เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มเป็นนายแพทย์ผู้ไร้เทียมทาน ฝงจิ่วเกอลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเลและออกหมัดพื้นฐาน
ราวกับมีมังกรตัวมหึมาโผล่พรวดขึ้นจากท้องทะเลเพื่อล่าเหยื่อ หมัดของเขามีแรงกดดันมหาศาลที่บีบบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องยอมจำนน เพียงแค่พิจารณาแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังหมัดนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคืออัจฉริยะตัวจริงเรื่องศิลปะการต่อสู้
แต่หลังจากออกหมัดพื้นฐานไปได้เพียงครึ่งทาง ฝงจิ่วเก่อก็หยุดกึก ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเขาเหือดหายไปหมด ทำให้ไม่อาจปลดปล่อยพละกำลังที่แท้จริงได้
ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด เสียงครางหลุดรอดจากริมฝีปากของเขา
เมื่อครั้งที่เขายังมีพละกำลังสูงสุด เขาสามารถออกหมัดแบบนี้ได้เป็นร้อยครั้งโดยไม่เหน็ดเหนื่อยสักนิด แต่ตอนนี้ ก็ทำไม่ได้แม้แต่จะออกหมัดสักครั้งโดยไม่ต้องหอบหายใจ
เรื่องนี้ทำให้เขาสิ้นหวังอย่างรุนแรง
ฝงจิ่วเกอรู้สึกราวกับว่าตัวเขาเมื่อ 2 ปีก่อนหายสาบสูญไปแล้ว และไม่มีวันกลับมาอีก การรู้ตัวว่าจะต้องใช้ชีวิตทั้งอย่างนี้ทำให้เขาหวาดหวั่นมาก
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะมองจางเซวียนอย่างสิ้นหวังและเอ่ยปาก “ขออภัยด้วยเถอะ ผมจะพยายามอีกที…”
“ไม่ต้องหรอก” จางเซวียนขัดขณะเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า
เขาประมวลหนังสือเกี่ยวกับสภาวะของชายหนุ่มไว้แล้ว
สถานที่แห่งนี้ดูจะไม่มีอะไรที่สามารถส่งผลกระทบต่อวรยุทธของเขา…จางเซวียนขมวดคิ้ว
หนังสือระบุข้อบกพร่องไว้มากมาย แต่ไม่มีข้อไหนอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการถดถอยของวรยุทธของฝงจิ่วเกอ หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็ไม่อาจบอกเหตุผลที่ทำให้วรยุทธของชายหนุ่มถดถอยได้!
เรื่องนี้น่าสงสัยมาก
ตั้งแต่หอสมุดเทียบฟ้ากลับมาใช้งานได้อีกครั้งในสรวงสวรรค์ จางเซวียนก็มองเห็นปรุโปร่งแม้แต่ข้อบกพร่องของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แล้วทำไมถึงไม่อาจค้นพบเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสภาวะปัจจุบันของฝงจิ่วเกอได้?
“คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอจับชีพจรสักหน่อย?” จางเซวียนถาม
“ผมรู้สึกสำนึกในบุญคุณมากที่คุณเต็มใจยื่นมือช่วยเหลือ แต่ถ้าคุณแก้ไขไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ผมชินกับมันแล้ว…”
สายตาเฉียบแหลมของฝงจิ่วเกอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของจางเซวียนได้ทันที สายตาที่จับจ้องด้วยความคาดหวังของเขาค่อยๆหม่นลง
ก่อนหน้านี้เขาเคยปรึกษานายแพทย์มาแล้วมากมาย ซึ่งบางคนก็เป็นนายแพทย์ชื่อดังที่ผู้คนในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดรู้จักดี แต่ก็โชคร้ายที่ไม่มีใครระบุเหตุผลที่ร่างกายของเขาเกิดสภาวะแบบนี้ได้เลย
เขาไม่กล้าหวัง เพราะเกรงว่าจะต้องผิดหวังอีกครั้ง
“ผมก็แค่ขอดู คุณไม่ได้เสียหายอะไรนี่” จางเซวียนพึมพำ
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ ถึงอย่างไรผมก็สูญเสียอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว…” ฝงจิ่วเกอถอนหายใจเฮือก
เมื่อระดับวรยุทธและสถานภาพเดิมถูกถอนออกไปจากตัวเขา เขารู้สึกราวกับตัวเองอยู่โดดเดี่ยวในโลกใบนี้ เพราะเมื่อเขาตกต่ำ ก็ไม่มีใครเต็มใจยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ฝงจิ่วเกอรู้สึกเหมือนสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไป
อีกอย่าง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาก็แข็งแกร่งกว่าเขามาก หากอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย เขาก็ปกป้องตัวเองไม่ได้อยู่ดี
ฝงจิ่วเกอจึงยื่นแขนให้จางเซวียน
จางเซวียนทาบนิ้วลงบนชีพจรและแอบถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย เขาติดตามการเดินทางของกระแสพลังปราณในทางเดินพลังปราณของฝงจิ่วเกออย่างระมัดระวัง
เมื่อมันไหลผ่านจุดหนึ่ง ก็พลันหยุดกึก
ฟึ่บ!
กระแสพลังปราณเทียบฟ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
“ฮะ…”
จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง
พลังปราณเทียบฟ้าไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง นับตั้งแต่เขาฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ประสิทธิภาพของมันก็ยอดเยี่ยมกว่าเดิม แต่มีบางอย่างในร่างกายของฝงจิ่วเกอที่ทำให้พลังปราณเทียบฟ้าของเขาสลายตัวได้…
มันเกิดอะไรขึ้น?
จางเซวียนขับเคลื่อนกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่จุดเดิมอีกครั้งด้วยความงุนงง
แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว กระแสพลังปราณก็เสื่อมสลายไป ราวกับมีพลังงานแปลกประหลาดบางอย่างฝังอยู่ในร่างของฝงจิ่วเกอ คอยกลืนกินพลังปราณเทียบฟ้าของเขา
ความผิดปกติครั้งนี้ทำให้จางเซวียนหรี่ตา
ต่อให้นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าก็ถูกเขาควบคุมได้หากได้ซึมซับกระแสพลังปราณเทียบฟ้าของเขาเข้าไป แต่บางอย่างในร่างของฝงจิ่วเกอสามารถกลืนกินพลังปราณนั้น
หรือว่าการที่วรยุทธของฝงจิ่วเกอตกฮวบจะเป็นผลจากการที่สิ่งแปลกปลอมบางอย่างในร่างกายกลืนกินพลังปราณของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน?
ขอดูหน่อยเถอะว่าแกจะกินได้สักแค่ไหน!
เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนฮึดสู้ เขาปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกออย่างดุเดือด บังคับให้มันไหลเวียนไปตามทางเดินพลังปราณของอีกฝ่าย
ตอนแรก จางเซวียนยังปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าในปริมาณน้อยเพราะเกรงฝงจิ่วเกอจะรู้ตัว แต่คราวนี้เขาใส่ไม่ยั้ง
เขาไม่เชื่อว่าบางอย่างที่อยู่ในร่างของฝงจิ่วเกอจะกลืนกินพลังงานที่เขาส่งเข้าไปได้ทั้งหมด!
ในเวลาเดียวกัน ฝงจิ่วเกอก็นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณปริมาณมหาศาลที่พุ่งพรวดเข้ามา แรงกดดันจากสวรรค์ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขาอย่างดุเดือด เขารู้สึกเหมือนกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ฝงจิ่วเกอพยายามชักข้อมือกลับ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายหนีบข้อมือของเขาไว้แน่นราวกับเป็นคีมโลหะ ไม่ว่าจะออกแรงดึงแค่ไหนก็ชักมือกลับไม่ได้
“ปล่อย…”
ฝงจิ่วเกออยากตะโกน แต่พลังปราณของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกบีบให้ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง แม้แต่จะเปล่งเสียงก็ทำไม่ได้
ส่วนจางเซวียนก็ไม่ได้ใส่ใจอาการของฝงจิ่วเกอ เขาหลับตาเพื่อเพ่งสมาธิทั้งหมดเข้าสู่การรับมือกับบางอย่างที่อยู่ในร่างของชายหนุ่ม
การพุ่งพรวดของกระแสพลังปราณเทียบฟ้าทำให้สุดท้ายจางเซวียนก็จับได้ว่ามันคืออะไร มันเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเทาที่รวมตัวกันอยู่ แต่เขาอธิบายรูปร่างที่แน่ชัดของมันไม่ได้
เมื่อจางเซวียนปล่อยกระแสพลังปราณเข้าใส่กลุ่มพลังงานสีเทานั้น มันก็เรืองแสงสีเขียวออกมา
*ไม่ใช่สิมันไม่ได้กลืนกินพลังปราณของเรา…*ดูเหมือนพละกำลังสองฝ่ายจะมีฤทธิ์เจือจางซึ่งกันและกันมากกว่า
จางเซวียนกำลังสงสัยว่าพลังงานแบบไหนที่ดูดกลืนพลังปราณเทียบฟ้าของเขาได้ แต่ดูเหมือนจะเข้าใจผิด โดยแท้ที่จริง พลังงานทั้ง 2 แบบต่างออกฤทธิ์เจือจางประสิทธิภาพของกันและกัน
เมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขาปะทะกับกระแสพลังงานสีเทา มันก็หลอมรวมกันและแปรสภาพเป็นแสงสีเขียวก่อนจะสลายตัวไป
ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีนั่นแหละกลุ่มพลังงานสีเทาไม่น่าจะเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าทั้งหมดของเราได้…
พลังปราณเทียบฟ้าของเขาหายวับไปทันทีที่ปะทะกับกลุ่มพลังงานสีเทา แต่ก็น่าประหลาด เพราะแม้จะถูกกลืนกินหายไปเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ก็ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวเล็กๆอยู่
หากวัดกันเป็นสัดส่วน จากกระแสพลังปราณ 100 สาย จะต้องมีหนึ่งสายที่หลงเหลือ
เดี๋ยวก่อน*!หรือว่านี่คือ…การขัดเกลา?* จางเซวียนใจเต้น
เขารู้สึกได้
พลังปราณเทียบฟ้าที่หลงเหลืออยู่มีความบริสุทธิ์มากกว่าเดิมอย่างน้อยก็ 10 เท่า แม้เขาจะบอกไม่ได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิมแค่ไหน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้นดูเหมือนมันจะสลายพลังปราณเทียบฟ้าของเราด้วยเหลือไว้แค่พลังปราณที่เราได้มาจากการทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์*…*
ตอนนี้มีกระแสพลังปราณที่แตกต่างกัน 2 รูปแบบผสมผสานกันอยู่ในร่างของจางเซวียน คือพลังปราณเทียบฟ้าที่ได้จากการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า กับพลังปราณเวอร์ชั่นพัฒนาใหม่ที่เขาได้มาหลังจากเริ่มฝึกฝนเวทนาสวรรค์
พลังปราณ 2 รูปแบบนี้ผสมผสานกันจนยากจะแยกออกจากกันได้ จางเซวียนจึงไม่ใส่ใจจะแยกแยะ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะแยกพลังปราณ 2 รูปแบบนี้ออกจากกันได้ด้วยกลุ่มพลังงานสีเทา?
กลุ่มพลังงานสีเทามีฤทธิ์เจือจางพลังปราณเทียบฟ้าของเขา แต่ไม่อาจแตะต้องพลังปราณที่เขาได้มาจากการฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ ผลที่ได้จึงเหมือนกับการขัดเกลา
ฉันไม่คิดว่าแกจะมีประโยชน์แต่ในเมื่อแกขัดเกลาพลังปราณของฉันได้ฉันก็จะให้แกอีกหน่อย*!*
เมื่อคิดได้ จางเซวียนปล่อยกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกอมากขึ้นอีก ขณะที่พลังงานทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แสงสีเขียวก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะมีกลุ่มพลังงานสีเทาอยู่เพียงกลุ่มเดียว แต่ก็บริสุทธิ์มาก จางเซวียนอยู่ตรงนี้นานหลายนาทีแล้ว แต่เพิ่งกำจัดกลุ่มพลังงานสีเทาไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ดูเหมือนคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
จางเซวียนสูดหายใจลึกและตั้งใจจะกำจัดกลุ่มพลังงานสีเทาให้ได้ในรวดเดียว ก็พอดีกับที่รู้สึกว่ามีใครบางคนตบบ่าของเขา
สัญชาตญาณบอกเขาว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่จางเซวียนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดที่ถูกรบกวน
เขายังคงถ่ายทอดกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกอต่อไป แต่ก็หันไปมองผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะ จากนั้นก็ตัวแข็ง
ผู้คนจำนวนหลายสิบรุมล้อมเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่คือลูกค้าที่ดื่มกินอยู่ที่นั่น รวมถึงชายวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งที่เคยซุบซิบกันเรื่องฝงจิ่วเกอด้วย
ส่วนผู้ที่ตบบ่าของเขาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีไม้เท้าอยู่ในมือ
“มีอะไร?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของคุณหรอกนะ แต่ถึงอย่างไร พวกเราก็ยังอยู่ในอาณาเขตของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ…”
“…ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี่และมีคนรู้ว่าพวกเราเอาแต่เฝ้าดูเงียบๆโดยไม่ช่วยเหลือ เราจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ การที่คุณจะมีเรื่องกับตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟน่ะไม่เข้าท่าหรอกนะ ตัวผมในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงจำเป็นต้องเข้ามาขวาง เพราะฉะนั้น ขออภัยด้วยที่ต้องถาม แต่คุณมีความแค้นใดกับฝงจิ่วเกอหรือ?” ผู้อาวุโสตั้งคำถามขณะลูบเครา
น้ำเสียงของเขาแจ่มใสกังวาน เท่าที่ฟังจากการพูดจา น่าจะเป็นผู้มีความรู้คนหนึ่ง
จางเซวียนประหลาดใจกับคำถาม เขาส่ายหน้า “เราสองคนไม่มีความขัดแย้งใดๆต่อกัน”
ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น คุณยึดข้อมือเขาไว้จนแน่นทำไม?”
จางเซวียนยังงุนงง แต่เมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หัวเราะหึๆและตอบว่า “เขาได้รับผลกระทบจากสภาวะผิดปกติบางอย่าง ผมกำลังรักษาเขาโดยใช้ความสามารถของผมในฐานะนายแพทย์”
“อะ-อ้อ อย่างนั้นหรือ? เอาเถอะ ผมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้ดูไม่หยาบคาย แต่…”
ผู้อาวุโสเบนสายตาไปมองฝงจิ่วเกอ ก่อนจะตั้งคำถามอย่างลังเล “คุณแน่ใจนะว่ากำลังรักษาเขาจริงๆ?”
“ผมแน่ใจหรือเปล่าว่าผมกำลังรักษาเขา?” จางเซวียนยิ่งงงหนัก
เขามองตามสายตาของผู้อาวุโสไปโดยอัตโนมัติ และเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่