มันเป็นเรื่องยากมากที่คนผู้ไม่ได้เรียนรู้แนวคิดแห่งห้วงมิติจะเข้าใจถึงพลังที่แท้จริงของแนวคิดนี้
ยิ่งเข้าใจแนวคิดได้ลึกล้ำเท่าใดมันก็จะยิ่งใช้งานห้วงมิติได้เชี่ยวชาญมากเท่านั้น ผู้ที่สามารถใช้งานแนวคิดนี้ออกมา ยิ่งทำให้มันดูเป็นภาพลวงตาลวงหลอกผู้คนได้มากเท่าใด มันก็จะยิ่งแสดงว่าคนผู้นั้นเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิตินี้อย่างลึกล้ำมากเท่านั้น
แต่ทว่าการจะเข้าใจแนวคิดขั้นสูงนั้นมันย่อมมิใช่เรื่องง่าย ๆ
นักยุทธที่เรียนรู้เข้าใจห้วงมิตินั้นจะใช้ได้แค่เรื่องราวพื้นฐานทำได้ตามสัญชาตญาณ
แต่ด้วยความเข้าใจที่เย่หยวนมีต่อห้วงมิติแล้ว ต่อให้ตัวเขาจะไม่อาจต้านทานพลังของเทพสวรรค์ได้ แต่หากเทพสวรรค์คิดอยากฆ่าสังหารเขา มันก็คงไม่ง่ายนัก
และดูท่าเทพสวรรค์ห่าวเฟิงก็คงเข้าใจผิดไม่แตกต่างจากผู้คนทั่ว ๆ ไป
เพราะในที่นี้ เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างถูกเย่หยวนหลอกลวงจนสิ้น
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าได้เห็นแล้วก็คงเลิกที่จะหวังได้แล้วใช่หรือไม่? เลี่ยเฟิง จัดการส่งมันไปโลกหน้าเถอะ!” เย่หยวนบอก
“อ่ะ ได้! ฮ่า ๆ ท่านรองมหาปราชญ์นี้เก่งกาจเสียจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วหมีเฒ่าคนนี้คงต้องลำบากมากมายกว่าจะฆ่าสังหารมันลงได้!” เทพสวรรค์เลี่ยเฟิงหัวเราะขึ้นพร้อมต่อยหมัดออกมาด้วยท่าทางแสนตื่นเต้น
เขาและห่าวเฟิงนั้นเป็นอันดับหนึ่งของสองเผ่าพันธุ์ มันย่อมจะหมายความว่าคนทั้งสองนี้ปะทะกันมาอย่างยาวนานนับครั้งไม่ถ้วน
และวันนี้เขาก็จะสามารถลบล้างสังหารอีกฝ่ายลงได้ มีหรือที่เขาจะไม่ตื่นเต้นดีใจ?
เลี่ยเฟิงปล่อยหมัดออกมาด้วยคลื่นพลังหนักหน่วงมหาศาลทำลายล้างเทพสวรรค์ห่าวเฟิงจนสิ้น
และนั่นมันจึงทำให้ยอดฝีมือแห่งทุ่งราบสุดอุดรอย่างเทพสวรรค์ห่าวเฟิงต้องจากโลกนี้ไป
ส่วนทางเทพสวรรค์หลัวเฟิงนั้นยิ่งง่ายไปใหญ่ ไม่ต้องอธิบายใด ๆ ให้มากความเพราะเขานั้นถูกเหล่ายอดฝีมือล้อมรอบจนไม่นานก็ตายตกลง
“นายน้อย!”
ในเวลานั้นที่เรื่องราวทั้งหมดทั้งหลายจบลง ลู่เอ๋อก็ได้พุ่งตัวออกมาจากห้วงมิติเข้าหาเย่หยวนราวกับนางฟ้าที่ตกลงมาจากสวรรค์
ต่อให้เป็นเหล่ายอดฝีมือเผ่าอสูรทั้งหลายเองพวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองภาพตรงหน้านี้อย่างลืมตัว
เย่หยวนนั้นมองดูลู่เอ๋อพร้อมถอนหายใจยาว นางเด็กสาวตัวน้อย ๆ ในวันนั้นมันได้กลายเป็นสาวสวยสง่าในวันนี้ไปแล้ว
ลู่เอ๋อในเวลานี้คงเรียกได้ว่าเป็นสาวงามไม่แพ้ลี่เอ๋อหรือมู่หลินเสวียสองยอดนางงามนั้นเลย หากนับกันแค่รูปร่างภายนอก
ที่สำคัญไปกว่านั้นลู่เอ๋อยังมีกายเทวะหยินล้ำมันจึงทำให้ร่างกายของนางดูสดใสผุดผ่องราวหยกขาว ราวเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ตกลงสู่โลกหล้าอย่างแท้จริง
“อืม ๆ มันจบแล้ว! ในวันหน้านายน้อยของเจ้าจะไม่ให้ใครมารังแกเจ้าอีกแล้ว!” เย่หยวนยกมือขึ้นมาลูบหัวลู่เอ๋อด้วยรอยยิ้ม
ลู่เอ๋อนั้นพยักหน้ารับออกมา “มันเป็นลู่เอ๋อเองที่หาเรื่องให้นายน้อยปวดหัว”
ไม่ไกลออกไปหยางเฟยเอ๋อนั้นได้แต่มองภาพนี้ด้วยดวงตาอิจฉา
ตอนอยู่ในหอเมฆาน้ำแข็งนั้นหยางเฟยเอ๋อสนิทสนมกับลู่เอ๋อมากที่สุดและย่อมจะรู้ว่าลู่เอ๋อคิดถึงนายน้อยคนนี้เสมอมา
เพียงแค่ว่าในสายตาของนางแล้ว นายน้อยใด ๆ มันย่อมจะไม่ควรค่ากับลู่เอ๋อเลย
ลู่เอ๋อนั้นเป็นยอดคนมากพรสวรรค์ หากวันหน้าไม่มีอะไรผิดพลาดนางจะก้าวขึ้นถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ส่วนทางนายน้อยของนางนั้นเป็นแค่นักหลอมโอสถในเมืองจักรพรรดิน้อย ๆ
หลังผ่านไปได้พันปีนั้นคนทั้งสองย่อมจะไม่มีทางยืนอยู่ในระดับเดียวกันได้อีก
แต่เมื่อหยางเฟยเอ๋อได้รู้ถึงตัวตนของเย่หยวน นางก็ต้องตกตะลึง
นายน้อยของลู่เอ๋อเองก็เป็นยอดคนมากพรสวรรค์ไม่แพ้นาง!
หากมันเป็นแค่พรสวรรค์คงพอเข้าใจ แต่เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมานี้มันยิ่งทำให้ตัวนางตื่นตะลึงขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็น
กำจัดเฮ่อเซียงหยุนด้วยฝ่ามือ สังหารเฟิงเทียนหยางด้วยดาบเดียว ทั้งยังจัดการเทพสวรรค์ปิงหยุนลงด้วยการโจมตีสะท้านสวรรค์
ตอนนี้แม้แต่ยอดคนอันดับหนึ่งแห่งทุ่งราบสุดอุดร เทพสวรรค์ห่าวเฟิงก็ยังต้องตายลงด้วยน้ำมือของเขา
มิเพียงแค่เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขานั้นคือรองมหาปราชญ์ของเผ่าอสูรที่แม้แต่เทพสวรรค์เลี่ยเฟิงผู้มีตำแหน่งไม่ด้อยไปกว่าเทพสวรรค์ห่าวเฟิงก็ยังต้องก้มหัวให้สุดตัว
ยอดคนระดับวีรบุรุษเช่นนี้ มีหญิงคนใดจะไม่ปรารถนา?
ตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าหยางเฟยเอ๋อรู้สึกอิจฉาลู่เอ๋อขึ้นมาแทน
เย่หยวนนั้นมองดูลู่เอ๋อพร้อมปลอบนางไปอีกพักใหญ่ ๆ ก่อนที่เขาจะเปิดปากพูดขึ้น “ดูมาตั้งนานแล้วจะไม่ปรากฏตัวออกมาหน่อยหรือ?”
เลี่ยเฟิงและพวกเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างหันไปมองหน้ากันพร้อมมองดูพื้นที่รอบ ๆ อย่างไม่เข้าใจว่ามันมีใครหลบซ่อนตัวอยู่
แต่จู่ ๆ ห้วงมิติมันก็เกิดความบิดเบี้ยวเปิดเผยให้เห็นเงาร่างชายแก่ผู้หนึ่งค่อย ๆ เดินออกมา
ชายแก่คนนี้มีหนวดเครายาว ท่าทางสง่าสูงล้ำ
เมื่อเลี่ยเฟิงได้เห็นผู้มาถึงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
ตัวเขาที่เป็นถึงเทพสวรรค์เจ็ดดาวนั้นกลับไม่อาจจะรับรู้ถึงตัวตนของเขานี้ แต่เย่หยวนกลับสัมผัสได้?
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลท่านถึงได้ให้ค่ารองมหาปราชญ์ไว้สูงนัก ตัวเขานี้เก่งกาจเหนือล้ำผู้คนจริง ๆ!
เดิมทีตัวเขานั้นยอมก้มหัวให้เย่หยวนเพียงเพราะอำนาจของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
แต่ในเวลานี้เขาได้รับรู้แล้วว่ารองมหาปราชญ์คนนี้เองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
แต่ทว่าสิ่งที่เขาตื่นตะลึงมากกว่าก็คือตัวตนของชายแก่เครายาวคนนี้ เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่อาจจะหยั่งวัดพลังของอีกฝ่ายได้!
ชายแก่เครายาวก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฒ่าคนนี้มีนามว่ากงหยางเลี่ยเป็นคนรับใช้ของท่านมหานักบวชขนแดง ขอคารวะท่านรองมหาปราชญ์!”
เมื่อได้ยินคำแนะนำตัวนี้ของกงหยางเลี่ย เย่หยวนกลับไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมาแต่เป็นทางเทพสวรรค์เผ่าอสูรทั้งหลายเองที่ได้แต่เบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกจากเบ้า
“ท-ท่านมหานักบวชขนแดง! เลี่ยเฟิงแห่งสุดอุดรขอคารวะท่านกงหยาง!” เทพสวรรค์เลี่ยเฟิงคุกเข่าก้มหน้าลงทันที
“คารวะท่านกงหยาง!” เหล่าเทพสวรรค์คนอื่น ๆ เองก็ก้มหัวคุกเข่าลงตาม
มีเพียงเย่หยวนเท่านั้นที่ยืนงง “มหานักบวชขนแดง? ใครกัน?”
กงหยางเลี่ยขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะอธิบายออกมา “มหานักบวชขนแดงนั้นคือศิษย์ลำดับที่สิบเอ็ดของท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล หนึ่งในสิบเอ็ดยอดฝีมือเต๋าโอสถแห่งเผ่าอสูรเรา เป็นรองแค่ตัวท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเท่านั้น!”
เย่หยวนที่ได้ยินก็เข้าใจเรื่องราวทันที
ดูท่ามหานักบวชขนแดงนี้จะเป็นศิษย์ของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเสียแล้ว
และคนที่จะรับใช้มหานักบวชขนแดงนี้ได้มันก็คงมิใช่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแน่ ๆ
ชายแก่คนนี้เองก็คงจะเป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์เช่นกัน!
เพราะฉะนั้นเหล่าเลี่ยเฟิงทั้งหลายจึงได้แสดงท่าทีเคารพนอบน้อมเช่นนี้ออกมา
แน่นอนว่าแค่ด้วยตำแหน่งคนสนิทของมหานักบวชขนแดงนี้ ต่อให้จะไม่มีพลังบ่มเพาะถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์คนทั้งหลายก็คงต้องก้มหน้ารับคำสั่งเขาอย่างไม่ขัดแล้ว
“เช่นนั้นนี่เอง แล้วเจ้ามามีธุระใดหรือ?” เย่หยวนถามขึ้น
แม้จะเจอจักรพรรดิเทพสวรรค์อยู่ตรงหน้า เย่หยวนก็ไม่คิดจะเกรงกลัวใด ๆ
เพราะเขานั้นมองความคิดของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลออกอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ที่เขาแก้ ‘อย่าถาม’ ได้แต่ทางมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลกลับปกปิดเรื่องราวมันก็เพราะกลัวว่าหากให้ตำแหน่งสูงส่งแก่ตัวเย่หยวนไปแล้วมันจะเป็นการขัดขวางการเติบโตของเย่หยวนแทนการส่งเสริม
ตอนนี้เมื่อเย่หยวนได้แสดงฝีมือโค้นล้มวงการโอสถแห่งแดนใต้ลงจนทำให้จอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายต้องก้มหัวให้ มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้มองว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะประกาศต่อโลกให้รับรู้ว่าเย่หยวนคือ ‘รองมหาปราชญ์’
ชื่อรองมหาปราชญ์นี้เขาไม่ได้ตั้งมันขึ้นมาเพราะคิดว่าเย่หยวนเก่งกาจพอจะแบกรับมันไว้
กลับกัน ตอนนี้เย่หยวนนั้นไม่มีฝีมือมากพอที่จะรับตำแหน่งนี้ไปต่างหาก!
หากพูดกันแค่พลังบ่มเพาะแล้ว เย่หยวนนั้นเป็นแค่เทพถ่องแท้น้อย ๆ
ในเรื่องของเต๋าโอสถเอง เย่หยวนก็เพิ่งจะก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรบรรพกาล
ในโลกหล้านี้มันมียอดฝีมือมากล้น เย่หยวนไม่เคยจะคิดว่าตนเองเหนือฟ้าไม่มีใครเทียบได้
และแม้จะไม่มีคนอื่นใด แต่ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นย่อมจะเป็นยอดฝีมือของเผ่าอสูรฝีมือการโอสถของพวกเขาแค่ละคนย่อมจะเหนือฟ้าล้ำสวรรค์
เย่หยวนในเวลานี้ไม่อาจเทียบเคียงพวกเขาได้แน่
ที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมอบชื่อนี้มาให้แก่เย่หยวนมันก็เพื่อที่จะทำให้เขากลายเป็นเป้าสายตาของผู้คน เพื่อจะได้ช่วยส่งตัวกระตุ้นการเติบโตมาให้แก่เขา
ทุก ๆ การกระทำของเขาผู้นี้มันถูกวางแผนมาไว้อย่างดีสิ้น
‘หึ เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังนัก กลับกล้าไม่คิดเคารพนายท่านแม้แต่น้อย! มันคิดว่าตนเองเก่งกาจพอจะเป็นรองมหาปราชญ์จริง ๆ หรือ?’
เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้แสดงท่าทีเคารพชื่นชมใด ๆ ออกมาทางกงหยางเลี่ยก็ไม่พอใจอย่างมาก
แต่ทว่าตัวเขานั้นก็ไม่ได้แสดงมันออกมาและพูดกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแทน “อาณาจักรวิญญาณประจิมใต้การปกครองของนายท่านนั้นกำลังจะจัดการประชุมยอดโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขึ้น นายท่านนั้นได้ยินชื่อเสียงของท่านรองมหาปราชญ์ว่าเป็นปรมาจารย์โอสถจึงได้คิดจะเชิญท่านรองมหาปราชญ์ไปช่วยชี้แนะสั่งสอนสักเรื่องสองเรื่อง”
…………….