เฉินฉางเซิงกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่อีกฝั่งของผนังหิน นางอาจอยู่ในช่วงวิกฤติซึ่งการรบกวนเพียงเล็กน้อยอาจทำให้นางเกิดอันตรายร้ายแรงได้
ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงไม่อาจทำอะไร แต่เขาก็ไม่อาจจากไปเช่นกัน เขายืนอยู่ตรงหน้าผนังหินเงียบๆ เป็นเวลานาน
ในตอนแรกมันเป็นเพราะเขารู้สึกโหยหา มีอารมณ์อันซับซ้อน ทว่าหลังจากนั้นเป็นเพราะเขามีความรู้สึกไม่ดี
ในแง่ของการคำนวณและอนุมาน มีกุนซือชุดดำของเผ่ามาร ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ที่จากไป ซางสิงโจวอาจารย์ของเขาและตามมาด้วยสวีโหย่วหรง
เฉินฉางเซิงไม่มีถาดดาวโชคชะตา ไม่เคยเรียนการคำนวณและอนุมาน แต่เขาได้เรียนเพลงกระบี่รอบรู้มาจากซูหลี
ในบางแง่มุม เพลงกระบี่รอบรู้ก็เป็นการคำนวณและอนุมานรูปแบบหนึ่ง
เขาเริ่มคิดย้อนกลับไปจนถึงจดหมายที่เขาได้รับที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
หลังจากนั้นก็เมืองฮั่นชิว เมืองเวิ่นสุ่ยแล้วก็เมืองเฟิ่งหยาง
เกิดอะไรขึ้นที่สถานศึกษาหนานซี ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ยังคงสงบสุข ดังเช่นที่นางบรรยายเอาไว้ในจดหมาย
ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เซียวจางก็ไม่สามารถเข้าสู่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ
เขารู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากนางยังกักตัวอยู่ภายในผนังหินต่อไปนางจะต้องเจอกับปัญหา
เขาไม่อาจมองดูมันเกิดขึ้น เขาต้องรู้ให้ชัดเจนว่าปัญหาที่นางจะต้องพบมีที่มาจากไหน
ปัญหานั้นไม่ได้มาจากฝั่งนั้นของผนังหิน แต่มาจากฝั่งของเขา
เขาแค่ต้องหาปัญหานี้ให้พบและแก้ไขมันเพื่อกำจัดภัยที่อาจเกิดขึ้นกับสวีโหย่วหรง
แต่ปัญหาใดกันที่จะส่งผลกระทบต่อสวีโหย่วหรงที่อยู่อีกฝั่งของผนังได้
ไม่ว่าจะเป็นธนูถงที่เปลี่ยนไปเป็นเถาวัลย์หรือค่ายกลแข็งแกร่งบนผนังหิน ล้วนมีไว้เพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่ได้รับอันตรายจากสิ่งที่อยู่ภายนอก
เฉินฉางเซิงไปจากผนังหินและเดินไปที่ขอบของหน้าผา
แม่น้ำถงเจียงไหลไปตามที่ราบทางเหนือ เขามองจากมุมสูงจึงเห็นความคดเคี้ยวอย่างมากของมัน
ในแสงอาทิตย์อัสดง มันดูเหมือนกับด้ายสีทองที่ถูกเด็กสาวโยนลงบนโต๊ะอย่างมักง่ายหลังจากทำงานเย็บปักในตอนบ่าย
คำบรรยายแบบนี้ปรากฏขึ้นในจดหมายที่สวีโหย่วหรงเขียนถึงเขาเมื่อสองปีก่อน
หินสีเทาริมหน้าผาก็ถูกเขียนเอาไว้ในจดหมายของนางเช่นกัน นางชอบนั่งบนนั้นแล้วมองดูทิวทัศน์
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ที่ขอบหน้าผาและมองไปที่ภาพอันงดงามนั่น
เขาจำภาพอันงดงามนี้ได้ดี
……
……
ภาพทิวทัศน์นี้งดงามยิ่งนัก มิได้ชวนเบื่อแม้แต่น้อย กระนั้นเฉินฉางเซิงก็เพียงแค่มองอยู่ครู่เดียวก่อนจะละสายตาไป
เขานำเอาหนังสือที่ดูเก่าแก่โบราณออกมาและเริ่มอ่าน
ในตอนที่เขาสงบใจ เขาก็ยังไม่อาจหาปัญหาได้พบ ไม่มีแม้แต่เบาะแส ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเลิกหา เขาไม่ได้ยอมแพ้ แต่เข้าใจหลักการว่ายิ่งหมกมุ่นก็ยิ่งพลาดพลั้งได้ง่าย
เขาเริ่มนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน เริ่มจากเหตุการณ์ล่าสุดก่อน เขานึกไปถึงเด็กสาวสองคนจากสถานศึกษาหนานซีที่ได้พบกันตรงประตูทางเข้าภูเขา
เพลงกระบี่ประสานรวมของสถานศึกษาหนานซีที่พวกนางใช้สามารถที่จะเล่นงานถังซานสือลิ่วตอนไม่ทันตั้งตัวได้
ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าเพลงกระบี่ประสานรวมของพวกนางแตกต่างไปจากเพลงกระบี่ประสานรวมที่เขารู้จักเล็กน้อย ทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาเป็นกังวลหรือเปล่า
รากฐานของเพลงกระบี่ประสานรวมคือกระบี่จำศีล
หนังสือเก่าที่เขาอ่านมีชื่อว่า ‘ทดสอบการใช้เพลงกระบี่จำศีลพร้อมกัน’ มันถูกเขียนขึ้นโดยอาจารย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหนานซีมานานสามสิบปี
ในบางแง่มุม ผู้อาวุโสจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าคนนี้มีชีวิตคล้ายกับสวีโหย่วหรงมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงทำการศึกษาเพลงกระบี่ประสานรวม และยิ่งเขาอ่านมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมมากขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเพลงกระบี่นี้เรียบง่ายมาก แต่ก็มีข้อเรียกร้องต่อผู้ฝึกสูงมาก ไม่สงสัยเลยว่าทั่วทั้งต้าลู่มีแต่ศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีที่แทบตัดขาดจากโลกภายนอกและมีเส้นทางแห่งจิตที่กระจ่างชัดเจนจึงสามารถฝึกเพลงกระบี่นี้ได้สำเร็จและก่อให้เกิดค่ายกลสถานศึกษาหนานซีที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินในที่สุด
เฉินฉางเซิงเป็นที่รู้จักไปทั่วว่าเป็นอัจฉริยะในการใช้กระบี่ หากไม่สนอายุของเขา ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์มือกระบี่
ความรู้ความเข้าใจในกระบี่ของเขาพัฒนาขึ้นทุกวัน และเขาก็หมกมุ่นกับมันมากขึ้นเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่อาจเทียบกับซูหลีและคนของสำนักกระบี่หลีซานได้ แต่การได้เห็นเพลงกระบี่ใหม่อย่างเพลงกระบี่ประสานรวมย่อมทำให้เขาลุ่มหลงและค่อยๆ ลืมเวลาไป
แสงอาทิตย์อัสดงส่องต้องแม่น้ำถงเจียงและยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มีสีแดงขึ้นและอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินฉางเซิงกำลังอ่านหนังสือเล่มที่สามซึ่งเกี่ยวข้องกับเพลงกระบี่จำศีลและเพลงกระบี่ประสานรวม
มือซ้ายถือหนังสือในขณะที่มือขวาใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแทนกระบี่ทำท่าทางในอากาศอย่างต่อเนื่อง
ตัวเขาเองไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจตจำนงกระบี่ที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากปลายนิ้ว ตัดแสงแดดอบอุ่นและสายลมเย็นเป็นชิ้นๆ จนนับไม่ถ้วน
ริมหน้าผามีเสียงโหยหวนดังสะท้อนอยู่ในอากาศ
เมฆกระจายตัวและสัตว์วิญญาณในป่าก็หนีไปไกล มีแต่นกหยกที่อยู่ไม่ไกลเอียงคอดูเขาอย่างสนใจ
พอจะเดาได้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ คนผู้นี้เป็นใครกัน ทำไมการกระทำถึงได้เหมือนกับเทพธิดาไม่ผิดเพี้ยน
ในตอนนั้นเองที่เสียงร้องแจ่มชัดของนกกระเรียนดังก้องไปในอากาศ
นกหยกบินขึ้นค้นตามต้นไม้มองหาเห็ดที่สะดุดตาที่สุดเพื่อกินเป็นอาหารเย็น
สัตว์วิญญาณในป่าถอยหนีไปไกลยิ่งกว่าเดิม
เมฆทั้งมวลพลันสลายไป
กระเรียนขาวทะลวงผ่านเมฆ บินวนลงสู่พื้นและเดินเข้าหาเฉินฉางเซิง
นกกระเรียนร้องปลุกเฉินฉางเซิงจากภวังค์ แล้วเขาก็ลูบคอเรียวยาวของกระเรียนขาว
กระเรียนขาวจิกมือเขาเบาๆ จากนั้นก็มองลงไปยังที่ราบสูงซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆ ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่ามันกำลังบอกเขาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นข้างล่างนั่น
ด้วยเวลาที่ผ่านไป ถังซานสือลิ่วกับพวกน่าจะเข้ามาในสถานศึกษาหนานซีแล้ว หรือว่ามีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นจริงๆ
เขาลุกขึ้นยืน มองไปยังผนังหินใต้แสงอาทิตย์อัสดงแล้วกล่าว “ข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
……
……
ตอนที่เฉินฉางเซิงปีนหน้าผา ถังซานสือลิ่วก็กำลังชื่นชมทิวทัศน์บนทางเดินภูเขา
หลังจากปล่อยศิษย์สถานศึกษาหนานซีสองคน เขากับฮู่ซานสือเอ้อร์เริ่มเดินช้าๆ ในขณะที่พวกเขารอให้คนสำคัญของสถานศึกษาหนานซีปรากฏตัว
พวกเขาตีหญ้าก็เพื่อให้งูตื่น การบุกเข้าประตูภูเขาโดยตรงนั้นก็เพื่อดึงความสนใจออกจากเฉินฉางเซิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เดินทางเงียบๆ
สาเหตุที่เขามีอารมณ์เดินเล่นชมทิวทัศน์รอบด้าน เพราะเขาคิดเช่นเดียวกับเฉินฉางเซิง ต่อให้มีความเข้าใจผิดกับสถานศึกษาหนานซีมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินไป
ในสายตาถังซานสือลิ่ว สวีโหย่วหรงเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นสถานศึกษาหนานซีก็เป็นของนาง หากมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ก็เหมือนกับผัวเมียทะเลาะกัน แก้ไขได้ง่ายดายไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรมากนัก
เมื่อพวกเขาเดินผ่านดงไผ่ ถังซานสือลิ่วเอ่ยชม “ทิวทัศน์ชั้นเลิศ”
ทันใดนั้นเสียงแตกร้าวนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้น
ต้นไผ่ส่ายไหวอย่างต่อเนื่อง ราวกับทะเลที่เกิดคลื่นรุนแรง
ปราณกระบี่พุ่งขึ้นและใบไผ่นับไม่ถ้วนก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน ทั้งหมดตกลงบนร่างของถังซานสือลิ่ว
ฮู่ซานสือเอ้อร์อยู่ห่างจากป่าไผ่และสามารถหลบเลี่ยงฝนใบไผ่ได้
ถังซานสือลิ่วปกคลุมไปด้วยใบไผ่และดูน่าอนาถทีเดียว แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น ในทางกลับกันเขากล่าวอย่างภูมิใจ “งดงามนัก”
ใบไผ่หยุดตก ปราณกระบี่หดหาย เด็กสาวสิบกว่าคนปรากฏตัวบนทางเดินภูเขา กันเขากับฮู่ซานสือเอ้อร์ไม่ให้หนีไป
เด็กสาวสองคนจากประตูหินก็อยู่ในกลุ่มคน