ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 67 การแทรกซึม (4)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 67 การแทรกซึม (4)

“แม้ว่าศัตรูของเราจะทรงพลังเป็นอย่างมาก พวกเขาก็มีข้อบกพร่องร้ายแรง ถ้าเราสามารถฉวยโอกาสนี้ได้ ศัตรูของเราก็จะต้องพ่ายแพ้”

คำพูดเมื่อครู่ออกมาจากปากของหลินซวงด้วยเช่นกัน

หากเขาต้องการต่อสู้กับเทพเจ้า เช่นนั้นเพียงแค่พยายามต่อสู้กับพวกเขาก็คงไม่พอให้เอาชนะ ตนจำเป็นต้องหาจุดอ่อนและฉวยโอกาสนั้น

แล้วอะไรคือจุดอ่อนของเทพเจ้าล่ะ?

การพึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปของพวกเขานั่นไง!

พูดอีกอย่างคือ การมีอยู่ของโลกใบนี้คือจุดอ่อนของเหล่าทวยเทพทั้งหลาย

และด้วยการตั้งเป้าไปยังจุดอ่อนนี้เท่านั้นที่มนุษย์ในแดนต้นกำเนิดจะมีโอกาสเอาชนะเทพเจ้าได้

ทั้งหมดที่ซูเฉินกำลังทำในตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

การวิจัยลั่วปินของหลินซวงยาวนานถึง 3 วัน

3 วันต่อมา หุ่นเชิดที่เสร็จสมบูรณ์ก็วางอยู่เบื้องหน้าเขา

หุ่นเชิดตัวนี้ต่างไปจากหุ่นเชิดโลหะที่เขาสร้างขึ้นบนทวีปต้นกำเนิด มันถูกสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อจริง ๆ ซึ่งทำให้ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ทว่ากระดูกภายในร่างกายนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยโลหะ กระทั่งทะเลปราณและปราณต้นกำเนิดสำรองของมันก็ได้ถูกสับเปลี่ยน

ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างหุ่นเชิดเลือดเนื้อจริงตัวใหม่และหุ่นเชิดกลตัวเก่า นั่นก็คือความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดได้พัฒนาขึ้นมหาศาล ทำให้พวกมันประยุกต์ใช้ได้มากยิ่งขึ้น และร่างกายของพวกมันยังมีพละกำลังแต่กำเนิดปริมาณมากอีกด้วย ซึ่งทำให้พวกมันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

ซูเฉินรู้วิธีการสร้างหุ่นเชิดเหล่านี้ในทวีปต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน แต่ในฐานะเจ้านิกายไร้ขอบเขต เขาจำเป็นต้องพิจารณาผลกระทบทางจริยธรรมในการกระทำของตนเองด้วย เขาจำเป็นต้องแสดงให้ผู้คนรอบตัวเห็นว่าเขาก็มีขอบเขต

แม้ว่าประกอบหุ่นเชิดเลือดเนื้อมนุษย์ขึ้นมาจะทำให้นิกายไร้ขอบเขตแข็งแกร่งขึ้น การทำเช่นนั้นก็จะทำลายชื่อเสียงของนิกายไร้ขอบเขตไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น มือของซูเฉินจึงถูกมัดไว้แน่น

แต่ที่นี่ไม่มีข้อจำกัดที่จะห้ามหลินซวงเอาไว้ได้ เขาไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนประชากรทั้งหมดในโลกใบนี้ให้เป็นหุ่นเชิดหากมันสามารถรับมือกับเทพเจ้าได้

มนุษย์จำเป็นต้องมีหลักการ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องรู้ด้วยว่าจะต้องแข็งข้อเมื่อไร

หลังจากประกอบหุ่นเชิดขึ้นแล้ว หลินซวงก็ถอนหายใจ

ก่อนที่พลังจากสายเลือดของซูเฉินจะตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ สิ่งนี้จะเป็นไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขา

หลังจากที่จัดการกับเรื่องนี้เสร็จแล้ว หลินซวงก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของหุ่นเชิดและเอ่ยขึ้น “พาข้าไปที่ป่าอ้างว้าง”

ความฉลาดของหุ่นเชิดเนื้อมนุษย์ก็สูงกว่าหุ่นเชิดโลหะด้วยเช่นกัน และมันยังสามารถเข้าใจคำสั่งพื้นฐานได้อีกด้วย หุ่นเชิดโลหะคงจะหลงทางในป่าอ้างว้าง แต่หุ่นเชิดเนื้อมนุษย์นั้นเก็บรักษาความทรงจำส่วนเล็ก ๆ จากร่างเก่าไว้ ทำให้มันสามารถนำทางในป่าได้อย่างง่ายดาย

หุ่นเชิดเริ่มวิ่งตรงไปยังป่าอ้างว้างภายใต้การควบคุมของหลินซวง

หน้าที่แรกที่หุ่นเชิดเนื้อมนุษย์ทำสำเร็จหลังจากที่ถูกสร้างขึ้นคือการรับใช้เป็นยานพาหนะ

เมื่อหลินซวงมาถึงยังที่กบดานของกองโจรที่ตั้งอยู่ลึกในป่าอ้างว้าง ภาพที่เขาเห็นต่างไปจากภาพเก่าตอนที่เขาจากไปลิบลับ

เลือดสด ๆ และเศษซากต้นไม้กระจายอยู่ทั่วพื้นดิน เช่นเดียวกันกับก้อนหินและพื้นดินก้อนใหญ่มากมาย

กองศพหลายสิบศพตั้งอยู่ข้างแม่น้ำ ทุกคนมาจากในกองโจร

อีกฝั่งของแม่น้ำคือกองศพจากหมู่คณะของโบสถ์ มี 2 ศพที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ พวกเขายังคงสวมใส่ผ้าคลุมยาวสีขาว ชายเสื้อของพวกเขาถูกปักด้วยพู่สีทอง แต่ตอนนี้ผ้าคลุมอันสง่างามพวกนั้นถูกฉีกจนขาดรุ่งริ่ง

กองโจรที่ยังมีชีวิตอยู่รวมตัวกันที่ข้างสายแม่น้ำและกำลังล้างบาดแผล ดูราวกับว่าการต่อสู้เพิ่งจะจบลงไม่นานมานี้

“ดูเหมือนเจ้าจะค้นพบกุญแจสู่ชัยชนะแล้วสินะ” หลินซวงกล่าวหน้าตาเฉย “ใครเป็นคนคิด? ถ้าให้ข้าเดา ข้าคิดว่าเป็นคุณหนูอีซาเป้ยลา”

อีซาเป้ยลานั่งอยู่ท่ามกลางกองโจร เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จของนางในศึกสงครามครั้งนี้ทำให้นางซื้อใจโจรคนอื่น ๆ ได้สำเร็จแล้วในที่สุด

นางลุกขึ้นยืน “เจ้านาย ความปราดเปรื่องของท่านทำให้ข้าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก”

“ข้าพอใจในผลงานของเจ้ามาก แต่ในเมื่อเจ้าสามารถสังหารศิษย์ของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ โบสถ์ของนางก็จะไม่ไว้ชีวิตเจ้า อีกไม่นาน ผู้ล่าคนใหม่ก็จะมาถึง และพวกเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนเสียอีก”

คำพูดของเขาทำให้ท่าทีของทั้งกองโจรดูถมึงทึงขึ้นมาทันที

แต่อีซาเป้ยลากลับใจเย็น “ท่านไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อบอกให้พวกเราตายหรอก ใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่าไม่” หลินซวงตอบ

เขากระดิกแขนเพื่อโยนหนังสือเล่มเล็ก ๆ มาให้ “เรียนรู้มัน และเจ้าจะทรงพลังขึ้นอีกมหาศาล”

“เรียนรู้เจ้านี่หรือ?” อีซาเป้ยลามองหนังสือเล่มนั้นและเห็นว่าชื่อของมันคือการฝึกตนพื้นฐาน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ขณะที่นางอ่านหนังสือดูคร่าว ๆ นางก็โพล่งออกมา “นี่ไม่ใช่วิชาที่พวกเรานักรบเคยฝึกฝนมาก่อน”

“ใช่แล้ว มันคือวิธีการฝึกตนแปลกใหม่ที่ข้าจดบันทึกมา และมันไม่ได้เป็นของแดนแห่งศิลปะการต่อสู้” หลินซวงตอบอย่างนิ่งเฉย

แน่นอนว่าเขาได้ปรับเปลี่ยนวิชาบ่มเพาะให้เข้ากับร่างกายของผู้คนที่อาศัยอยู่ในฟากนี้ของปราการแล้ว หากผู้ใดปฏิบัติตามวิธีการฝึกตนภายในหนังสือเล่มนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ศักยภาพที่ซ่อนเร้นของพวกเขาก็จะพัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน

การมอบของรางวัลเช่นนี้ให้กับกลุ่มโจรก็เหมือนกับการโยนไข่มุกให้สุกร

หนึ่งในกองโจรหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าเขียนนี่หรือ? เจ้าเป็นเพียงนักรบระดับ 1 เจ้ามีสติปัญญาแบบไหนกันเนี่ย?”

โจรคนนั้นไม่กลัวความตายอย่างแท้จริง

แต่ถ้ามันกลัวตาย มันก็คงไม่มาเป็นโจรตั้งแต่แรก

หลินซวงไม่แม้แต่กะพริบตาขณะที่ออกคำสั่ง “สังหารมันเสีย”

ฟุ่บ!

ร่างสีดำพุ่งไปข้างหน้า หุ่นเชิดเนื้อมนุษย์นั่นเอง มันดูราวกับว่าได้เคลื่อนกายไปข้างหน้าโจรผู้หยาบคายก่อนจะจวกกรงเล็บลึกเข้าไปในหน้าอกของโจรคนนั้น เมื่อมันกลับคืนสู่สภาพเดิม กรงเล็บของมันคว้าเอาหัวใจที่ยังเต้นตุบ ๆ ของโจรใจกล้าออกมาด้วย

“เจ้า…!” โจรผู้นั้นตะโกนลั่นก่อนจะล้มคะมำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ลั่วปิน! นั่นลั่วปิน!” โจรคนอื่น ๆ ร้องลั่นด้วยความตกตะลึง

พวกมันสังเกตว่ามีบางสิ่งยืนอยู่ข้างหลังร่างสีดำในที่สุด หัวหน้าเก่าของพวกมัน ลั่วปินนั่นเอง

“อย่างที่เจ้าเห็น นี่คือลั่วปิน มันคือหุ่นเชิดตัวใหม่ของข้า และเป็นตัวที่มีพลังต่อสู้ที่เยี่ยมยอด นี่คือทักษะและความแข็งแกร่งของข้า! นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย ถ้าใครไม่เชื่อฟังคำสั่งหรือแสดงความไม่พอใจที่ข้าเป็นผู้นำ ข้าก็แค่จะเปลี่ยนเจ้าให้เป็นหุ่นเชิดและใช้งานเจ้าเท่านั้นเอง แต่ถ้าพวกเจ้าทุกคนทำตามคำสั่งข้าอย่างว่านอนสอนง่ายและแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีค่าพอ ข้าก็ยินดีจะปล่อยเจ้าไป ยังไงซะการสร้างหุ่นเชิดก็ใช้เวลาและพลังงานไม่น้อยทีเดียว”

กองโจรเงียบสงัดด้วยความหวาดกลัว

หลินซวงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ต้องอย่างนี้สิ เจ้าสามารถสาปแช่งข้าในใจเท่าไหร่ก็ได้… ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าบางคนกำลังเรียกข้าว่าปีศาจแน่ ๆ ใช่ไหมล่ะ?”

กองโจรได้รับคลื่นความตกตะลึงอีกครั้ง ชายคนนี้คือปีศาจตัวจริงหากเขากระทั่งได้ยินความคิดของพวกมัน

หลินซวงพูดต่อ “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะคิดอะไรอยู่ในใจ ที่ข้าสนใจมีแค่ว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าบอกหรือไม่ ศึกษาวิชาที่บันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ผู้ที่ทำสำเร็จจะถูกข้าใช้งาน และผู้ที่ล้มเหลว… จะกลายเป็นหุ่นเชิด เข้าใจไหม?”

ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

แล้วหลินซวงก็หันไปมองอีซาเป้ยลา “เจ้าทำได้ดีมาก แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ขยันทำงานต่อไป นี่คือโอกาสให้ทั้งพวกเขาและให้กับเจ้าด้วย”

หลังจากที่พูดเช่นนั้น เขาก็กระโดดกลับขึ้นไปบนหลังของลั่วปินและจากไป

กองโจรพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นผู้นำคนเก่าถูกเปลี่ยนเป็นยานพาหนะ ตอนนั้นเองที่พวกมันได้รู้ถึงเสี้ยวหนึ่งของลักษณะนิสัยที่แท้จริงของเจ้านาย

อีซาเป้ยลาตกลงสู่ห้วงความคิด

นี่คือการให้โอกาสแก่ทั้งพวกมันและตัวนางเอง

หากหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างที่หลินซวงกล่าวไว้จริง นางก็คงจะแข็งแกร่งขึ้นมากในอีกไม่ช้า

หากนางต้องการเป็นหัวหน้าโจรเหล่านี้ แค่ความเฉลียวฉลาดอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ นางจำเป็นต้องแข็งแกร่ง!

และหนังสือเล่มนี้ก็อาจเป็นกุญแจที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!

อีซาเป้ยลาแอบบีบหนังสือแน่นขึ้นเมื่อนางนึกสิ่งนี้ขึ้นได้

คืนนั้น อีซาเป้ยลาเริ่มฝึกตนตามวิธีการที่บันทึกอยู่ในหนังสือ

ผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตคุนล้วนจดจ่ออยู่กับการพัฒนาสภาพร่างกายโดยใช้ตัวกระตุ้นภายนอกเพื่อเปิดใช้งานอวัยวะพิเศษในร่างกาย อวัยวะนี้จะดูดซับพลังต้นกำเนิดเมื่อถูกกระตุ้นโดยความเจ็บปวด พลังต้นกำเนิดนี้จะหลงเหลืออยู่ในร่างกายในรูปแบบของก้อนเมฆอันมีเอกลักษณ์ นี่คือพื้นฐานในการสร้างเมล็ดต่อสู้ขึ้นมา

นักรบเหล่านี้สามารถรับพลังปริมาณไม่น้อยมาได้ด้วยวิธีการนี้ และพวกเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้นและมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ในทางกลับกัน การฝึกตนพื้นฐานที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ทำงานด้วยการสร้างพื้นฐานโดยตรงผ่านการฝึกจิต

นี่ยังเป็นเหตุผลที่กองโจรไม่เชื่อในหนังสือเล่มนี้ในตอนแรกด้วย

อีซาเป้ยลาคงเป็นผู้เดียวที่เชื่อว่ามันจะใช้การได้

เพราะหนังสือเล่มนั้นสัญญาว่าจะมอบสิ่งที่นางต้องการให้ อย่างไรแล้ว การพัฒนาร่างกายก็เป็นเรื่องสุดโต่งสำหรับผู้หญิง และนางก็ไม่มีวิธีการฝึกตนอื่นนอกจากวิธีที่พบในหนังสือที่นางถือไว้ในมือ

บางทีอาจเพราะเหตุผลนี้ที่อีซาเป้ยลาสนใจในวิชานี้อย่างถึงที่สุด

หลังจากคืนเดียวของการฝึกจิต นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างแล้ว

เมล็ดต่อสู้ได้ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของนางแล้ว อีซาเป้ยลาทั้งประหลาดใจและดีใจ “เมล็ดต่อสู้หรือ!? ข้าสร้างเมล็ดต่อสู้ขึ้นมาแล้วจริง ๆ ด้วย!”

“อะไรนะ?” ทั้งกองโจรตกตะลึงในพัฒนาการของนาง

ปาเอ่อร์ปั๋วรีบวิ่งมาหา “หัวหน้า ท่านมีปราณต่อสู้แล้วจริง ๆ หรือ?”

“ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ แต่มันรู้สึกเหมือนปราณต่อสู้แน่นอน” อีซาเป้ยลาตอบ

“เป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงได้รับปราณต่อสู้ยากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า อย่าว่าแต่การได้รับมาชั่วข้ามคืนเลย”

ผู้ชายมักจะต้องใช้เวลา 1 ปีของการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาปราณดาบขึ้นมา ผู้ที่มีวิชาบ่มเพาะระดับสูงจากโบสถ์เท่านั้นที่สามารถสร้างเมล็ดต่อสู้ขึ้นภายในราว ๆ 3 เดือนได้

การพัฒนาปราณต่อสู้ขึ้นภายในคืนเดียวนั้นเกินกว่าจะเข้าใจได้จริง ๆ

“ทำไมเราไม่ทดลองกันหน่อยล่ะ?” หนึ่งในกองโจรใจกล้ายื่นมือออกมาและแตะแก้มของอีซาเป้ยลา เห็นได้ชัดว่ามันอยากทำเช่นนั้นมานานมากแล้ว

อีซาเป้ยลาใช้ฝ่ามือโจมตีออกไปตามสัญชาตญาณพร้อมเสียขวัญอย่างหนัก

ฝ่ามือของนางปะทะเข้ากับแขนของโจรคนนั้น ด้วยแสงสีขาวจาง ปราณต่อสู้ระเบิดออกมาจากร่างกายนางและตัดแขนของโจรอีกฝ่ายออกเป็น 2 ส่วน ส่งให้เขากระเด็นลอยออกไป

ทั้งกองโจรตกตะลึงเมื่อเห็นเช่นนั้น แต่อีซาเป้ยลาเพียงแค่ดึงมือกลับมาและถอนหายใจหลังจากที่สัมผัสได้ถึงสภาพร่างกายของตน “การโจมตีฝ่ามือธรรมดานั้นใช้ปราณต่อสู้ไปปริมาณมาก ข้าสามารถโจมตีได้มากที่สุดอีก 2 ครั้ง เป็นค่าใช้จ่ายที่เยอะอะไรอย่างนี้!”

ทุกคนตะลึงงัน

เมล็ดต่อสู้คือเมล็ดจริง ๆ

ตัวเมล็ดไม่ได้อันตรายมากนัก แต่มันสามารถเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด เมล็ดที่พึ่งถูกสร้างขึ้นควรจะส่งพลังให้ปลดปล่อยการโจมตีฝ่ามือได้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่เพียงแค่อีซาเป้ยลาสร้างเมล็ดของตนขึ้นได้ในคืนเดียว นางกระทั่งสะสมปราณต่อสู้มากพอที่จะปลดปล่อยการโจมตีฝ่ามือติดต่อกันอย่างรวดเร็วได้ถึง 3 ครั้งอีกด้วย

ความรวดเร็วในการฝึกนั้นช่างศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ!

ไม่มีใครรู้ว่าจะพูดอะไรดี

พวกเขาล้วนมองหน้ากันไปมาก่อนจะแยกย้ายกันออกไปโดยไร้ซึ่งคำพูด พวกเขาไปเริ่มฝึกตนอย่างกระตือรือร้นนั่นเอง

เมื่ออีซาเป้ยลาเห็นดังนั้น นางก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

นางแข็งแกร่งพอจะรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้แล้วในที่สุด หวังว่านางจะไม่ถูกคุกคามโดยโจรเหล่านี้มากนักหลังจากนี้

พูดถึงเรื่องนั้น เจ้านายของนางคนนี้นั้นลึกลับยิ่งนัก

เขาคือใคร? และเขาเป็นผู้ครอบครองวิชาบ่มเพาะที่ทรงพลังจนน่าตกใจขนาดนี้ได้ยังไง?

เขากำลังตามหาอะไรกันแน่?

อีซาเป้ยลาหลับไปทั้งที่คิดอยู่อย่างนั้น