ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 51 เหตุการณ์หน้าประตูทางเข้าภูเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หากสามารถบินไปได้ เฉินฉางเซิงย่อมไม่บอกให้หนานเค่อหยุดที่ริมฝั่งแม่น้ำนอกหมู่บ้าน แต่ให้นางบินตรงไปยังยอดเขาเลย

แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะเท่ากับเป็นการขาดความเคารพต่อยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเพราะผนึกที่วางไว้รอบยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

แม้ว่าเขาจะเป็นสังฆราช หากเขานำองค์หญิงเผ่ามารบุกขึ้นยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จะกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างแน่นอน

พวกเขาต้องเดินทางผ่านหมู่บ้านตรงตีนเขาก่อน หนานเค่อเข้าสู่สวนโจวอีกครั้งหนึ่ง

บ้านเรือนในหมู่บ้านปลูกอยู่ติดกันแน่นขนัด เขาสามารถมองเห็นชาวบ้านมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ไม่มีบ้านหลังใดที่อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม

แม่น้ำถงเจียงอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนต้าลู่ มีอากาศอบอุ่น แม้แต่ในช่วงกลางฤดูหนาวก็ไม่ให้ความรู้สึกหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย

เวลาเที่ยงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อน

ในยามที่เดินผ่านหมู่บ้าน พวกเขาไม่ได้พบเจอผู้คนมากมายนัก

มีร้านข้างทางเปิดอยู่ร้านหนึ่ง ถังซานสือลิ่วต้องการเข้าไปหาซื้อของที่ระลึกสักหน่อย ในขณะที่เจ๋อซิ่วต้องการที่จะซื้อเนื้อแห้งเตรียมเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน แต่ทั้งสองคนเห็นหน้าของเฉินฉางเซิงแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมา

เซียวจางไม่อาจที่จะบอกรายละเอียดได้มากนักตอนอยู่ในเมืองเฟิ่งหยาง เพราะเขาอันที่จริงแล้วไม่ได้เขาสู่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ กระนั้นก็ชัดเจนว่าเขารู้สึกได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น

เฉินฉางเซิงได้บทสรุปเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงเร่งรีบเป็นธรรมดา

เพราะเขากำลังรีบตอนที่เดินทางผ่านร้าน พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตภายในร้าน เถ้าแก่เนี้ยกำลังพูดอยู่กับคนอีกสองคน

“ข้าไม่ห่วงเรื่องเงินเล็กน้อย และข้าก็ไม่เก่งเรื่องการเล่นไพ่นกกระจอก แต่มันเป็นเวลานานแล้วที่เทพธิดามาเยือนครั้งล่าสุด ข้ากังวลว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับนาง”

“ถุย ต่อให้เคราของเจ้าโดดเผาไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นกับเทพธิดาได้”

“นี่ ข้าไม่ใช่คนที่จ่ายค่าสร้างห้องขึ้นจากอิฐให้เจ้าสามห้องหรอกหรือ แค่จะปกป้องนางจำเป็นต้องด่าข้าขนาดนี้เลยเหรอ”

“แต่ก็นะ เทพธิดาไปอยู่ที่ไหนกันแน่”

……

……

หลังจากเดินผ่านหมู่บ้านพวกเขาก็เข้าสู่ป่า ก็พลับเงียบสงบ พวกเขาไม่เห็นคนอื่นบนถนนเลย

พวกของเฉินฉางเซิงเริ่มเดินเร็วขึ้น เร็วจนคนทั่วไปเห็นเพียงแค่ภาพเลือนรางเท่านั้น

เมื่อพวกเขาเดินทางไปตามถนน ป่านั้นบดบังเรื่องที่เขาเดินทางสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาอยู่บนเทือกเขา

ผ่านไปสิบกว่าลี้ ก็มีประตูหินปรากฏขึ้นบนทางเดินภูเขา

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจคำที่เขียนไว้บนประตูหินและเดินตรงต่อไป

จากนั้นเขาก็หยุดลง

ประตูหินของสถานศึกษาหนานซีย่อมมีศิษย์เฝ้าเอาไว้ เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีสองคน

ศิษย์ทั้งสองไม่ได้มีสถานะสูงนักในสำนัก พวกเขาไม่มีโอกาสได้เดินทางไปไกลนัก ไม่เคยไปยังจิงตูเหมือนกับพวกศิษย์พี่ ดังนั้นย่อมไม่รู้จักหน้าค่าตาเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่ว

“หยุด! ผู้มาเป็นใคร”

เด็กสาวกำด้ามกระบี่และตะโกนใส่พวกเฉินฉางเซิง

ใบหน้าพวกนางเคร่งเครียดและดูเหมือนจะขาดประสบการณ์

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วมองตากัน พวกเขาตระหนักได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นที่นี่ ต่อให้นี่เป็นประตูที่อยู่ห่างไกลที่สุดของสำนักและมอบให้ศิษย์ทั่วไปมาคุ้มกัน สถานศึกษาหนานซีก็ย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักต่างๆ ในสังกัดหรือบุคคลที่อยากจะมาเยี่ยมชมสถานที่อันโด่งดังมาเยือน ดังนั้นสถานศึกษาหนานซีควรจัดวางศิษย์ที่มีประสบการณ์และใจเย็นมาเป็นคนเฝ้ายาม แล้วจะส่งเด็กสาวสองคนนี้มาได้อย่างไร

ถังซานสือลิ่วส่ายหน้าเล็กน้อย บอกเฉินฉางเซิงว่าพวกเขาไม่ควรเผยตัวในตอนนี้ เขาก้าวออกไปและกล่าว “เราเป็นศิษย์ของพรรคฉางเซิงเมืองฮั่นชิว เดินทางมายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพื่อชมดู”

เด็กสาวคนหนึ่งกล่าวอย่างเป็นกังวล “ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่จ้าจะเข้ามาได้ตามใจชอบเช่นนั้นหรือ”

คำพูดพวกนี้ทำให้พวกเฉินฉางเซิงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็น ‘ผู้มาเป็นใคร’ หรือคำถามเมื่อครู่ ล้วนฟังดูเหมือนว่าถูกลอกมาจากในหนังสือ ใช่สิ่งที่ศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีพูดกันตามปกติเสียที่ไหน

ถังซานสือลิ่วจ้องมองไปที่เด็กสาวและขมวดคิ้ว “สถานศึกษาหนานซีมีกฎเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

ทั้งพระราชวังหลีและยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ให้ความสำคัญกับการเผยแผ่เต๋าสู่สรรพชีวิตทั้งมวล พวกเขาไม่เคยปฏิเสธผู้ศรัทธาหรือเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร เพียงแค่ปิดกั้นพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญอย่างแท้จริงจำนวนหนึ่งเท่านั้น

ศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งสองคนกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

“บางทีการปิดสำนักทำให้การวางเวรยามเข้มงวดกว่าเดิม”

เฉินฉางเซิงกล่าวกับถังซานสือลิ่ว “เปิดเผยตัวตนเถอะ”

ได้ยินเช่นนี้ศิษย์ทั้งสองก็ได้สติกลับมาและตระหนักว่าที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นศิษย์ของพรรคฉางเซิงนั้นเป็นคำโกหก

พวกเขาก็กระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม ชักกระบี่ออกและถามเสียงสั่น “พวกเจ้าเป็นใคร”

ถังซานสือลิ่วตั้งใจว่าจะประกาศว่าตนเองเป็นใคร แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอาการประหม่าของพวกนางน่ารักทีเดียว เขาก้าวเดินไปต้องการจะหยอกเย้าพวกนางสักหน่อย

เด็กสาวทั้งสองรู้สึกกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม กระบี่ในมือเริ่มสั่น แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอย

เด็กสาวทั้งสองแทงกระบี่ใส่ถังซานสือลิ่วพร้อมกับส่งเสียงตะโกนเบาๆ ที่เห็นได้ว่ายังสั่นอยู่อย่างชัดเจน

ก่อนพวกเขาจะโจมตี เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวทั้งสองกระวนกระวายอย่างมาก ถึงกับหวาดกลัวด้วยซ้ำ

แต่เมื่อพวกนางใช้วิชากระบี่ออกมา ความกระวนกระวายและหวาดกลัวก็หายไป เพราะพวกเขาคือศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีและใช้เพลงกระบี่ของสถานศึกษาหนานซี

ประกายกระบี่ที่กระจ่างใสงดงามส่องต้องประตูหินและร่วงลงใส่ถังซานสือลิ่ว

เห็นภาพนี้เจ๋อซิ่วก็รู้สึกนับถือ มีแต่ฝึกซ้อมจากเช้าจรดค่ำเท่านั้นจึงจะสามารถใช้กระบี่เพื่อสงบใจตนเองได้

ครั้นเห็นภาพนี้ฮู่ซานสือเอ้อร์ก็รู้สึกหวาดหวั่น คิดในใจ ขนาดศิษย์ที่ธรรมดาที่สุดของสถานศึกษาหนานซีก็ยังมีเพลงกระบี่ที่หมดจดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสหายในแดนใต้ของเราไม่อาจดูถูกได้

เห็นภาพนี้เฉินฉางเซิงก็รู้สึกสงสัยคิดในใจ นี่เพลงกระบี่ใดกัน มันถึงได้ดูคุ้นเคยและยังดูเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้

ถังซานสือลิ่วมองไปที่ประกายกระบี่ที่พุ่งลงมาหาเขา อย่าว่าแต่กลัวเลย เขาไม่มีความคิดจะสู้ด้วยซ้ำ

ใช่แล้ว ศิษย์ทั้งสองมีเพลงกระบี่ที่หมดจดจริงๆ แต่การบำเพ็ญเพียรของพวกนางยังธรรมดาเกินไป พวกนางยังไม่เข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีด้วยซ้ำ แล้วจะสู้กับเขาได้อย่างไร

เขาหัวเราะและก้าวออกไป ตั้งใจจะทำลายการโจมตีด้วยการโบกมือ ซึ่งจะแสดงความสง่างามของเขาให้เด็กสาวทั้งสองได้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ชั่วขณะต่อมา เสียงหัวเราะของเขาก็เปลี่ยนเป็นการอุทานอย่างตกตะลึง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างรวดเร็ว “โว้ย!”

ประกายกระบี่ถอยห่างออกไปและศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งสองก็ถอยไปอยู่หลังประตูหิน หน้าอกกระเพื่อมเล็กน้อย ใบหน้าก็กระวนกระวายยิ่งขึ้น

ถังซานสือลิ่วไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าแขนเสื้อข้างหนึ่งขาด ดูน่าขันทีเดียวแต่เขาไม่ได้หัวเราะ

หากนี่เป็นการต่อสู้จริง เขาย่อมไม่เป็นฝ่ายแพ้ แต่ในแง่ของการประลองกระบี่ เขาเป็นฝ่ายแพ้ในครั้งนี้

เด็กสาวทั้งสองมีการบำเพ็ญเพียรธรรมดาสามัญ ดังนั้นไม่ว่าเพลงกระบี่ของพวกนางจะหมดจดเพียงใด มันก็ยังไม่อาจที่จะเอาชนะเขาได้

ปัญหาก็คือเพลงกระบี่ที่ศิษย์ทั้งสองใช้เหมือนจะเชื่อมโยงกันอยู่บ้าง หากพวกนางใช้ออกพร้อมกัน ก็จะเริ่มประสานงานกันอย่างเป็นธรรมชาติ พลังของมันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน เพลงกระบี่เปลี่ยนจากหมดจดงดงามกลายเป็นมองทะลุทางถอยของถังซานสือลิ่วออกหมดได้อย่างน่าประหลาด

เฉินฉางเซิงได้เรียนรู้เพลงกระบี่รอบรู้มาจากซูหลี จึงสามารถมองหาช่องว่างในเพลงกระบี่นี้ได้แค่สามจุด ด้วยความหมดจดของมัน เพลงกระบี่ของเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซีทั้งสองนี้สามารถใช้ล้มยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวที่เขาเคยพบเจอในดินแดนรกร้างตอนนั้นได้เลย

เพลงกระบี่ใดกันจึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้