ชายหนุ่มที่เขายึดข้อมือไว้แน่นไม่ใช่ฝงจิ่วเกอที่ดูหล่อเหลา กลับกลายเป็นชายร่างกลมดิกที่มีความสูง 2 เมตรและหนักอย่างน้อย 400 จิง* ไม่ต่างอะไรกับปลาปักเป้า
“คุณเป็นใครน่ะ?” จางเซวียนปล่อยข้อมือของอีกฝ่ายทันทีด้วยความตกใจ
ไอ้อ้วนนี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่*?*
ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่เขาคว้าข้อมือไว้ได้เปลี่ยนตัวไปแล้ว?
เห็นอาการประหลาดใจจริงจังของจางเซวียน ผู้อาวุโสส่ายหัวและอธิบาย “ผมเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอด บอกคุณได้เลยว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฝงจิ่วเกอ หลังจากคุณคว้าข้อมือเขาไว้ได้ไม่นาน เขาก็เปลี่ยนไปจนอยู่ในสภาพนี้…”
“เขาคือฝงจิ่วเกอหรือ?” จางเซวียนอ้าปากค้าง
เขาแน่ใจว่าเมื่อครู่นี้ฝงจิ่วเกอยังปกติดี ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เดี๋ยวก่อน*…หรือนี่คือผลจากการที่เราถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน?* จางเซวียนหุบปากที่กำลังอ้าค้างด้วยความตกใจ
เขาปล่อยพลังงานไม่น้อยเข้าสู่ร่างของฝงจิ่วเกอ ซึ่งการปะทะกันของพลังงาน 2 รูปแบบทำให้เกิดแสงสีเขียวอันทรงพลัง ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ฝงจิ่วเกอไม่น่าจะต้านทานการก่อตัวสะสมของพลังงานภายในร่างกายได้
ว่าแต่…คนคนหนึ่งจะตัวพองเป็นปลาปักเป้าแบบนี้ก็ได้หรือ?
สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหลวไหลสิ้นดี!
จางเซวียนหลับตาและพยายามนึกภาพว่าเมื่อครู่นี้ฝงจิ่วเกอมีหน้าตาเป็นอย่างไร เขาทำซ้ำๆอยู่ 5 รอบ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคือฝงจิ่วเกอจริงๆ
จางเซวียนจนปัญญาจนไม่รู้ว่าควรตอบออกไปอย่างไร ควรกล่าวขอโทษหรือพยายามทำให้เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องตลก?
พูดได้เลยว่าฝงจิ่วเกอมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
หรือนั่นคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?
“ในเมื่อคุณไม่มีความขุ่นเคืองใดๆกับเขา ผมก็ขอใช้ความเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ให้คำแนะนำคุณสักหน่อย” ผู้อาวุโสโพล่งออกมา “แม้ฝงจิ่วเกอจะเพิ่งถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ แต่เขาก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ถ้าคุณสังหารเขาอย่างเงียบๆ คนพวกนั้นอาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่การกระทำของคุณที่ทรมานและเหยียดหยามเขาต่อหน้าสาธารณชนนั้นทำให้ชื่อเสียงของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟด่างพร้อย พวกเขาไม่มีวันยอมให้ใครลบหลู่ศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์นกฟีนิกซ์แน่…เพราะฉะนั้น ผมขอให้คุณทบทวนการตัดสินใจของคุณอีกสักครั้ง!”
จางเซวียนนวดหว่างคิ้ว นี่เรากลายเป็นผู้ร้ายไปแล้วหรือ*?*
สมกับที่เป็นชายชราผู้รอบรู้ เขารู้วิธีที่จะพูดอ้อมค้อมเพื่อให้ได้คำตอบตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ แม้จะทำให้ดูเรื่องมากเกินขนาดก็ตาม
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของเขาผิดไป เพราะเขาตั้งใจช่วยฝงจิ่วเกอจริงๆ ไม่ใช่ทรมานหมอนั่น
รู้ดีว่าผู้อาวุโสให้คำแนะนำด้วยความหวังดี จางเซวียนประสานมือและตอบอย่างสุภาพ “ผมขอขอบคุณในคำแนะนำของคุณและจะจดจำไว้ แต่ก็ขอยืนยันอีกครั้งว่านี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษา”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันกลับไปมองฝงจิ่วเกอ
อีกฝ่ายอ้วนกลมไปทั้งตัว ทั้งใบหน้าและร่างกายของเขาดูเหมือนลูกบอลกลมๆลูกหนึ่ง
จางเซวียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะนำตราหยกอันหนึ่งออกมา เขารีบถ่ายทอดเทคนิควรยุทธเข้าไปในนั้นก่อนจะยื่นให้ฝงจิ่วเกอ “ฝึกฝนเทคนิควรยุทธตามนี้ มันจะช่วยบรรเทาอาการของคุณได้!”
“คุณคิดอะไรอยู่น่ะ?” ฝงจิ่วเกอเพิ่งจะพูดออกหลังจากที่หลุดจากการเกาะกุมของจางเซวียน เขาโมโหเสียจนตัวแทบระเบิด
ตอนที่เขาได้เห็นตราสัญลักษณ์ของชายหนุ่ม ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงช่วยชีวิตเขาได้ ด้วยเหตุนั้นจึงยอมให้จับชีพจร ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่จะตั้งหน้าตั้งตาปล่อยกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของเขาอย่างพรวดพราดจนทำให้เขาลงเอยในสภาพนี้?
“ผม…”
จางเซวียนกำลังจะอธิบายว่าเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจปิดปากเงียบ
เพราะหากพูดออกไป ตัวเขาจะต้องหมดความน่าเชื่อถือในฐานะนายแพทย์อย่างแน่นอน
จางเซวียนลุกขึ้นยืนและเอาสองมือไพล่หลัง เขาพูดต่อด้วยสีหน้าล้ำลึกเคร่งขรึม “ผมพบวิธีรักษาคุณแล้ว ซึ่งนี่เป็นเพียงขั้นตอนแรก!”
“ขั้นตอนแรก?” ฝงจิ่วเกอถึงกับผงะ
ขั้นแรกของคุณคือเป่าตัวผมให้พองเป็นปลาปักเป้าหรือ*?*
ผมไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีการรักษาแบบนี้*!*
“ถ้าคุณอยากหายดีและได้สติปัญญากับพละกำลังกลับคืนมาล่ะก็ จะต้องฟังที่ผมพูดและฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่ผมมอบให้” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ความจริงจังในน้ำเสียงของเขาทำให้ฝงจิ่วเกอครุ่นคิดหนัก
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาเคยปรึกษานายแพทย์ผู้เก่งกาจมาแล้วมากมาย ซึ่งทุกคนก็บอกเขาว่าไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ อันที่จริง นายแพทย์เหล่านั้นบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้คืออะไร
แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกว่าพบวิธีรักษาตัวเขาแล้ว และขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนแรก
เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?
“ช่างมันเถอะ เป็นไงเป็นกัน!”
ในเวลานี้ เขาไม่มีสิทธิ์แคลงใจในความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย
เขาไม่ใช่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้ปราดเปรื่องของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟที่ใครๆล้วนพยายามเข้าหาและประจบประแจงแล้ว และไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกนอกจากชีวิต
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย!
ฝงจิ่วเกอทาบนิ้วลงบนตราหยก เขาเพ่งสมาธิเข้าไปโดยไม่ลังเล เทคนิควรยุทธเทคนิคหนึ่งลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา
ด้วยการมองเพียงแวบเดียว ร่างของฝงจิ่วเกอก็สั่นสะท้าน
ในฐานะอดีตสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ สายตาของเขาเฉียบแหลมเสมอเมื่อเห็นของคุณภาพดี
แม้เทคนิควรยุทธนี้จะเป็นแค่เคล็ดวิชาธรรมดาๆสำหรับการขัดเกลาและซึมซับพลังงาน แต่ก็ฉลาดล้ำและเหนือชั้นกว่าศาสตร์ลับใดๆที่เขาเคยเห็นมา อันที่จริง แม้แต่ศาสตร์ลับสุดยอดส่วนใหญ่ของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็ยังเทียบชั้นไม่ได้
แต่อีกฝ่ายมอบเทคนิควรยุทธระดับนี้ให้เขาโดยไม่ลังเล…
ชายหนุ่มตั้งใจช่วยเหลือเขาจากใจจริงใช่ไหม?
สิ่งนี้จุดประกายความหวังให้ลุกโชนในดวงตาของฝงจิ่วเกออีกครั้ง
เขาตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณในร่างกายไปตามที่เทคนิควรยุทธกำหนดไว้โดยปราศจากความลังเล
แม้วรยุทธของฝงจิ่วเกอจะถดถอยไปมากตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ความปราดเปรื่องของเขายังคงมีมากกว่านักรบทั่วไป ใช้เวลาไม่นาน ฝงจิ่วเกอก็เชี่ยวชาญในเทคนิควรยุทธที่จางเซวียนถ่ายทอดให้ และสามารถดูดซึมพลังงานที่ทำให้เขาตัวพองเป็นปลาปักเป้าได้อย่างรวดเร็ว
ในแต่ละครั้งที่ฝงจิ่วเกอขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่ว ร่างอ้วนกลมของเขาจะหดลงเล็กน้อย จนเมื่อขับเคลื่อนพลังปราณเป็นรอบที่ 20 ตัวเขาก็กลับสู่สภาพเดิม!
ฝงจิ่วเกอลุกขึ้นยืนขณะพิจารณาตัวเองด้วยสีหน้าฉงน เขาซึมซับพลังงานปริมาณมากขนาดนั้นได้รวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ สิ่งนี้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากกว่าเดิมในตัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
เขาจ้องจางเซวียนอย่างตื่นเต้นและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าขั้นต่อไปคืออะไร?”
ฝงจิ่วเกอดูออกว่ากระบวนการรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะต่อให้เขาได้รับพลังงานปริมาณมหาศาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ย่อมสูญเสียมันไปอยู่ดี
“ผมต้องทบทวนขั้นตอนเดิมอีกครั้งเพื่อชำระสิ่งปนเปื้อนในร่างกายของคุณให้ออกไปจนหมดจด” จางเซวียนตอบ
ตอนนี้ แทบไม่ต้องสงสัยแล้วว่ากลุ่มพลังงานสีเทาคือสาเหตุที่วรยุทธของฝงจิ่วเกอถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น วิธีเดียวที่จะช่วยอีกฝ่ายได้ก็คือต้องหาทางชำระร่างกายของเขาให้ปลอดจากพลังงานสีเทานั้นเสียก่อน
หากจะพูดในแง่นี้ จางเซวียยก็ไม่ได้โกหกฝงจิ่วเกอ
ส่วนฝงจิ่วเกอก็อ้าปากค้างเมื่อได้ฟังคำตอบ
เขาต้องเจอความยุ่งยากเจ็บปวดแบบเดิมอีกแล้วหรือ*?*
เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จางเซวียนพึมพำ “ดูเหมือนคุณไม่ค่อยเต็มใจจะไปต่อนะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องพยายามจนเกินกว่าเหตุ ขอบอกคุณให้รู้สักหน่อยว่าวิธีการรักษาแบบนี้น่ะ นอกจากไม่มีประโยชน์กับผม ยังส่งผลกระทบต่อวรยุทธของผมด้วย คุณคิดว่าการที่ผมถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของคุณน่ะ ผมไม่ต้องเสียอะไรเลยอย่างนั้นสิ?”
ขณะที่พูด จางเซวียนก็ลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเดินกลับไปยังที่นั่งเดิมของเขา
“พะ-พี่ชาย ผมหมายถึง…ผู้อาวุโส! กรุณารอก่อน!”
ฝงจิ่วเกอไม่มีทางปล่อยให้แสงแห่งความหวังของเขาเดินจากไปแบบนั้น เขารีบเข้าไปรั้งจางเซวียนไว้
ในเมื่อตัวเขาไม่มีอะไร อีกฝ่ายก็ย่อมไม่ได้อะไรจากการช่วยเขาเช่นกัน แต่หากเขาปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป วรยุทธของเขาก็มีแต่จะถดถอยลงเรื่อยๆ ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะต้องถูกศัตรูฆ่าตายเข้าสักวัน
“ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย! ผมยอมทำทุกอย่าง ขอแค่คุณรักษาอาการป่วยของผมได้!” ฝงจิ่วเกอวิงวอน
จางเซวียนหันกลับมามองฝงจิ่วเกอโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะพึมพำอีกครั้ง
“ผมหวังว่าคุณจะสำนึกในการเสียสละที่ผมมอบให้เพื่อช่วยชีวิตคุณ ไม่เพียงแต่เราจะต้องเริ่มกระบวนการเดิมอีกครั้ง ผมยังต้องสอนเทคนิควรยุทธที่สืบทอดกันในตระกูลของผมให้คุณด้วย เทคนิควรยุทธเหล่านี้ถือเป็นความลับสุดยอด เพราะฉะนั้น ผมจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณยอมรับผมเป็นอาจารย์!”
เท่าที่ดูจากความเร็วของฝงจิ่วเกอในการทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธที่เขาถ่ายทอดไปเมื่อครู่ ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะตัวจริง
ยิ่งไปกว่านั้น ฝงจิ่วเกอยังมีสายเลือดของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟซึ่งกุมความลับใหญ่หลวงไว้ หากเขาได้ฝงจิ่วเกอเป็นศิษย์สายตรง การเสาะหาข้อมูลใดๆจากอีกฝ่ายก็ย่อมง่ายขึ้นมาก แถมยังอาจช่วยเขาให้ได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณด้วย
“ท่านอาจารย์ ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยชีวิตผม!”
ฝงจิ่วเกอใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน เขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
เทคนิควรยุทธที่ได้รับการถ่ายทอดเมื่อครู่นี้ทำให้เขาดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นักรบธรรมดา อีกอย่าง การที่ชายหนุ่มมีตราสัญลักษณ์การเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่อยู่ในครอบครองก็บ่งบอกแล้วว่าตัวเขาทั้งแข็งแกร่งและมีทักษะเชี่ยวชาญอย่างไม่ธรรมดาในการรักษาโรค
ในเมื่อตระกูลของเขาทอดทิ้งเขา บีบบังคับให้เขาต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง การจะยอมรับชายหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์ก็ย่อมไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุด ชายหนุ่มก็ยังช่วยสนับสนุนเขาได้
“ดี!”
จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจกับการตัดสินใจแน่วแน่ของฝงจิ่วเกอ เขาทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งและทาบนิ้วลงไปบนชีพจรของอีกฝ่าย
จางเซวียนไม่รู้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหรือไม่หลังจากขัดเกลาพลังปราณแล้ว เพราะถึงอย่างไร ที่ผ่านมาเขาก็ให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่ในระยะยาวก็น่าจะมีประโยชน์
———————————-
*1 จิง = 0.5 กิโลกรัม