“ศิษย์พี่ เป็นพวกมัน!”
เด็กสาวทั้งสองมองไปที่ถังซานสือลิ่วและกล่าวอย่างโกรธแค้น “ข้าไม่รู้ว่าคนเลวพวกนี้มาจากไหนถึงได้กล้าบุกฝ่าประตูเข้ามา!”
ถังซานสือลิ่วจ้องไป มีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในหมู่เด็กสาวอยู่บ้าง โดยเฉพาะเด็กสาวงดงามด้านหน้า
“เออ เยี่ยเสี่ยวเหลียน เป็นเจ้าเอง”
เขาไม่คาดคิดว่าจะพบเจอกับคนคุ้นหน้าเร็วเช่นนี้ จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างยินดี
เด็กสาวทั้งสองตกตะลึงและแอบอยู่หลังเยี่ยเสี่ยวเหลียนโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่คาดคิดว่าคนบ้าที่ศิษย์น้องบอกว่ากล้าบุกผ่านประตูเข้ามาจะเป็นถังซานสือลิ่ว
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีที่คนของสำนักฝึกหลวงรู้จักคุ้นเคยที่สุดก็คือเยี่ยเสี่ยวเหลียน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องล่าสุด แค่ปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมีต่อกันระหว่างเดินทางยาวนานจากหานซานมายังสำนักฝึกหลวงก็เกินพอแล้ว
นางถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เป็นเจ้าได้อย่างไร”
ถังซานสือลิ่วไม่ได้สังเกตสีหน้าไม่ชอบมาพากลของนาง เขายิ้มและบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เมื่อเขาพูด เด็กสาวทั้งสองก็ยิ่งสับสนมากขึ้น คิดในใจ ทำไมศิษย์พี่ไม่โกรธเลย ทำไมศิษย์พี่ถึงได้ยิ้มเช่นกัน
หรือว่าศิษย์พี่จะรู้จักคนบ้านี่ และถึงขาดเป็นเพื่อนกัน
หลังจากฟังถังซานสือลิ่วเล่าและเทียบกับคำพูดของศิษย์น้องทั้งสอง เยี่ยเสี่ยวเหลียนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางกล่าวกับถังซานสือลิ่วอย่างรวบรัด “พวกนางแค่ถามเจ้าไม่กี่คำเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าต้องขู่พวกนางเช่นนี้ ไม่เห็นหรือว่าพวกนางยังเด็กอยู่”
ถังซานสือลิ่วตอบอย่างซื่อตรง “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นคนอ่อนโยนแค่ไหน”
แน่นอนว่านี่เป็นคำประชด ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร และไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเยี่ยนเสี่ยวเหลียน หลายปีก่อนเมื่อนางอายุพอๆ กับศิษย์น้องทั้งสอง เจ้าวายร้ายนี่เคยสงสารหรือเห็นใจนางที่ไหนกัน เขาเป็นคนไร้ยางอายอย่างแท้จริง
ตอนที่นางคิดถึงเรื่องที่นางถูกเจ้าวายร้ายนี่ด่าจนน้ำตาไหลบนถนนเสิน นางก็อดรู้สึกอับอายขึ้นมาไม่ได้ นางมองไปที่ถังซานสือลิ่วและถ่มน้ำลาย
ถังซานสือลิ่วย่อมรู้ว่าทำไมนางถึงทำเช่นนี้และยิ้มกล่าว “นี่มันท่าทีแบบไหนกัน วันนี้ข้าเป็นแขกนะ”
“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเชิญเจ้ามา”
หลังจากตอบโต้อย่างหุนหันเยี่ยเสี่ยวเหลียนก็ไม่สนใจเขาอีก นางหันไปหาฮู่ซานสือเอ้อร์รอยยิ้มจางไปเมื่อนางกล่าวอย่างสุขุม “ศิษย์สถานศึกษาหนานซีรุ่นสามเยี่ยเสี่ยวเหลียน”
ฮู่ซานสือเอ้อร์ตอบ “อดีตมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยฮู่ซานสือเอ้อร์”
ถังซานสือลิ่วที่ด้านข้างพยักหน้า “นี่คือมุขนายกของนิกายหลวง เขาอาจได้เข้าสู่วิหารปฏิญญาในอีกไม่กี่วัน ไม่มีเหตุผลให้เจ้าเสียมารยาท”
คำพูดนี้เสียดสีทั้งสองฝ่ายพร้อมกัน
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตอนแรกก็โกรธจากนั้นก็ประหลาดใจ
ในฐานะศิษย์สถานศึกษาหนานซี นางย่อมรู้ว่าตำแหน่งมหามุขนายกวิหารปฏิญญาว่างมาสามปีแล้ว หากนางไม่เข้าใจความหมายของถังซานสือลิ่วผิดไป คนที่ดูธรรมดานี้จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงในอีกไม่กี่วัน แต่ถังซานสือลิ่วไม่ได้มีความสัมพันธ์คนใหญ่คนโตของนิกายหลวง แล้วทำไมพวกเขาถึงได้มายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน หรือว่า…
นางคิดถึงความเป็นไปได้และมองไปที่ถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วพยักหน้า
ดวงตาเยี่ยเสี่ยวเหลียนสว่างขึ้น นางดูมีความสุขมากแต่อารมณ์ของนางซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
มีทั้งความปีติ ผ่อนคลายหลังจากเหนื่อยล้ามาเป็นเวลานาน และยังมีความไม่สบายใจและสับสน
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางภูเขาด้านหลัง
“เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าบุกรุกแดนศักดิ์สิทธิ์”
เป็นเสียงที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง แต่ก็ยิ่งใหญ่ดุจขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก และเหมือนกับกฎเหล็กของวิหารเมฆเหินลม เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่ไม่สั่นคลอน
เมื่อเสียงดังขึ้น ดงไผ่ก็สั่นไหวอีกครั้ง สีหน้าเยี่ยเสี่ยวเหลียนก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น
นักพรตหญิงปรากฏกายขึ้นบนเส้นทางภูเขา ยากที่จะบอกอายุได้แต่จากอารมณ์ของนาง น่าจะอยู่ในช่วงวัยกลางคน
นางสวมชุดนักบวชสีดำ แขนเสื้อพลิ้วไหวตามสายลมเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามคิ้วตรงของนางทำให้นางดูสุขุมอย่างมาก
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีหลายสิบคนตามหลังนางมา
เมื่อนักพรตหญิงชุดดำมาถึง ศิษย์ที่มาถึงก่อนก็รีบคำนับและกล่าว “อาจารย์ย่า”
คำพูดนี้ทำให้ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ในความทรงจำของเขา สถานศึกษาหนานซีน่าจะดูแลโดยศิษย์รุ่นสอง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้อาวุโสจากรุ่นก่อนเลย
สวีโหย่วหรงเป็นศิษย์รุ่นสองในขณะที่เยี่ยเสี่ยวเหลียนนับเป็นศิษย์รุ่นสาม
นักพรตหญิงชุดดำนี้มีฐานะสูงมากอย่างนั้นหรือ
เขาปัดใบไผ่ออก จัดเสื้อผ้าและเตรียมที่จะทักทายนักพรตหญิง
นักพรตหญิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา ยิ่งไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อธิบาย
“เยี่ยเสี่ยวเหลียน เหตุใดเจ้าไม่ชักกระบี่ออกมา เจ้าคิดจะปล่อยให้คนนอกเข้ามาในภูเขาหรือไรกัน”
นักพรตหญิงตำหนิเยี่ยเสี่ยวเหลียนอย่างดุดัน
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตกตะลึงกับคำพูดนี้และรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ดวงตาแดงขึ้นมาเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นตั้งใจจะโต้แย้ง
นักพรตหญิงมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม น้ำเสียงดุดันขึ้น “เจ้ายังไม่สำนึกผิดอีกหรือ”
“เจ้าพูดพอแล้ว”
ถังซานสือลิ่วดึงเยี่ยเสี่ยวเหลียนไปด้านหลังและกล่าว “เจ้าภูมิใจมากไหมที่สั่งสอนศิษย์ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้”
ตอนที่เขาไม่พอใจ เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้อาวุโสอย่างอาจารย์ย่าของสถานศึกษาหนานซี
ฮู่ซานสือเอ้อร์เห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและรีบก้าวออกมา มองดูนักพรตหญิงและกล่าว “เราติดตามองค์สังฆราชมา ไม่มีเจตนาจะบุกรุกขึ้นเขา ข้าขอร้องให้ผู้อาวุโสพิจารณาด้วย”
คำพูดนี้ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของเยี่ยเสี่ยวเหลียนก่อนหน้านี้ หลังจากประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตานางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้น ไม่ใช่เพราะนางรู้สึกผิด แต่เพราะนางรู้สึกตื่นเต้น
ศิษย์หญิงที่เคยไปหานซานและคุ้นเคยกับสำนักฝึกหลวงมองหน้ากันแล้วยิ้ม ดูมีความสุขอย่างมาก
เสียงกระแอมกระไอดังขึ้น ทำให้อากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด รอยยิ้มเหล่านั้นจางหายไปในทันที
“เจ้าบอกว่าองค์สังฆราชมายังสถานศึกษาหนานซีของพวกเราอย่างนั้นหรือ”
นักพรตหญิงชุดดำถามคนทั้งคู่อย่างเย็นชา “แล้วพระองค์อยู่ที่ไหนกัน”
ฮู่ซานสือเอ้อร์ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เป็นไปได้หรือไม่ว่าสังฆราชกังวลว่าสถานศึกษาหนานซีจะเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นจึงได้ขึ้นสู่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ส่งข้อความ
ถังซานสือลิ่วเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขสถานการณ์กระอักกระอ่วน เพราะเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยหนังหน้าที่หนามาก
“สังฆราชใจร้อนดังไฟจึงได้มุ่งหน้าไปก่อน เขาน่าจะอยู่บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว หากเจ้าต้องการจะถวายความเคารพ ก็ต้องรออีกระยะหนึ่ง”
เขาชี้ไปที่สุดทางเดินภูเขาในยามที่พูด มีหน้าผาอยู่ที่นั่น และด้านหลังหน้าผามียอดเขางดงามที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ
นักพรตหญิงไม่สนใจน้ำเสียงเยาะเย้ยของเขา นางจ้องตาเขาและกล่าว “ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่บุกรุกได้ง่ายดาย”
ถังซานสือลิ่วรู้สึกได้ถึงแรงกดดันและขมวดคิ้ว “นิกายหลวงฝ่ายเหนือกับใต้มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ต่อให้มีผนึกของสถานศึกษาหนานซี แต่จะทำร้ายองค์สังฆราชได้อย่างไร เวลาผ่านไปมากแล้วก็ยังไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ดูเหมือนว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์…จะยินดีต้อนรับเขา”
ทุกคนได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา
ถังซานสือลิ่วแค่ไม่อยากยอมแพ้ในแง่ของการวางตัว แต่เขาไม่คิดว่าการคาดเดาของเขาจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก
นักพรตหญิงมีสีหน้าเย็นชากว่าเดิม “คนที่เข้ามาโดยไม่แจ้งก็คือโจร แล้วมีเจ้าบ้านคนใดที่จะยินดีต้อนรับโจรเข้าบ้าน”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วถาม “คำพูดนี้ไม่เคารพองค์สังฆราชอย่างมาก เจ้ายังยืนกรานจะทำเช่นนี้หรือ”
“เมื่อเจ้าขึ้นเขามาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ก็นับว่าไม่ใช่สหายแต่เป็นผู้บุกรุก”
นักพรตเต๋าจ้องดวงตาเขาและกล่าวอย่างเรียบเฉย “ใครก็ได้มาจับสองคนนี้ไป”
มีศิษย์สถานศึกษาหนานซีสามสิบกว่าคนบนทางภูเขา มากพอที่จะสร้างค่ายกลกระบี่ เซียวจางกับเหลียงหวังซุนยังยากที่จะตีฝ่าค่ายกลกระบี่นี้ อย่าว่าแต่ถังซานสือลิ่ว
หากศิษย์เหล่านี้เริ่มโจมตี ถังซานสือลิ่วกับฮู่ซานสือเอ้อร์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยลงไปจากเขา
พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะศิษย์สถานศึกษาหนานซีไม่เคลื่อนไหว
ศิษย์สิบกว่าคนที่เคยไปสำนักฝึกหลวงสบตากัน มีสีหน้าหวาดกลัว สับสนว่าควรจะทำอย่างไรดี พวกศิษย์ที่ไม่เคยไปสำนักฝึกหลวงกำกระบี่ไว้แต่ก็จำเรื่องราวที่ศิษย์พี่เคยเล่าให้ฟังเมื่อสองปีก่อนและหันไปทางเยี่ยเสี่ยวเหลียน ใช้สายตาถามว่าควรทำอย่างไรดี
ทางเดินภูเขาเงียบงันอย่างยิ่ง