ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 68 การแทรกซึม (5)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 68 การแทรกซึม (5)

ขุนนางเฟยปี่นั่วเผชิญปัญหาเข้าแล้ว

กองโจรที่อาศัยอยู่ในป่าอ้างว้างมั่นอกมั่นใจมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้พวกมันบุกโจมตีทุกวันโดยลอบโจมตีพ่อค้ามากมายที่ผ่านไปมา

แต่นี่ไม่ใช่ด้านที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด

ด้านที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์

กลุ่มนักรบที่ถูกส่งมาจากเขตแดนเหม่ยหลานก็ยังมาไม่ถึงจนปัจจุบัน ตอนนี้เขากำลังเริ่มสงสัยแล้วว่าพวกเขาถูกทำลายในป่าอ้างว้างไปด้วยหรือเปล่า

เขตแดนเหม่ยหลานได้ส่งคนมาเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว และเพื่อระบุปริมาณความเสียหายที่ต้องชดใช้แทนชีวิตที่สูญเสียไป

แต่พวกเขาคือสมาชิกของโบสถ์ที่ตั้งอยู่ในเขตแดนเหม่ยหลานนี่ แล้วทำไมพวกเขาต้องมาหาการชดใช้ค่าเสียหายจากเฟยปี่นั่วด้วยล่ะ?

เฟยปี่นั่วรู้สึกผิดอย่างหนัก เขาไม่ยินดีจ่ายเงินให้แก่สิ่งนี้ อย่างไรแล้ว ค่าชดใช้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับคนของโบสถ์ก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย เพราะอีกฝ่ายดูจะหิวกระหายอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนี้ทำภารกิจล้มเหลว และกองโจรก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ทำไมเขาจะต้องจ่ายเงินให้งานที่ไม่ได้เรื่องด้วยล่ะ?

แต่โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็มองสถานการณ์นี้แตกต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่าความสูญเสียที่ตนได้รับนั้นเป็นเพราะภารกิจที่ไปทำแทนเฟยปี่นั่ว ดังนั้นแล้วจึงยุติธรรมแล้วที่เฟยปี่นั่วจะต้องจ่ายเงินให้การออกเดินทางครั้งนั้น

ผลลัพธ์คือ ทั้งสองฝ่ายเผชิญเข้ากับทางตัน

เพียงเท่านี้คงไม่เป็นเรื่องนัก แต่โบสถ์ท้องถิ่นก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน เขตแดนขุนนางของเฟยปี่นั่วตกอยู่ภายใต้อำนาจของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ แม้จะไม่ได้ทรงพลังเท่าโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ พวกเขาก็ยังมีขอบเขต ทำไมโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ถึงมาทำธุรกิจธุรการอะไรนอกเขตแดนของตัวเองด้วย?

ดังนั้นแล้ว โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ก็เริ่มกดดันเฟยปี่นั่วด้วยเช่นกัน ทำให้เขาต้องปวดหัวไม่น้อย

“ข้าไม่ควรตอบตกลงให้กองกำลังจากโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ข้ามเขตแดนมาเลย”

หลินซวงรู้ว่าแม้ขุนนางเฟยปี่นั่วจะไม่ได้ก่นด่าเขาโดยตรง เขาก็ต่อว่าลูกชายไม่น้อย

อย่างไรแล้ว เขาก็เป็นผู้ยื่นข้อเสนอนี้ในตอนแรก

แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็คือสิ่งที่เด็กชายต้องการ

หลินซวงกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านพ่อ ท่านไม่จำเป็นต้องจมปลักกับปัญหาเช่นนี้ ให้ข้าจัดการมันให้ท่านเถอะ”

“เจ้าจะจัดการมันอย่างไรล่ะ? ตอนนี้โบสถ์สองแห่งกำลังพยายามเอาเรื่องข้า เจ้าจะทำอะไร?” เฟยปี่นั่วถามด้วยความไม่เข้าใจ

“ง่าย ๆ ให้พวกเขาสู้กันเอง” หลินซวงตอบ

“ลืมไปเสียเถอะ นั่นไม่มีทางเป็นไปได้” เฟยปี่นั่วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

ด้วยสนธิสัญญานิรันดร์กาลที่ยังคงอยู่ เทพเจ้าก็แทบไม่ต่อสู้กันเอง ส่วนมากพวกเขาจะจดจ่ออยู่กับการฟื้นฟูและรอคอยวันที่จะได้กลับไป

การจะให้โบสถ์ต่อสู้กันเองนั้นไม่ง่ายอย่างแน่นอน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้

หลินซวงกล่าว “ภายใต้สถานการณ์ปกติ ท่านพูดถูกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้สูญเสียบาทหลวง 2 คนและนักรบศักดิ์สิทธิ์ 4 คน นี่ไม่ใช่ความสูญเสียเล็ก ๆ ดังนั้นแล้ว พวกเขาจะต้องหาใครมาทดแทนเป็นแน่”

“นั่นคือเหตุผลที่พวกเขามาหาเราถึงบ้านไงล่ะ!”

“แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่าท่านไม่ใช่คนผิด ท่านแค่เชิญพวกเขามา ความรับผิดชอบในการชดใช้หนี้ของท่านจึงน้อยยิ่งนัก”

“แต่โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ก็ไม่ใช่คนร้ายตัวจริงนะ”

“พวกเขาอาจเป็นได้”

“อะไรนะ?” เฟยปี่นั่วตะลึงงัน

หลินซวงกล่าว “โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ปฏิบัติภารกิจภายนอกเขตแดนของตน โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์เชื่อว่านี่คือการละเมิดผลประโยชน์ของพวกเขาและเป็นการช่วยเหลือกองโจรทางอ้อม ทำให้กลุ่มคนของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์สูญหายไปทั้งหมด พวกเขาคือผู้ร้ายตัวจริง”

“เจ้าบ้าไปแล้ว!” เฟยปี่นั่วกระโดดขึ้นยืนทันที “เจ้าต้องการโยนความผิดให้โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์หรือ?”

“ทำไมจะไม่ทำล่ะ?” หลินซวงโต้กลับ “ท่านพ่อ ท่านยังประกวดราคาให้โบสถ์เห็นแก่ตัวเหล่านี้ไม่พออีกหรือ? แม้ว่าท่านจะเป็นขุนนางแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นหัวหน้าตัวจริงนะ ทุก ๆ ปี กำไรของท่านกว่า 40 ส่วนจะต้องถูกส่งไปให้พวกเขา แต่พวกเขาทำอะไรให้เราบ้างล่ะ? ไม่มี! พวกเขาแค่เอาเงินเราไปเฉย ๆ! ถ้าเราไปขอความช่วยเหลือ พวกเขาก็จะขูดรีดเราเข้าไปอีก เราจ่ายเงินในการจัดการกับปัญหาที่เราเผชิญ แต่พวกเขาก็กอบโกยผลประโยชน์ทุกอย่างไป นั่นไม่เกินไปหรือ?”

คำต่อว่าของหลินซวงทำให้เฟยปี่นั่วพูดไม่ออก

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้น “เราทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นี่คือความเป็นจริง โบสถ์มีหน้าที่ทำตามเทพเจ้า”

“เทพเจ้าไม่มีเวลามาสนใจหรอก พวกเขาแค่ต้องการความศรัทธาและผู้คน ไม่ใช่ผู้นับถือ อันที่จริง ท่านเป็นผู้ควบคุมผู้นับถือ ถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้น และจำนวนของผู้นับถือลดลงมหาศาล เมื่อนั้นเทพเจ้าจึงจะสังเกตเห็น และทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่าน! ฝ่ายโบสถ์ต่างหากที่ต้องการท่าน ไม่ใช่ท่านที่ต้องการโบสถ์”

“แต่พวกเขาสามารถเปลี่ยนผู้นำได้”

“พวกเขาไม่มีอำนาจในการทำเช่นนั้น”

“แต่พวกเขาก็มีความสามารถที่จะทำได้”

“งั้นเราจะทำให้พวกเขาเสียความสามารถไป อย่างเช่น ถ้าพวกเขาไม่มีเวลาจัดการเรื่องนั้น”

เฟยปี่นั่วเงียบกริบ

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็พูดขึ้น “โอกาสทำสำเร็จเท่าไร?”

“สิ่งที่สำคัญไม่ใช่โอกาสที่จะทำสำเร็จ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าขุนนางเฟยปี่นั่วนั้นไม่เกี่ยวพันในทางใดก็ตามต่างหาก” หลินซวงตอบ

เฟยปี่นั่วหัวเราะลั่น

นี่คือความจริง ตราบใดที่พวกเขาทำภารกิจนี้สำเร็จอย่างลับ ๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือสำเร็จก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา

เขากล่าว “เจ้าไปจัดการซะ ลูกข้า”

หลินซวงโค้งคำนับ “เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ”

เฟยปี่นั่วถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกขณะที่เขามองดูลูกชายของตนก้าวออกไปจากห้องทำงาน แต่แล้วสายตาของเขาก็ต้องหรี่ลงนิด ๆ

ใครจะเชื่อว่าเด็กชายวัย 7 ปีจะสามารถคิดแผนการที่ซับซ้อนขนาดนี้ได้?

คนประเภทนี้จะต้องยิ่งใหญ่น่าเกรงขามในอนาคตอย่างแน่นอน

โชคดีที่เป็นลูกชายของเขาเอง

เฟยปี่นั่วเชื่อว่า ไม่ว่าหลินซวงจะเติบโตขึ้นขนาดไหนหรือจะประสบความสำเร็จเพียงไร หลินซวงก็จะไม่ทำร้ายตัวเขาเอง

เพราะเด็กคนนี้คือลูกชายของเขา!

นี่คือโชคชะตาที่ทำให้เขาเชื่อใจหลินซวงอย่างไร้เงื่อนไข

3 วันต่อมา ศพของนักรบจากโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เป็นจำนวนมากก็ถูกพบ

ร่องรอยวิชาศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ถูกพบในบริเวณใกล้เคียง วิชาที่มีเพียงศิษย์ของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้

ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปในทันใด

นี่หมายความว่าโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ได้เล่นบทผู้สังหารสมาชิกของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์แล้ว

โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์โกรธแค้นยิ่งนัก กลุ่มนักรบถูกส่งมาเพื่อจัดการกับโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ผู้ปฏิเสธหัวแข็งทันที

แม้ว่าสนธิสัญญานิรันดร์กาลจะยังคงอยู่เพื่อห้ามไม่ให้เทพเจ้าต่อสู้กันเอง ศิษย์ของพวกเขาก็ไม่ได้ถูกห้ามด้วยตามที่ระบุในสนธิสัญญา เพราะโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ศิษย์ของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากยินยอมให้ตรวจสอบเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าสีดำขลับปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้านักบวชคนใหม่ของโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ กานปั๋วเอ่อร์

“กลิ่นหอมดอกพุดซ้อนชวนให้ข้านึกถึงฤดูใบไม้ร่วงและเติมเต็มหัวใจข้าด้วยความรู้สึกเพลิดเพลิน บอกนายท่านของเจ้าว่าข้าซาบซึ้งในการสร้างสรรค์ใหม่ของเขายิ่งนัก”

กานปั๋วเอ่อร์นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่ทำขึ้นจากไม้เชอร์รี่ เขาดมดอมกลิ่นชาหอมในถ้วยขณะที่พูดกับชายหนุ่มข้างกาย

กานปั๋วเอ่อร์ชอบชาที่มีรสชาติขมและกลิ่นหอมชวนคิดถึง

โชคไม่ดีนักที่การหาเครื่องดื่มตามเงื่อนไขนั้นยากลำบากทีเดียว เห็นได้ชัดว่าสูตรชานี้ถูกพัฒนาขึ้นเองโดยชายหนุ่มคนนี้ผู้มีนามว่าหลีเอ่อร์ เขาไม่สามารถหาซื้อส่วนผสมได้จากที่อื่นใด กระทั่งกานปั๋วเอ่อร์ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากปฏิบัติต่อชายหนุ่มคนนี้ด้วยความเคารพนับถือ

แม้ว่าเขาจะแอบดูถูกชายคนนี้อยู่ในใจก็ตาม

อย่างน้อยก็จนกระทั่งสิ่งนี้เกิดขึ้น

ชายหนุ่มตอบด้วยความอ่อนน้อม “การได้รับใช้นักบวชคือเกียรติของข้า”

“แต่นายท่านของเจ้าก็ยังไม่ยอมเจอข้าแม้แต่ครั้งเดียว” กานปั๋วเอ่อร์ตอบอย่างใจเย็น “ทำไมข้าต้องเชื่อใจคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วยล่ะ?”

“นี่…” ท่าทางลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “ไม่ใช่นายท่านของข้าไม่อยากพบท่าน เขามีเหตุผลที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”

“อย่างนั้นหรือ? งั้นทำไมข้าต้องเชื่อคำแนะนำของเขาด้วยล่ะ?” กานปั๋วเอ่อร์เถียง

“ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อหรอก ท่านนักบวช” ชายหนุ่มตอบทันที “ตราบใดที่ท่านพูดคำนั้นออกมา ครอบครัวของนายท่านข้าก็จะจัดการแผนทั้งหมด ไม่มีอันตรายใดต่อโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ทั้งสิ้น ท่านจะสามารถกลืนกินโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ได้อย่างง่ายดาย และกระทั่งแผ่ขยายอำนาจของท่านข้ามเขตแดนได้ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์จะต้องมอบรางวัลให้แก่ความพยายามของท่านอย่างแน่นอน”

กานปั๋วเอ่อร์ตอบอย่างใจเย็น “ทำไมข้าต้องเชื่อว่าเจ้าทำได้ด้วยล่ะ? และทำไมข้าต้องเชื่อว่านายท่านของเจ้าจะไม่ทรยศข้าหลังจากเรื่องนั้นจบสิ้นแล้วด้วย? ถ้าข้าจะทำงานกับนายท่านของเจ้าก็แสดงความจริงใจให้ข้าเห็นหน่อยสิ”

ชายหนุ่มยังต้องการพูดต่อ แต่กานปั๋วเอ่อร์ก็ยกมือขึ้นในทันใด ทำให้เด็กน้อยตัวแข็งทื่อ

กานปั๋วเอ่อร์หัวเราะอย่างดุร้าย “เจ้าคิดว่าข้ามองการปลอมตัวไม่ออกหรือไง? ให้ข้าดูสิว่าเจ้าเป็นคนแบบไหนกันแน่”

เขาทำท่าบีบด้วยมือของตน ราวกับว่าจะฉีกบางสิ่งออก ร่างที่เล็กกว่ามากปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาเมื่อการปลอมตัวถูกฉีกออกไปแล้ว

“เด็กหรือ?” กานปั๋วเอ่อร์ตะลึงงัน

ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาคือเด็กน้อยอายุไม่มากไปกว่า 7 หรือ 8 ปี

เด็กคนนั้นจ้องกานปั๋วเอ่อร์เขม็ง ดวงตาอีกฝ่ายเบิกกว้างด้วยความกลัว “เจ้า…”

กานปั๋วเอ่อร์เอียงเข้าไปใกล้ “หืม? หน้าเจ้าคุ้นมาก ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นเจ้ามาก่อนนะ”

เขามองเด็กชายตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายครั้งก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกโพลง “หลินซวง หลินซวงเฟยปี่นั่ว อัจฉริยะจากครอบครัวเฟยปี่นั่ว ดูนั่นสิ หลินซวงเฟยปี่นั่วปรากฏตัวขึ้นในอารามของข้าล่ะ… เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เจ้ามาที่นี่ตามคำสั่งของเฟยปี่นั่วหรือ? เฟยปี่นั่วต้องการโค่นอำนาจโบสถ์ในเขตแดนขุนนางของเขาเองหรือ?”

ดวงตาของกานปั๋วเอ่อร์เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตา เขารู้สึกว่าตัวเองได้คาดเดาความจริงไว้เรียบร้อยแล้ว

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น! ข้าตัดสินใจทำสิ่งนี้เอง!” หลินซวงโอดครวญด้วยความสิ้นหวัง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธเหตุผลของกานปั๋วเอ่อร์หัวชนฝา ข้อโต้แย้งของเขาก็มีแต่จะเพิ่มความเชื่อมั่นของกานปั๋วเอ่อร์ว่าเขาคิดถูกแล้วเท่านั้น

“ไม่น่าล่ะเฟยปี่นั่วถึงไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง ถ้าโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์รู้ตัว เขาเสร็จแน่” กานปั๋วเอ่อร์ขำชอบใจ

เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยที่ได้ยินว่าเฟยปี่นั่วต้องการโค่นล้มโบสถ์ภายในเขตแดนของตัวเอง

ทุกโบสถ์ก็เหมือนกับปลิงเกาะติดเขตแดนที่พวกเขาปกครอง ความขัดแย้งระหว่างหัวหน้านักบวชและชนชั้นสูงซึ่งมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันมากมายถูกใช้ระหว่างการทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องธรรมดา

ในบางแง่มุม นักบวชและชนชั้นสูงเหล่านี้ถูกกำหนดมาให้ต้องเผชิญหน้าเพื่อผลประโยชน์ ในทางกลับกัน การร่วมมือกันนั้นหายากยิ่งกว่า

ดังนั้นแล้ว กานปั๋วเอ่อร์จึงไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยที่เฟยปี่นั่วจะต้องการจัดการกับโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ สิ่งเดียวที่เขาไม่ทันตั้งตัวรับคือข้อเท็จจริงที่ว่าเฟยปี่นั่วยินดีลงทุนมากถึงเพียงนี้

แต่ที่ว่าสิ่งนี้สร้างโอกาสบางอย่างขึ้นมาก็เป็นความจริง

โอกาสในการแผ่ขยายอำนาจของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์

สนธิสัญญานิรันดร์กาลจำกัดเทพเจ้าแต่ไม่จำกัดศิษย์ของพวกเขา การต่อสู้เล็ก ๆ ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดระหว่างโบสถ์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกิดขึ้นจากคนเหล่านั้น อย่างไรแล้ว ผู้นำของพวกเขาก็ไม่สนับสนุนการกระทำเช่นนั้น

แต่หากโบสถ์หนึ่งโจมตีก่อน สถานการณ์ก็จะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

การใช้การโจมตีอันเงียบเชียบของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์เป็นข้ออ้างในการโจมตีกลับคือความคิดที่ดี

ที่จริงแล้ว มันดูสมบูรณ์แบบ!

ความโลภแล่นแวบผ่านดวงตาของกานปั๋วเอ่อร์ “ข้าชอบแผนของเจ้ามาก กลับไปบอกพ่อของเจ้าว่าข้าจะตกลงรับข้อเสนอของเขา”

หลินซวงที่กระวนกระวายสงบนิ่งลงในที่สุด “ท่านพูดจริงหรือ?”

กานปั๋วเอ่อร์หัวเราะร่วน “เจ้ายังเป็นแค่เด็กจริง ๆ ด้วย ประโยคเดียวก็พอให้เจ้าเผยความจริงแล้ว ใช่ ไปบอกเขาว่าข้ายินดีทำงานร่วมกับเขา”