ราชันเร้นลับ 1112 : บันทึกการเดินทาง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ท่ามกลางพระราชวังอันงดงามเหนือสายหมอก ไคลน์เหยียดมือขวา เคาะโต๊ะทองแดงยาวพลางพึมพำ

ในราชวงศ์ทูดอร์ ตระกูลใหญ่ทั้งห้าประกอบด้วยอามุนด์ อับราฮัม อันทีโกนัส เจคอป และทามาร่า… และหนึ่งในกลุ่มที่ช่วยให้อลิสต้า·ทูดอร์ขึ้นเป็นจักรพรรดิโลหิตคือราชาเทวทูตอย่างอาดัม อามุนด์ และอับราฮัม…

เราสามารถอนุมานได้ไหมว่า ในจักรวรรดิร่วมทูดอร์ ทรันซอสต์ การปกครองในตอนนั้นเป็นแบบกงสุลแฝด และอีกฝั่งหนึ่งของบัลลังก์เคียงข้างอลิสต้า·ทูดอร์คืออามุนด์และอาดัม?

ถ้าเป็นแบบนั้น จักรพรรดิโลหิต อลิสต้า ทูดอร์ ก็ไม่มีแผนจะย้ายเส้นทางมาตั้งแต่ต้น สุสานลับถูกแอบสร้างขึ้นโดยขอความช่วยเหลือจากหนึ่งในตระกูลเหล่านี้ อามุนด์ อับราฮัม และอันทีโกนัส… สำหรับเบเทล อับราฮัม เขาคือมิสเตอร์ประตูเข้าใจเส้นทางผู้ฝึกหัดอย่างถ่องแท้ หากเป็นพลังในด้านเทเลพอร์ต อาจยอดเยี่ยมกว่าเทพแท้จริงบางตนด้วยซ้ำ…

หรือว่าอุปกรณ์เทเลพอร์ตแบบกำหนดพิกัดในโบราณสถานทูดอร์จะถูกสร้างขึ้นโดยเบเทล·อับราฮัม?

มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว!

อา… และมีเพียงบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างมิสเตอร์ประตูเท่านั้นจึงจะเข้าออกสุสานลับได้ตามใจชอบ เพราะแม้แต่การทำนายบนมิติหมอกของเราก็ยังไม่ช่วยให้ทราบพิกัดที่แม่นยำ กับเทวทูตตนอื่นก็คงเทเลพอร์ตเข้าไปตรงๆ ได้ไม่ง่ายนัก…

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มเชื่อว่าแนวคิดของตนใกล้เคียงกับความเป็นจริง

ชักสงสัยแล้วว่า มิสเตอร์ประตูจะทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับพิกัดของสุสานหรือวิธีผ่านเข้าออกไว้บางไหม? คงต้องรบกวนให้มิสเมจิกเชี่ยนช่วยถามอาจารย์ของเธออีกครั้ง

เฮ้อ… เราเองก็หวังให้มิสเมจิกเชี่ยนกลายเป็นนักท่องเที่ยวโดยเร็ว เพราะเมื่อถึงตอนนั้น เธอก็ไม่จำเป็นต้องรอเขียนจดหมายถามตอบกับอาจารย์ สามารถเทเลพอร์ตไปหาได้โดยตรง… จริงอยู่ที่ตอนนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการบันทึกท่องเที่ยวไว้เป็นจำนวนมาก แต่นั่นจะทำให้อาจารย์เกิดความสงสัยและหวาดกลัว ยิ่งสร้างปัญหาบานปลาย…

หากตระกูลอับราฮัมไม่มีบันทึกพิกัดเอาไว้ เราควรลองติดต่อกับมิสเตอร์ประตูโดยตรงดีไหม? ไม่เพียงจะยุ่งยาก แต่ยังอันตรายมาก… เหนือสิ่งอื่นใด มิสเมจิกเชี่ยนยังไม่ใช่ลำดับห้าด้วยซ้ำ ลำพังการได้ยินให้ชัดยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับสนทนาตอบโต้… จะเปลี่ยนให้เธอเป็นหุ่นเชิดและฟังแทนผ่านการรับรู้ก็ไม่ได้… ย้อนกลับไปในตอนแรก สมัยที่เพิ่งดึงมิสเมจิกเชี่ยนขึ้นมาบนมิติหมอก ไคลน์เคยคิดอย่างจริงจังว่าหาทางติดต่อกับมิสเตอร์ประตูผ่านเธอ แต่ในภายหลัง เมื่อได้ศึกษาโลกผู้วิเศษมากขึ้น เข้าใจแก่นแท้มากขึ้น มันก็หวาดกลัวจนไม่กล้าลองเสี่ยง

ยิ่งไปกว่านั้น ระดับปัจจุบันของตนก็ยังไม่ปลอดภัยพอที่จะติดต่อกับอีกฝ่าย

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับรำพันคำ

“อดทน…”

กลางทะเล บนเกาะที่มีโจรสลัดชุกชุม

ฟอร์สยกแก้วขึ้นมาจิบของเหลวสีใสด้วยความคาดหวัง

จากนั้น ใบหน้าของเธอพลันยู่ยี่ราวกับกำลังลิ้มรสในสิ่งที่กลืนได้ยากลำบาก

“ให้ตายสิ แลงติร้อนแรงที่นี่รสชาติห่วยชะมัด ทำไมพวกเขาถึงได้ดื่มกันอย่างมีความสุขนัก?” ฟอร์สวางแก้วเหล้าลง ยกมือขวาขึ้นมาปิดปากพลางพึมพำเสียงต่ำ “นอกจากความแรงของเหล้าก็ไม่มีข้อดีอื่นอีกแล้ว… จริงสิ… มันถูกมาก!”

หลังจากจิบน้ำเย็นจากแก้วอีกใบ ฟอร์สหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงบนสมุดบันทึกสภาพทรุดโทรม

“โจรสลัดที่นี่ขอแค่เป็นเหล้าแรงแต่ราคาถูก ที่เหลือจะยังไงก็ได้… สำหรับพวกเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เมาหัวราน้ำ… เพื่อนโจรสลัดสามคนของเราบอกว่า พวกเขาเป็นคนสร้างเมืองท่าแห่งนี้ขึ้นมากับมือ… ในตอนแรก พวกเขาแล่นเรือมาจอดที่นี่โดยบังเอิญเพื่อซ่อนสมบัติที่ขโมยมา แต่หลังจากนั้นก็เริ่มตั้งรกรากและครอบครัว ในเวลาถัดมา บรรดาคนล้มละลาย นักผจญภัย และคนหนีภาษีได้ย้ายมาอยู่อาศัยและตั้งรกรากเพิ่มเติม บางคนถางป่าเพื่อสร้างบ้าน จนกระทั่งตลาดการค้าถูกสร้างขึ้น นับแต่นั้น พ่อค้าในทะเลก็เริ่มรุมตอมเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด”

เขียนถึงตรงนี้ ฟอร์สเงยหน้าขึ้นและมองไปยังโจรสลัดทั้งสามที่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง

“ยังมีอะไรที่ไม่ได้เล่าอีกไหม?”

โจรสลัดร่างยักษ์ทั้งสามต่างพากันตัวสั่น ร้องไห้และสะอื้น

“ไม่มีแล้ว… หมดแล้วจริงๆ”

คงต้องสารภาพตามตรงว่า เราคิดไม่ผิดที่เลียนแบบบุคลิกของมิสเตอร์เวิร์ลเพื่อรับมือกับโจรสลัด… ฟอร์สถอนหายใจพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ก้มศีรษะเขียนต่อ

“บรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างเสรี หากได้เห็นบุรุษที่ถูกใจ สตรีสามารถเดินเข้าไปเสนอราคาได้ ในทำนองเดียวกัน ผู้ชายก็สามารถทำกับผู้ชาย และผู้หญิงก็สามารถทำกับผู้หญิง… จากคำบอกเล่าของเพื่อนโจรสลัดทั้งสาม ระหว่างที่พวกเขากำลังลอยอยู่กลางทะเล อารมณ์เบื่อหน่ายคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และนั่นเป็นจุดกำเนิดการลองทำพฤติกรรมต้องห้าม สำหรับประเด็นนี้ พวกเขาต่างเล่าออกมาอย่างเถรตรง ลงลึกในประสบการณ์ตัวเองอย่างละเอียด…”

“นอกจากนั้น พวกเขายังเล่าในสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึง แท้จริงแล้ว โจรสลัดเป็นพวกสนับสนุนประชาธิปไตยและความเท่าเทียม”

“สิ่งนี้ทำลายมโนภาพเก่าของฉันโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้พูดว่าโจรสลัดแสวงหาคุณธรรมความถูกต้อง”

“คำอธิบายของเพื่อนโจรสลัดทั้งสามก็คือ ประชาธิปไตยเกิดจากสามเหตุผลสำคัญ ข้อแรก บุคคลที่ถืออาวุธมีอำนาจไม่มากพอ ข้อที่สอง บุคคลที่ถืออาวุธมักทำตัวกร่าง และข้อที่สาม เรือลำใหญ่จำเป็นต้องใช้กำลังคนมาก… เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน จึงเกิดเป็นประชาธิปไตยอย่างเรียบง่ายในหมู่โจรสลัด และเคยมีกัปตันหลายคนถูกขับไล่หรือฆ่าทิ้งจากเสียงส่วนใหญ่ของลูกเรือมาแล้ว”

“ฉันเชื่อว่าถ้ากัปตันมีพลังอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่านี้ กลุ่มโจรสลัดจะมีสังคมและวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน”

ถึงตรงนี้ ฟอร์สเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง ใต้ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว เธอเห็นอาคารที่สร้างจากไม้และหินเรียงรายรอบตลาด ในบางคราวเธอได้เห็นเด็กหลายคนในเสื้อผ้าตัวเก่าวิ่งเล่นไปมา

ท่ามกลางบรรยากาศที่ทรงพลัง ฟอร์สเขียนอีกครั้ง

“ที่นี่ไม่มีการวางแผนเมืองแม้แต่น้อย ทุกคนสร้างบ้านและขยายขอบเขตตามใจชอบ ส่งผลให้มีถนนหลายเส้นแคบจนผ่านเข้าไปได้ทีละคน แถมแสงแดดก็ยังส่องไม่ถึง…”

“ความคิดแรกในหัวฉันก็คือ เมื่อเกิดอัคคีภัย สถานการณ์ต้องเลวร้ายเหนือจินตนาการแน่ กรุงเบ็คลันด์เคยมีโศกนาฏกรรมที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม เพื่อนโจรสลัดทั้งสามได้บอกกับฉันว่า เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล เพราะเกาะแห่งนี้ทั้งชื้นและมีฝนตกชุก แถมผู้ที่มีพลังประหลาดก็ไม่คิดจะปกปิดตัวเอง…”

“สถานที่แห่งนี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากสงคราม ถึงจะวุ่นวายสักเล็กน้อย แต่ผู้คนก็อยู่กันอย่างสงบสุข”

“นอกจากนั้น สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร นาสต์ หรือตำนานสยองขวัญเรื่องใดบนทะเล หากแต่เป็นนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน สแปร์โรว์ โจรสลัดต่างตักเตือนกันเองว่าไม่ควรดื่มจนดึกดื่น ไม่ควรออกไปเดินตอนกลางคืนหรือเข้าตรอกมืด ไม่อย่างนั้นอาจหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ผู้คนต่างลือกันว่า ฆาตกรคือสุภาพบุรุษคนดังกล่าว…”

“นี่คือการล่าในรูปแบบหนึ่งอย่างนั้นหรือ”

ขณะเขียน สีหน้าของฟอร์สทวีความเคร่งขรึม เธอรีบดึงกระดาษแผ่นใหม่ออกมาและเสริมเนื้อหาลงไป

“…ณ ค่ำคืนที่สายลมเย็นเยียบพัดผ่านโรงพยาบาล และเป็นคืนที่ความมืดมิดรอบโรงพยาบาลเข้มข้นกว่าจุดอื่น…”

“…ไม่มีใครทราบว่า เหตุใดคนไข้สาวในวอร์ดเดี่ยวถึงบอกให้ญาตินำเห็ดและวัชพืชมาให้ และไม่มีใครทราบว่าสุดท้ายแล้ว พวกมันหายไปไหน เพราะไม่มีร่องรอยของการปรุงอาหารในวอร์ด และข้างนอกก็ไม่มีร่องรอยการนำออกไปทิ้ง พยาบาลหลายคนต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า คนไข้ของตนแอบกินเห็ดและวัชพืชดิบเข้าไป…”

ภายในหมู่บ้านยามบ่ายที่แบ่งออกเป็นชั้นบน กลาง และล่าง ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์สร้างค่ายในตำแหน่งที่ติดกับภูเขา

เดอร์ริค เบเกอร์ประสานมือไว้ใต้ปากและสวดวิงวอนเสียงต่ำ

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

หลังจากสวดจบ เด็กหนุ่มลุกขึ้น หยิบไม้กางเขนทองแดงที่เต็มไปด้วยหนามแหลม เดิมไปยังกองไฟด้านนอก

เนื่องจากไม้กางเขนเจิดจรัสไม่ญาติดีกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่น ค้อนยักษ์ของเด็กหนุ่มซึ่งมีชื่อว่าเทพสายฟ้าคำรามจึงมักถูกฝากให้โจชัวหรือไม่ก็ฮาอิมช่วยถือแทน

ขณะที่ทีมสำรวจกำลังรวมตัว ไคลน์ซึ่งอยู่ที่กรุงเบ็คลันด์ ส่งตัวเองเข้ามาในมิติหมอก ชายหนุ่มเสกคทาเทพสมุทรและอาศัยความช่วยเหลือจากดาวแดงที่กำลังยุบพอง จ้องมองทัศนียภาพของหมู่บ้านยามบ่ายสักพักก่อนจะขยายขอบเขตการมองเห็นไปยังวังราชาคนยักษ์

หากไม่มีคทาเทพสมุทรช่วยขยายคำสวดวิงวอน ไคลน์คงมองเห็นได้ไม่กว้างขนาดนี้ถ้าต้องพึ่งพาแค่ดาวแดงเพียงอย่างเดียว

เมื่อจอภาพเปลี่ยนมุมมอง ไคลน์เริ่มเห็นแสงสนธยาที่งดงาม

ณ จุดที่แสงสนธยาถูกแช่แข็ง มีอาคาร หอคอย และวังจำนวนมากเรียงรายภายในรั้วกำแพงสูงตระหง่าน ฉากตรงหน้าเปี่ยมไปด้วยความงดงามตระการตาราวกับปาฏิหาริย์ในตำนานเทพนิยาย ทั้งหมดคล้ายกับถูกแช่แข็งให้หยุดนิ่ง

วังราชาคนยักษ์!

ไคลน์พยายามขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น แต่กลับต้องพบว่า ตนมิอาจมองเห็นสถานการณ์ด้านหลังแสงสนธยาได้ชัดเจน

สมแล้วที่เป็นอาณาจักรของเทพบรรพกาล แตกต่างจากบางแห่งที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ก็ต้องหลบซ่อน… ไม่แปลกใจว่าทำไมเหล่าราชาเทวทูตถึงเลือกวังแห่งนี้เป็นสถานที่ชุมนุมลับ… ได้แต่หวังว่าการสวดวิงวอนของเดอะซันน้อยหลังจากเข้าไปในวังราชาคนยักษ์ จะช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนกว่านี้… ไคลน์พยักหน้าไตร่ตรอง

ขณะเดียวกัน มันแบ่งความสนใจบางส่วนไปยังคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์และพบว่าสตรีคนดังกล่าวแอบสวมชุดเกราะมายาสีเงินตลอดเวลา

นี่คงเป็นวิญญาณมารที่เธอต้อนเข้ามาในตัว… ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นเจตนาแอบแฝงของพระผู้สร้างแท้จริง… ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบา อดทนรอความคืบหน้าอย่างใจเย็น

หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้การนำของเจ้าเมืองโคลิน อีเลียด ทีมสำรวจเก้าคนที่มีเดอร์ริค·เบเกอร์เข้าร่วม เดินทางออกจากค่ายพักในหมู่บ้านยามบ่าย ตรงไปตามถนนหินสีเทาจนกระทั่งถึงยอดเขา

เนื่องจากลำดับต่ำที่สุดคือหกและส่วนใหญ่อยู่บนเส้นทางนักรบ ทีมสำรวจจึงเคลื่อนตัวได้ไวมาก หลังจากกำจัดกลุ่มสัตว์ประหลาดที่เป็นยักษ์เน่าเปื่อยเพียงสองสามระลอก ในที่สุดพวกมันก็มาถึงจุดที่มีแสงสนธยาปกคลุม ฉากความงดงามอลังการตรงหน้าทำให้ทุกคนอึ้งจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน

นี่คือครั้งแรกที่พวกมันได้พบกับสถานที่ซึ่งปราศจากสายฟ้า แสงสว่างเกิดจากแสงธรรมชาติเพียงอย่างเดียว!

นักล่าปีศาจโคลินหรี่ตาลง หยิบขวดโลหะออกมากระดกดื่มของเหลวด้านใน

หลังจากวิวัฒนาการมาหลายชั่วอายุคน ร่างกายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอันมืดมิดซึ่งมีเพียงแสงจากฟ้าผ่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร่างกายต่อต้านสภาพแวดล้อมซึ่งมีแสงสนธยาถูกแช่แข็ง

ความหวังและความกลัวก่อตัวในใจพร้อมๆ กัน

หลังจากดื่มยาที่เตรียมไว้และปรับสภาพจิตใจ โคลิน อีเลียและคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์เดินนำทีมสำรวจเข้าไปยังเขตแรกสุดของแสงสนธยา

ยังไม่ทันที่เดอร์ริคจะสัมผัสถึงสิ่งใด สายตาพลันเหลือบไปเห็นเปลือกนอกของไม้กางเขนเจิดจรัสกำลังหลุดร่วง เผยให้เห็นร่างจริงซึ่งเป็นมวลแสงสว่างเข้มข้น

อย่างไรก็ตาม แสงที่เปล่งออกจากไม้กางเขนกลับมิได้ขาวบริสุทธิ์ แต่ถูกย้อมด้วยสีแดงอมส้มของยามสนธยา

ทันทีหลังจากนั้น เดอร์ริคสัมผัสถึงความรู้สึกดำดิ่ง ราวกับเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดของวัน ซึ่งพร้อมแล้วสำหรับคืนที่กำลังจะมาถึง

………………………………….