บทที่ 951 ทวงสายเลือดคืน

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บรรดากลุ่มคนที่เข้าข้างหลิงยู่ชาน เมื่อเห็นว่าเทียนเก๋อหยุดโจมตีลงอย่างกะทันหันและแสดงท่าทางว่ากำลังเจอกับสถานการณ์ยากลำบาก พวกเขาต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าหลิงยู่ชานทำได้ยังไง แต่ตราบใดที่หลิงยู่ชานเป็นฝ่ายได้เปรียบพวกเขาก็ถือว่ามันดีทั้งหมด

ทางด้านของเทียนเก๋อ เมื่อเขาได้ยินว่าหลิงยู่ชานเพิ่งทะลวงขีดจำกัดของตัวเองได้และกำลังจะใช้เพลงหมัดใหม่โจมตีใส่เขาทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้เขาก็แทบจะขยับตัวไม่ได้อยู่แล้ว เขาจึงเริ่มตื่นตระหนกทันที

ทางด้านของหลิงยู่ชาน เมื่อประกาศออกมาว่าจะโจมตีเสร็จ เขาก็ปล่อยหมัดออกไปทันทีเช่นกัน แต่หมัดนี้ถ้ามองจากมุมมองของคนภายนอกจะเห็นแค่ว่าหลิงยู่ชานออกหมัดไปแบบเดิม เจตจำนงหมัดเดิมแต่ความเร็วของหมัดที่พุ่งออกไปมันดูช้ากว่าเดิมด้วยซ้ำ

แต่ในความเป็นจริง หมัดของหลิงยู่ชานที่ทุกคนเห็นว่ามันช้ากว่าเดิมนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ภาพที่ติดตาของหมัดจำนวนหลายสิบหมัดที่ปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วจนตาของพวกเขามองไม่ทันต่างหาก ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดก็คือเทียนเก๋อผู้ซึ่งเป็นเป้าหมายของหมัดเหล่านั้น

หมัดทุกหมัดที่หลิงยู่ชานปล่อยออกไปจับเป้าหมายร่างแยกทุกร่างของเทียนเก๋อได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยอำนาจของทั้งพลังสายเลือดของหลิงยู่ชานและเจตจำนงของหมัดมันตรึงร่างแยกของเทียนเก๋อให้ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ ทำได้แค่เพียงรับการโจมตีจากหมัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อหมัดของหลิงยู่ชานอัดเข้าไปยังร่างแยกทุกร่างของเทียนเก๋อรวมไปถึงร่างจริง ร่างแยกของเทียนเก๋อโดนต่อยกระจุยสลายเป็นหมอกเลือดในทันที ส่วนร่างจริงของเขาก็กระเด็นลอยไปไกลราวกับว่าวที่สายป่านขาด

ที่สำคัญไปกว่านั้นร่างแยกทุกร่างของเทียนเก๋อ เมื่อพวกมันโดนทำลายจนสลายกลายเป็นหมอกเลือดแล้ว หมอกเลือดเหล่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังสายเลือดของเทียนเก๋อทั้งหมดกลับไม่ลอยคืนกลับไปหาร่างของเจ้าของพวกมัน แต่กลับถูกเจตจำนงหมัดของหลิงยู่ชานบังคับให้ลอยเข้าสู่ร่างของหลิงยู่ชานแทนจนระดับการบ่มเพาะของหลิงยู่ชานทะลวงขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง

ทางด้านของเทียนเก๋อ เมื่อพลิกตัวกลับมาตั้งหลักได้เขาพบทันทีว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาได้ลดลงอย่างมหาศาล และเมื่อสำรวจตัวเองอย่างละเอียดอีกทีเขาก็ได้รู้ว่าพลังสายเลือดในร่างของเขามันหายไปจนหมดไม่มีเหลือเลย จากนั้นเขามองไปที่หลิงยู่ชานด้วยสีหน้าตกตะลึงปนเดือดดาล และถามว่า “นี่เจ้าขโมยพลังสายเลือดของข้างั้นเหรอ?”

หลิงยู่ชานยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าทวงคืนพลังที่มันควรจะเป็นของข้าตั้งแต่แรกกลับคืนมาต่างหาก คนคดโกงอย่างเจ้าไม่มีค่าพอกับพลังสายเลือดของข้าหรอก แล้วยิ่งเรื่องการเป็นผู้นำสันเขาทรราชเจ้ายิ่งไม่มีคุณสมบัติมากเข้าไปใหญ่”

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิที่สนับสนุนเทียนเก๋อตะโกนโวยขึ้นทันที “หยุดดูดซับพลังสายเลือดของนายน้อยของข้าได้แล้ว! พลังสายเลือดเหล่านี้มันเป็นของเจ้าในอดีตก็จริง แต่ตอนนี้มันเป็นของนายน้อยของข้า!”

ทางฝั่งผู้เชี่ยวชาญที่สนับสนุนหลิงยู่ชาน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ตะโกนกลับไปเช่นกัน “มันผิดตรงไหนที่นายน้อยของข้าจะเอาพลังสายเลือดของเขาคืน? มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตราชันแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะนายน้อยของข้าที่อยู่แค่ในระดับนภาครามได้ ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าต้องหน้าด้านขนาดไหนถึงยังกล้าโวยวายแบบนี้อีก?”

“เจ้าพูดแบบนี้อยากจะสู้กับข้าใช่ไหม?”

“แล้วไง? เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าเหรอ?”

“…. …”

ในขณะนี้ผู้สนับสนุนของทั้งสองฝั่งเริ่มแยกเขี้ยวพร้อมจะตีกันอีกแล้ว

เทียนซ่งรีบเข้ามาขวางทันที “พวกเจ้าทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้!”

“บรรพบุรุษ ในฐานะที่ท่านอาวุโสที่สุดในสันเขาทรราช ท่านช่วยให้ความเป็นธรรมกับนายน้อยของพวกเราด้วย ท่านจะปล่อยให้หลิงยู่ชานขโมยพลังสายเลือดของนายน้อยพวกเราแบบนี้ไม่ได้ และการที่เขาทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้เขาจะต้องไม่มีสิทธิ์เป็นผู้นำของพวกเรา!”

“น่าตลกสิ้นดี! แล้วไอ้นายน้อยของพวกเจ้าที่พวกเจ้านับถือนักหนามันมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้นำของสันเขาทรราชตรงไหน ทำตัวเป็นโจรเถื่อนขโมยพลังสายเลือดนายน้อยของพวกข้า แต่สุดท้ายก็ยังแพ้ให้กับนายน้อยของพวกข้าเหมือนเดิม!”

“… …”

จากนั้นพวกเขาก็เถียงกันใหม่อีกรอบ….

ในเวลาเดียวกันทางด้านของหลิงยู่ชานไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเหล่าผู้คนที่กำลังเถียงกันแม้แต่น้อย เขาเอาแต่ตั้งใจดูดซับพลังสายเลือดเพียงอย่างเดียว

ผ่านไปไม่นาน ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์

อันที่จริงถ้าหากหลิงยู่ชานบ่มเพาะเหมือนกับคนทั่วไป พลังสายเลือดขอบเขตราชันที่เทียนเก๋อสั่งสมมานานหลายร้อยปีอย่างน้อย ๆ มันจะต้องทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันแน่นอน แต่น่าเสียดายที่หลิงยู่ชานบ่มเพาะแนวเดียวกับหลิงตู้ฉิง ซึ่งก็คือทำให้รากฐานมั่นคงที่สุดก่อนถึงจะทะลวงระดับต่อไป

การบ่มเพาะเช่นนี้มันทำให้ห้วงทะเลวิญญาณของเขามีขนาดใหญ่กว่าคนปกติหลายสิบเท่า ดังนั้นถึงแม้ว่าพลังสายเลือดของเทียนเก๋อจะมหาศาล แต่ถ้าเทียบกับความต้องการพลังในการทะลวงระดับต่อไปของหลิงยู่ชาน มันก็ทำได้แค่ทะลวงไประดับเดียว

หลังจากดูดซับพลังสายเลือดไปจนหมด หลิงยู่ชานก็ไม่สนใจกับเทียนเก๋อที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ เขามองไปที่กลุ่มคนที่สนับสนุนเทียนเก๋อและพูดกับเทียนซ่งว่า “บรรพบุรุษให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง!”

เทียนซ่ง ในตอนนี้รู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก เพราะอัจฉริยะทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานเขาทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเข้าข้างฝั่งไหนมันก็ดูไม่ดีไปทั้งหมด

ที่สำคัญไปกว่านั้น เทียนเก๋อนั้นแพ้อย่างขาดลอย แถมการต่อสู้นี้เทียนเก๋อก็เป็นฝ่ายรนหาที่เอง ดังนั้นมันสมควรตรงไหนที่จะมาร่ำร้องเรียกหาความยุติธรรมแบบนี้?

เมื่อเห็นว่าหลิงยู่ชานเดินเข้ามาหา เทียนซ่งจึงเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ยู่ชาน เจ้าอย่าได้ทำอะไรรุนแรงเกินไป ยังไงซะพวกเราทั้งหมดก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน”

หลิงยู่ชานยิ้มและตอบกลับ “บรรพบุรุษข้าไม่ทำอะไรเกินกว่าเหตุแน่ ข้าแค่ต้องการสะสางเรื่องนี้อย่างไร้ข้อกังขา ในเมื่อพวกเขาบอกว่าข้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำของสันเขาทรราช ถ้างั้นข้าจะขอท้าสู้พวกเขาทุกคนที่คิดว่าข้าไม่คู่ควร หากพวกเขาคนไหนที่มีระดับการบ่มเพาะไม่เกินขอบเขตมหาจักรพรรดิพวกเขาสามารถออกมาสู้กับข้าตอนนี้ได้เลย”

จากนั้นหลิงยู่ชานมองไปที่กลุ่มคนที่สนับสนุนเทียนเก๋อ และพูดขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะพวกเจ้าคนไหนที่คิดว่าข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำของพวกเจ้า และมีระดับการบ่มเพาะไม่เกินขอบเขตมหาจักรพรรดิพวกเจ้าสามารถออกมาสู้กับข้าได้เลย ถ้าหากข้าแพ้ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องการเป็นผู้นำของสันเขาทรราชอีกเลยตลอดชีวิตของข้า แต่ข้าขอแนะนำเอาไว้อย่างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันอย่าได้สะเออะมาท้าข้า เพราะขนาดเทียนเก๋อยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า พวกเจ้าก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้ามากเข้าไปใหญ่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้บรรดาผู้คนที่สนับสนุนเทียนเก๋อโกรธจนแทบกระอักเลือด แต่พวกเขาก็ไม่อาจโต้เถียงได้เช่นกัน เพราะผลลัพธ์มันออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าแม้แต่เทียนเก๋อที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันทั่วไปยังแพ้อย่างราบคาบ ดังนั้นมันก็ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย

จากนั้นเมื่อผ่านไปสักพัก ในที่สุดก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นผู้หนึ่งก้าวออกมาและตะโกนว่า “ข้าจะสู้กับเจ้า!”