ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 52 ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในชั้นเมฆ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“มันน่าจะเป็นเพลงกระบี่ประสานรวม” ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าว

ชื่อนี้ทำให้เฉินฉางเซิงนึกถึงเพลงกระบี่ในตำนานขึ้นมา

ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีมีชื่อเสียงที่สุดของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้วแม้แต่โจวตู๋ฟู ยอดฝีมืออันล้ำเลิศใต้ท้องฟ้าพร่างดาวก็ยังถูกค่ายกลกระบี่นี้ถ่วงเวลาเอาไว้ตอนที่เขาบุกขึ้นยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ค่ายกลกระบี่คือสาเหตุที่ศิษย์สถานศึกษาหนานซีหลายสิบคนทิ้งไว้ให้เฉินฉางเซิงสามารถข่มขวัญยอดฝีมือได้มากมาย

รากฐานของค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีก็คือเพลงกระบี่ประสานรวม

เพลงกระบี่ชั้นสูงที่หมดจดนี้ต้องใช้คนสองคนในการออกกระบวนท่า ใช้การออกกระบี่และความเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้ทั้งคู่แสดงอานุภาพออกมา หากฝึกสำเร็จศิษย์สถานศึกษาหนานซีสองคนสามารถใช้กระบี่ประสานรวมต้านรับคู่ต่อสู้สี่คนในระดับเดียวกันได้ ในขณะที่ศิษย์สามคนสามารถสู้ศัตรูได้ถึงเก้าคน เพิ่มขึ้นเช่นนี้ต่อไปยิ่งมีศิษย์สถานศึกษาหนานซีใช้กระบี่ประสานรวมมากขึ้นเท่าไร พลังที่แสดงออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น รูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุดของค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั้นว่ากันว่าก่อขึ้นจากศิษย์สามร้อยกว่าคน คงจินตนาการได้ว่ามันจะแข็งแกร่งเพียงไหน ต่อให้ยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ยินดีจะเผชิญหน้ากับมัน

ไม่สงสัยเลยที่เซียวจางบอกว่าค่ายกลกระบี่ของเด็กสาวเหล่านี้เป็นปัญหาอยู่บ้าง

แต่เฉินฉางเซิงยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เพลงกระบี่ที่ศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งสองใช้ไม่ใช่เพลงกระบี่ประสานรวมที่เขาเคยได้อ่านมา มันดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ปัญหาก็คือ ใครกันที่สามารถปรับปรุงเพลงกระบี่ที่หมดจดสมบูรณ์อย่างเพลงกระบี่ประสานรวมได้ แม้แต่ซูหลีก็ไม่อาจทำได้

……

……

ถังซานสือลิ่วได้ยินคำพูดของฮู่ซานสือเอ้อร์ รู้อยู่แล้วว่าที่เขารับมือด้วยเป็นเพลงกระบี่ประสานรวมของสถานศึกษาหนานซี

แต่เขาไม่ได้สนใจมากนัก แขนเสื้อเขาขาดทำให้เขาดูน่าเกลียดอย่างมาก ตามองไปยังเด็กสาวทั้งสองแล้วตะโกน “พวกเจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ!”

เจ๋อซิ่วหันหน้าไปไม่อยากจะมองดูเขา

เฉินฉางเซิงตอบ “นั่นเป็นปัญหาของเจ้าเอง ไปขู่พวกนางเช่นนั้นทำไม”

ถังซานสือลิ่วย้อนอย่างโมโห “เจ้ายังไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ แล้วจะมาปกป้องคนของภรรยาล่วงหน้าทำไม”

เด็กสาวทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้พูดอะไรกัน

ถังซานสือลิ่วยิ้มและยกกระบี่เวิ่นสุ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าว “ชี้แนะด้วย”

เขาย่อมไม่ได้โมโหจริงๆ แค่อยากแสดงความน่าเคารพให้ศิษย์สถานศึกษาหนานซีทั้งสองดู

เด็กสาวทั้งสองสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในยามที่ยกกระบี่ในมือขึ้น

ประกายกระบี่ฉายขึ้นอีกครั้งบนเส้นทางภูเขา ต้นไม้รอบประตูหินถูกลมรุนแรงพัดจนเกิดรอยบนลำต้นรอยแล้วรอยเล่า

เสียงแตกร้าวดังขึ้นสองครั้ง จากนั้นเด็กสาวทั้งสองก็ถูกบีบให้ถอยกลับไปหลังประตูหิน ใบหน้าซีดขาวกระบี่ในมือเหลือเพียงแค่ครึ่งเล่มเท่านั้น

“ออมมือแล้ว” ถังซานสือลิ่วผูกกระบี่ไว้ที่เอว นับจากเริ่มจนจบ กระบี่เวิ่นสุ่ยไม่เคยออกจากฝักเลย

เด็กสาวทั้งสองเห็นภาพนี้ก็รู้ได้ถึงความแตกต่างในความแข็งแกร่งได้ในที่สุด พวกนางอดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้ และยังรู้สึกอับอายอย่างล้ำลึก

สถานศึกษาหนานซีเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ศรัทธาเต๋า ไม่ว่าในหมู่บ้านหรือตามสำนักต่างๆ พวกนางต่างได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพธิดา ไม่มีใครเคยข่มขู่พวกนางอย่างไม่มีความเคารพเช่นนี้

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนที่พวกนางเฝ้ายามที่ประตูทางเข้าภูเขา พวกนางได้พบเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรหรือนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการจะขึ้นเขามาบ้าง พวกนางแค่พูดไม่กี่คำก็ทำให้คนพวกนั้นถอยไปได้แล้ว ไม่มีใครกล้าที่จะบุกรุกขึ้นเขา

แม้ว่าศิษย์สถานศึกษาหนานซีไม่อาจสู้ไหว พวกนางก็ไม่ยอมให้ผู้บุกรุกเข้าสู่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้

พวกนางนำของออกมาจากแขนเสื้อ น่าจะเป็นของวิเศษที่พวกนางตั้งใจใช้แจ้งเตือนคนบนเขา

ตอนนั้นเอง มือหนากว้างสองข้างก็วางลงบนไหล่ของพวกนาง สะกดเส้นลมปราณที่สำคัญที่สุดเอาไว้

ฮู่ซานสือเอ้อร์ได้ผ่านประตูหินเงียบๆ และโผล่มาด้านหลังของศิษย์ทั้งสอง

เขายิ้มพลางส่ายหน้า บ่งบอกว่าพวกนางไม่ควรขัดขืน

สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นดูน่ากลัวและเป็นอันตรายในสายตาของเด็กสาวทั้งสอง

สัมผัสได้ถึงฝ่ามือของชายคนนั้นบนไหล่ คิดว่าแค่เขาใช้ปราณแท้เพียงเล็กน้อยก็ทำลายเส้นลมปราณของพวกนางได้ คิดว่าคนผู้นี้สามารถบุกผ่านประตูหินเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เด็กสาวทั้งสองก็รู้สึกเป็นกังวล โมโหและหวาดกลัว ทันใดนั้นก็เริ่มร้องไห้

“ข้าบอกว่าเราไม่ควรลอกคำพูดมาจากหนักสือพวกนั้น ต้องมีบางอย่างผิดอย่างแน่นอน”

“ศิษย์พี่ยุ่งเรื่องงานในสำนักอยู่ทุกวัน พวกนางไม่สนใจไยดีพวกเรา แล้วข้าจะรู้วิธีคุ้มกันประตูทางเข้าภูเขาได้อย่างไร”

เด็กสาวทั้งสองสะอื้นไห้ไปพูดกันไป ใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาอยู่เป็นระยะๆ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของพวกนางดูน่าสงสารอย่างที่สุด

ถังซานสือลิ่วส่ายหน้าดิกและคิดในใจ เกิดอะไรขึ้นในสำนักถึงได้ให้เด็กสาวไร้ประสบการณ์สองคนมาเฝ้าประตู

ไม่ว่าเสียงร้องไห้ของเด็กสาวจะน่าสงสารเพียงใด ฮู่ซานสือเอ้อร์ก็สีหน้าไม่เปลี่ยน เขายังคงรักษารอยยิ้มจางเอาไว้และมองไปที่เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายและกล่าว “ข้าจะไปดูก่อน”

เจ๋อซิ่วกล่าว “ข้าจะซ่อนอยู่ในเงา”

กล่าวแล้วเขาก็หายตัวไปในป่า ดวงอาทิตย์ร้อนแรงทำให้เกิดเงาใบไม้นับไม่ถ้วน หนึ่งในเงานั้นก็คือเขา

……

……

หลังจากเดินผ่านประตูหินของสถานศึกษาหนานซี เฉินฉางเซิงก็ยังต้องเจอกับเส้นทางภูเขานับไม่ถ้วน

ไม่เหมาะสมที่หนานเค่อจะปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ เฉินฉางเซิงจึงเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาอยู่เป็นระยะๆ ปรากฏกายขึ้นด้านหนึ่งของเส้นทางจากนั้นก็แวบไปอีกด้านหนึ่ง เขาพุ่งผ่านเส้นทางไปราวกับสายลม มีแต่ตอนที่ถนนหักเลี้ยวเท่านั้นจึงจะเห็นภาพติดตาพร่าเลือนไว้บนพื้นผิวของไผ่เขียว

ภูเขาที่คดโค้งเป็นภาพอันงดงามสบายตาแต่เขาไม่มีใจจะมาชื่นชม เขาปล่อยให้ลมโหยหวนพัดใส่ ลืมตากว้างจ้องมองเส้นทางเบื้องหน้า มองหาความเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยที่สุด ดวงจิตก็เคลื่อนไปราวกับสายลมเช่นกัน สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวตรงหน้า แต่เป้าหมายหลักเพื่อระบุค่ายกลเหล่านั้น

ในจดหมายของสวีโหย่วหรงไม่ได้บอกรายละเอียดของสถานศึกษาหนานซีอย่างละเอียดมากนัก แต่นางเคยพูดถึงค่ายกลและผนึกบนทางเดินภูเขา

ดังที่คาดไว้ ผ่านป่าไผ่ไปสิบกว่าลี้เฉินฉางเซิงก็พบกับค่ายกลชั้นยอดมากมาย แม้แต่ด้วยระดับความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ต่อให้เขาใช้กระบี่ทั้งหมดออกมาพร้อมกัน ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยในการทำลายค่ายกลพวกนี้

โชคยังดีสวีโหย่วหรงพูดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง ทั้งตอนที่สนทนากันในวัดที่ปกคลุมด้วยหิมะของสวนโจวและในสุสานเทียนซู ดังนั้นเขาจึงพอเข้าใจค่ายกลพวกนี้อยู่บ้าง เขาเองก็เป็นสังฆราช แม้ว่านิกายหลวงฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้จะมีความแตกต่างกัน พวกเขาก็ยังมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถหาประตูเป็นของค่ายกลนี้ได้อย่างรวดเร็วและผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

ประตูเป็นของค่ายกลเหล่านี้มักจะอยู่ห่างจากทางเดินภูเขา อยู่บนลำธารหรือข้างก้อนหิน แต่ก็ชี้ไปยังทิศทางเดียวกัน เขาวิ่งไปยังหน้าผาต่อไป ด้านหลังหน้าผาเป็นเมฆที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสลายหายไป ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่ภายในเมฆเหล่านี้ แม้จะอยู่ใกล้ขนาดนี้เขาก็ยังไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้