในเมืองนี้ที่จะคุ้นเคยกับภูเขาจันทรามากไปกว่าเขาอีกแล้วและท่านอาจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กลับมา”

ท่าทางเป็นมิตรของฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นประทับใจตั้งแต่แรกเห็นและยินดีช่วยเหลือนางในระดับหนึ่ง

ในพื้นที่รอบ ๆ บริเวณภูเขาจันทรา ผู้ที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของภูเขาจันทรามากที่สุดก็คือลั่วเฟิง หากเขาไม่ทราบและไม่อาจให้คำตอบกับฉินอวี้โม่ได้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดที่จะให้คำตอบได้อีก

บางทีเขาอาจจะทราบถึงปริศนาความลับบนยอดเขาของภูเขาจันทรา ทว่าเขาจะบอกกับฉินอวี้โม่หรือไม่นั้นก็ยังยากที่จะยืนยันได้ในตอนนี้…

“ขอบคุณทุกท่านที่บอกข้า ไม่ทราบว่าข้าจะพบท่านจอมยุทธ์ลั่วเฟิงได้จากที่ใดรึ ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณและเอ่ยถามว่าจอมยุทธ์ลั่วเฟิงที่พวกเขากล่าวถึงนั้นอยู่ที่ใด

“ท่านจอมยุทธ์ลั่วเฟิงพักอยู่ที่เรือนหลังเล็กทางตะวันออกของเมือง ที่นั่นมีต้นหลิวขาวขนาดใหญ่ที่เติบโตอยู่ในลานซึ่งมองหาได้ไม่ยาก”

เขาอธิบายกับฉินอวี้โม่ทันทีว่าจะไปหาลั่วเฟิงได้ที่ใดและไม่ลืมที่จะกล่าวถึงจุดเด่นของสถานที่แห่งนั้น

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณคนเหล่านั้นและออกจากสมาคมทหารรับจ้างเพื่อมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของเมืองทันที

เป็นจริงดังที่จอมยุทธ์ผู้นั้นกล่าวไว้ มีเรือนหลังหนึ่งปรากฏอยู่ในทิศตะวันออกของเมืองจันทราโดยมีต้นหลิวขาวสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในลานด้านนอก ต้นไม้ดังกล่าวมีความสูงเป็นอย่างมากและมีอายุอย่างน้อยห้าถึงหกร้อยปี เกรงว่ามันน่าจะมีจิตวิญญาณเป็นของมันเอง

ประตูด้านหน้าของลานก็ถูกเปิดไว้และเวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่ที่ลานด้านนอก

ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปและเคาะประตูข้างนอกหลายครั้งทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดกลับมา

อย่างไรก็ตาม นางสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่ามีใครคนหนึ่งที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็เดินเข้าไปในลานบ้านและนั่งลงใต้ต้นหลิวขาวเพื่อรอเฝ้าอย่างเงียบ ๆ

เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามและใกล้ถึงช่วงค่ำ ประตูเรือนก็เปิดออกและใครคนหนึ่งก้าวออกมา

“เป็นสตรีวัยเยาว์ที่มีความอดทนมากทีเดียว”

เขาคือบุรุษชราที่ดูมีอายุประมาณหกสิบปีซึ่งมีเคราสีขาวหนาปกคลุมทั่วทั้งใบหน้าและเผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่นั้นที่ดูราวกับมองเห็นปริศนาทุกอย่างของโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“คารวะท่านจอมยุทธ์ลั่วเฟิงเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพด้วยท่าทางนอบน้อม

นางไม่อาจสัมผัสถึงระดับพลังของลั่วเฟิงได้อย่างชัดเจนและนั่นมีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น ประการแรกคือเขาเป็นคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลังและอีกประการคือเขามีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นกว่านางมากเกินไปจนมิอาจหยั่งถึงได้ เมื่อพิจารณาจากการที่เขาสามารถเข้า-ออกภูเขาจันทราโดยที่ไม่ได้เสียชีวิตไป ฉินอวี้โม่ก็คาดว่าจะต้องเป็นประการหลังอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายจากร่างของลั่วเฟิงก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าที่สั่นคลอนทั่วทั้งยุทธภพได้ซึ่งถือว่าเหนือธรรมชาติอย่างมาก

“แม่สาวน้อย การที่มาพบชายแก่อย่างข้าถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรรึ ?”

ลั่วเฟิงโบกมือเล็กน้อยเพื่อมิให้ฉินอวี้โม่สุภาพจนเกินไปและกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายที่ดูล้ำลึกอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าสตรีตรงหน้าเขากุมโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ไว้ นอกเหนือจากมิติที่สองก็ยังมีอสูรคู่กายที่ทรงพลัง อีกทั้งร่างกายของนางก็อัดแน่นไปด้วยพลังที่บริสุทธิ์และมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปอย่างมากโข บรรดาอสูรมายาในคฤหาสน์ล่องหนของนางเพียงอย่างเดียวก็มิใช่ระดับที่จอมยุทธ์ทั่วไปจะใฝ่ฝันถึง

“ท่านผู้อาวุโส ข้าเป็นศิษย์จากนิกายหมื่นบุปผา ครานี้ข้ามาที่นี่เพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาจันทรา ข้าได้ยินมาว่าท่านทราบเรื่องราวเกี่ยวกับที่นั่นมากที่สุด ข้าจึงต้องขอรบกวนท่านสักหน่อยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาและนางรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกสิ่งใดต่อหน้าลั่วเฟิง ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าสายตาของเขาค้นพบสิ่งที่ผิดปกติในร่างกายของนางได้ ทว่าเขาก็ไม่เอ่ยถามสิ่งใด เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าลั่วเฟิงมิใช่จอมยุทธ์ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์จากนิกายหมื่นบุปผานี่เอง”

ลั่วเฟิงไม่มีท่าทีแปลกใจใด ๆ การที่สตรีแปลกหน้ามาพบเขาเช่นนี้ เขาก็ทราบได้ทันทีว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นบนภูเขาจันทราในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับผู้ที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ซึ่งมีความแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ที่มากพอก็คงจะมีเพียงศิษย์จากนิกายหมื่นบุปผาเท่านั้น

“เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ ?”

เขาผายมือเชิญฉินอวี้โม่นั่งลงก่อนรินน้ำชาให้กับนางและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อคืนนี้เจ้าคงจะขึ้นไปบนภูเขาจันทราแล้วสินะ เจ้าเองก็ควรจะทราบถึงสถานการณ์ข้างบนนั้นดี แท้ที่จริงแล้วข้าก็อาจจะบอกข้อมูลเจ้าได้ไม่มากนักหรอก ”

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว ลั่วเฟิงก็ยืนยันได้ว่าฉินอวี้โม่ขึ้นไปที่ภูเขาจันทราเมื่อคืนนี้ การที่สามารถกลับลงมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนพิสูจน์ให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางมีคฤหาสน์มิติ มันจึงมิใช่เรื่องแปลกนัก

“ท่านผู้อาวุโส เงามืดที่ปรากฏในหมอกหนานั่นใช่มนุษย์หรือไม่เจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่จิบน้ำชาเล็กน้อยและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกไป

เงามืดน่าสะพรึงกลัวในหมอกหนาทั้งทรงพลังและเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่จึงไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่ามันคือมนุษย์หรือไม่

“เจ้าคงจะคาดเดาได้แล้วว่ามันมิใช่”

ลั่วเฟิงไม่ตอบคำถามโดยตรงทว่ากล่าวออกมาเช่นนี้ซึ่งเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ได้ทันที เงามืดที่แปลกประหลาดนั่นมิใช่มนุษย์อย่างแท้จริง