ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 53 สองฝั่งของผนังหิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ยามที่เฉินฉางเซิงก็พุ่งไปยังหน้าผา ก็เห็นศิษย์สถานศึกษาหนานซีมากมาย กำลังวิ่งลงมาตามทางเดิน น่าจะแตกตื่นจากเหตุการณ์ที่ประตูหิน ในหมู่ศิษย์เหล่านั้น เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่บ้าง ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง เพราะนี่จะช่วยป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้

เขามาถึงหน้าผาอย่างรวดเร็ว ต้นสนโตไปตามแนวหน้าผาหินสีขาว มีน้ำตกสายเล็กๆ มากมายไหลลงมาจากหน้าผา ตรงหน้าของหน้าผาเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ มองเห็นสิ่งก่อสร้างงดงามมากมายระหว่างต้นไม้ น่าจะเป็นสถานศึกษาหนานซีในตำนาน หากเป็นการมาเยือนทั่วไป เขาย่อมใช้เวลาในการชื่นชม ทว่าเขาไม่มีอารมณ์จะมาชมในตอนนี้ หลังจากมองดูแล้วก็รีบขึ้นหน้าผาไป

ไม่มีทางเดินบนหน้าผา มีแต่ป่าไม้แน่นขนัดและหน้าผาชัน แม้แต่ลิงที่มีทักษะในการปีนป่ายก็ยังยากจะปีนป่ายหน้าผานี้ แต่มันไม่ได้ลำบากสำหรับเฉินฉางเซิง

ครั้นปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หน้าผาก็ค่อยๆ ชันขึ้น เมฆรอบกายก็หนาขึ้น ในที่สุดเขาก็ไม่อาจมองเห็นสถานศึกษาหนานซีด้านล่างหรือท้องฟ้าเบื้องบน เขาได้แต่พึ่งพาความจำก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันยาก ในทางกลับกันเขากลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างคุ้นเคยทีเดียว

ในเมืองซีหนิงเขามักจะติดตามศิษย์พี่ไปยังภูเขาเดียวดายในส่วนลึกของเมฆเพื่อเก็บสมุนไพร ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมฆก็พลันบางลง ท้องฟ้าด้านบนก็สดใสขึ้นมาก

เฉินฉางเซิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

ลมเย็นและชื้นอยู่บ้างพัดผ่านต้นไม้และก้อนหินรูปร่างประหลาดบนเขาแล้วกระทบใบหน้าเขา

เมฆพลันสลายตัวไป เปิดให้เห็นทิวทัศน์กว้างใหญ่ตรงหน้า หากมองไปทางเหนือก็จะเห็นแม่น้ำถงเจียงที่เคี้ยวคดลดเลี้ยว

นี่คือปลายสุดของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

……

……

เฉินฉางเซิงย่อมรู้ว่านี่คือที่ซึ่งสวีโหย่วหรงใช้กักตน ทว่าเขาวนรอบยอดเขาสองรอบเห็นต้นไม้เก่าแก่หลายร้อยต้นที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เห็นก้อนหินริมหน้าผาที่นางเคยเอ่ยถึงในจดหมาย ถึงกับเห็นนกสีหยกน่ารักที่นางเคยพูดถึง แต่ก็ยังไม่เห็นถ้ำ

เขาไม่เห็นกระเรียนขาวเช่นกัน

แต่เขาสงบลงแล้ว หลังจากได้ยินสิ่งที่เซียวจางบอกในเมืองเฟิ่งหยาง เขาเป็นกังวลอย่างมาก แต่หลังจากเข้ามาความวิตกกังวลทั้งหมดก็หายไป ยอดเขาเป็นเหมือนที่นางบรรยายไว้ ไม่มีรายละเอียดใดที่ผิดไป ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้เช่นกัน

แต่เขารู้สึกสับสนและทำให้เขาต้องระแวดระวัง เพราะสวีโหย่วหรงน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะออกจากการกักตน ดังนั้นว่าตามเหตุผลแล้ว สถานศึกษาหนานซีน่าจะส่งศิษย์มาคอยรับใช้นางบนยอดเขาสักหน่อย หาไม่แล้วหากมีอะไรเกิดขึ้นในการบำเพ็ญเพียรของนางหรือนางต้องการความช่วยเหลือขึ้นมาจะทำอย่างไร

เขาเดินไปยังด้านเหนือของยอดเขา ที่นั่นมีต้นไม้โบราณอยู่สองสามต้น รวมถึงสระน้ำตื้นๆ บ่อหนึ่ง นี่เป็นที่ซึ่งเขารู้สึกว่าควรจะมีถ้ำ นอกจากตำแหน่ง ทิวทัศน์และสระน้ำ ข้อสรุปนี้ยังอ้างอิงจากการที่พบภาพสลักหินที่เก่าแก่ที่สุดอยู่มากมายในที่แห่งนี้

สามารถมองเห็นภาพสลักหินอยู่ทั่วหน้าผาของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ภาพสลักหินมากมายเหล่านี้ มีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ดูคุ้นตา

ภาพสลักหินที่คัดลอกมาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

สวีโหย่วหรงได้บอกเขาว่าภาพสลักหินพวกนี้เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรกคัดลอกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ตอนที่นางไปเยือนสุสานเทียนซูที่จิงตู

พวกมันต่างไปจากภาพคัดลอกที่ขายกันนอกโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ ภาพคัดลอกนี้บรรจุไว้ด้วยปัญญาขั้นสูงและดวงจิตที่หาใดเปรียบของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นแรก บรรจุไว้ด้วยความหมายที่แท้จริงของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ความเข้าใจในแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ของสถานศึกษาหนานซีไม่เคยด้อยกว่าพระราชวังหลี ในบางแง่มุมถึงกับสูงล้ำกว่าด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะภาพคัดลอกพวกนี้

เฉินฉางเซิงพบภาพคัดลอกแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ใช้นิ้วลูบสัมผัสได้ถึงความเย็นของหิน

ลวดลายและข้อความในสุสานเทียนซูย่อมเหมือนกัน มีแค่ความผิดเพี้ยนที่เล็กน้อยอย่างยิ่งเท่านั้น

ความแตกต่างนี้ไม่ใช่ความผิดพลาด หากแต่บ่งบอกถึงความเข้าใจในแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรก

เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น เฉินฉางเซิงมีความเข้าใจในแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มากกว่าถึงกับเทียบได้กับอัจฉริยะที่แท้จริง

นี่เป็นเพราะเขามีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ห้าแผ่นอยู่บนข้อมือ

แค่ลูบเบาๆ เขาก็รู้ได้ว่าหากเขาศึกษาภาพสลักหินบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ให้ละเอียด มันย่อมเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการบำเพ็ญเพียรของเขา

แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ก่อนอื่นเขาต้องหาถ้ำให้พบ

ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าหน้าใต้นิ้วของเขาสั่น

ปราณที่เลือนรางดูเหมือนเดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มีแผ่ออกมาจากเถาวัลย์แน่นขนัด

เขาตามปราณนั้นไปและดึงเถาวัลย์ออกไปด้านข้าง

ด้านหลังของเถาวัยยังคงเป็นหน้าผา ทั้งภาพและสัมผัสก็แข็งราวกับหิน ต่อให้ใช้ค้อนทุบมันก็ทำได้แค่แตกออกเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่าด้านหลังหน้าผานี้ไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นช่องว่าง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้ำบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านหลังมัน

ไม่ใช่เพราะเขาสามารถมองทะลุค่ายกลที่สร้างไว้บนหน้าผา ทว่าเป็นเพราะเถาวัลย์

เถาวัลย์พวกนี้ก็เป็นค่ายกลเช่นกัน แม้ว่าจะมีกำลังด้อยกว่าค่ายกลบนหน้าผา ก็สามารถบดบังสายตายอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้คล้ายคลึงกัน

เฉินฉางเซิงสามารถมองเถาวัลย์นี้ออกก็เพราะเขาจำได้

เถาวัลย์พวกนี้คือวังถง

วังถงเป็นค่ายกลที่เขาได้พบเจอกับตัวในวังหลวงที่จิงตู

วังถงสร้างขึ้นจากเถาวัลย์ อย่างไรก็ตามเขาเคยเห็นในสวนโจว

ที่สุสานโจวสวีโหย่วหรงได้เปลี่ยนธนูถงเป็นวังถง ใบไม้เขียวส่ายไหวกลางพายุรุนแรง แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบตาย วังถงก็ยังคงความทนทานเอาไว้

เมื่อเถาวัลย์นี้เป็นวังถง ธนูถง ธนูของนาง นางย่อมอยู่ภายในหน้าผานี้

เห็นได้ว่าธนูถงจดจำเขาได้จึงไม่โจมตีเขา ไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนออกไป แค่แผ่แสงอ่อนจางงดงามออกมา

เฉินฉางเซิงมองดูเถาวัลย์ในมือ นึกย้อนไปถึงภาพบนสะพานหน่ายเหอ ผ้าขาวตกลงมาดวงตาเขาจับจ้องไปบนใบหน้านาง

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยหิมะ ใบหน้านางงามราวภาพวาด เปี่ยมไปด้วยแสงอ่อนโยนและความงดงามสุดจะพรรณนา

เขาจ้องมองไปที่ผนังหินเย็นเยียบที่อยู่ตรงหน้า

นางอยู่อีกฝั่งของผนังหิน

เขาอยู่ฝั่งนี้ของผนังหิน

หากสายตาสามารถแผ่ความร้อนได้ ผนังที่เย็นเยียบคงเริ่มร้อนลวกขึ้นมาแล้ว

คงดีกว่าหากนี่เป็นประตูหิน เขาก็แค่ผลักเปิดมันออก บางทีอาจเคาะเบาๆ แล้วถาม ‘มีใครอยู่ไหม’

ไม่ ต่อให้นี่เป็นประตูหิน เขาก็ไม่อาจผลักเปิดมัน ไม่อาจที่จะเคาะเบาๆ

เขาทำได้แค่มองดูมันเงียบๆ เหมือนเช่นในตอนนี้