ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 66 การแทรกซึม (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 66 การแทรกซึม (3)

อีซาเป้ยลาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

ในพริบตาเดียว นางก็กลายเป็นหัวหน้ากองโจรที่พยายามทำร้ายเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เสียแล้ว

นี่… นี่หมายความว่าอย่างไร?

แต่หากนางไม่ตอบตกลง อีกฝ่ายก็คงไม่ไว้ชีวิตนางเป็นแน่ อย่าว่าแต่ช่วยนางแก้แค้นเลย

แต่หากนางตกลง แล้วนางจะแก้แค้นได้อย่างไร?

นางพูดตะกุกตะกัก “ข้า…… ข้าไม่เคยเป็นหัวหน้าใครมาก่อน”

“เจ้าเป็นทายาทของครอบครัวใหญ่ เจ้าก็ควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากมาก่อน ถูกไหม? ดูแลกองโจรนี้เหมือนกับข้ารับใช้เก่าของเจ้า ทำความรู้จักกับพวกมันก่อน แล้วจึงแจกจ่ายงานให้ไปทำ มอบรางวัลให้คนที่เชื่อฟังและลงโทษคนที่ขัดขืน อย่างเช่น พวกมันควรถูกลงโทษที่ทำผิดไปในวันนี้…”

ขณะที่ร่างสีดำสนิทพูด มันก็โบกมือช้า ๆ

ทั้งกองโจรเริ่มร้องโอดครวญอย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นได้ชัดว่าเขาได้ลบล้างผลของยาแล้ว ทำให้คำสาปแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายของพวกมันด้วยความเจ็บปวด

แต่คำสาปนี้เบาบางกว่าคำสาปที่ทรมานลั่วปินมหาศาล ผิวหนังของพวกมันไม่ได้ละลายหายไปในทันที แต่เลือดภายในร่างกายก็ไหลซึมออกมาจากผิว ทำให้รูปลักษณ์ของพวกเขาดูน่าหวาดกลัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

อีซาเป้ยลาสั่นสะท้านขณะที่นางตะโกนลั่น “พอแล้ว! พวกเขาไม่ได้ทรยศเจ้า พวกเขาแค่เลือกที่จะเป็นกลาง!”

กระทั่งขณะที่นางพูดคำเหล่านั้นออกมา อีซาเป้ยลาก็ไม่อยากจะเชื่อว่านางกล้าพอจะพูดกับร่างน่าสะพรึงกลัวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ท้าทายยิ่งนัก

แต่อึดใจต่อมา คำสาปนั้นก็หยุดลงจริง ๆ

ร่างสีดำเอ่ยขึ้น “ถ้าเจ้าบอกว่าพอก็พอ”

เขาหันกลับไปมองยังโจรทั้งหลาย “การลงโทษของพวกเจ้าจะหยุดลงแค่นี้เพราะความใจดีของหัวหน้าใหม่ของพวกเจ้า”

อีซาเป้ยลาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก นางเองก็ไม่ใช่คนโง่และเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังช่วยนางสร้างมิตรไมตรีและน่าเคารพนับถือ

นี่จะทำให้นางทำงานได้ง่ายขึ้น แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรก็ตาม

อีซาเป้ยลาสูดลมหายใจเข้าและเอ่ยขึ้น “ข้าต้องรู้จักชื่อ ความสามารถ ความแข็งแกร่ง และสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวันของพวกเจ้าทุกคน”

“ง่ายนิดเดียว ปาเอ่อร์ปั๋ว!” ร่างสีดำส่งเสียงเรียก

ชายชราหนวดเคราเฟิ้มรีบตะเกียกตะกายมาหา

“ปาเอ่อร์ปั๋วติดตามลั่วปินมาหลายปีแล้ว เจ้านี่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ดีทีเดียว มันจะเป็นผู้ช่วยเจ้า”

“ก็…ได้” อีซาเป้ยลาพยักหน้าขณะที่นางทำใจแข็งไว้

ร่างสีดำแบกร่างของลั่วปินและเริ่มเดินห่างออกไป “งั้นข้าจะทิ้งที่นี่ไว้ให้เจ้า จำไว้ว่าเจ้ามีเวลา 3 วันในการทำความคุ้นเคยกับที่แห่งนี้”

“3 วัน? จะเกิดอะไรขึ้นในอีก 3 วันหรือ?”

“อีก 3 วันต่อจากนี้ กลุ่มทหารจะรายล้อมเจ้า มีทั้งบาทหลวง 2 คน นักรบศักดิ์สิทธิ์ 4 คน และข้ารับใช้ของพวกมันอีกราว 20 คน”

อะไรนะ?

ทั้งกองโจรตะลึงงันเมื่อพวกเขาได้ยินข่าวนี้

บาทหลวงของโบสถ์นั้นรับมือยากยิ่งนัก และนักรบศักดิ์สิทธิ์ของพวกนั้นก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า

นักรบที่ทรงพลังที่สุดของกองโจรก็หมดอำนาจไปแล้ว แม้ว่ามันจะยังอยู่ แต่พวกมันก็ยังไม่อาจเอาชนะศัตรูที่แข็งแแกร่งถึงเพียงนั้นได้

“ป่าอ้างว้างจะขัดขวางพวกนั้นไว้ได้ไหม?” อีซาเป้ยลาถาม

“ถ้าพวกมันกล้าเข้ามาในป่าก็แปลว่าได้เตรียมการมาแล้ว อันที่จริง มีวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถลบล้างคำสาปที่ปกคลุมป่าแห่งนี้ได้อยู่บ้าง” คำตอบของร่างมืดมิดทำให้กองโจรท้อแท้ไม่น้อย

“งั้นถ้าเราทนจนถึงตอนนั้นไม่ไหวล่ะ?” อีซาเป้ยลาถามต่อ

ร่างสีดำตอบง่าย ๆ “เช่นนั้นเจ้าก็จะตาย”

“เจ้าไม่ปล่อยให้พวกเราตายง่าย ๆ แบบนั้นหรอกใช่หรือไม่? ถ้าเราตาย เจ้าก็จะไม่มีกองโจรให้ใช้งานอีกแล้วนะ”

อีซาเป้ยลายังพยายามต่อรองให้ได้ผลประโยชน์มากขึ้น

นางยังหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ดีกว่านี้

แต่โชคไม่ดีนักที่ความเป็นจริงทำให้นางต้องผิดหวัง

ร่างสีดำตอบอย่างเย็นชา “เจ้าผิดแล้ว ถ้าเจ้าตาย ข้าก็จะหาคนกลุ่มใหม่มาสนับสนุน กองโจรปีศาจจะมีอยู่ตลอดไป แม้ว่าอาจจะไม่ใช่กลุ่มของเจ้าในอนาคตก็ตาม”

หลังจากที่ร่างสีดำเอ่ยคำพูดเหล่านั้น ก็กลับหันหลังและหายวับไป ทิ้งให้กองโจรขวัญหนีดีฝ่อ หลังจากที่ออกมาแล้ว ใบหน้าของร่างนั้นก็เปลี่ยนไป เผยให้เห็นใบหน้าของหลินซวง

แม้ว่าเขาจะยังเด็กและมีพละกำลังในระดับธรรมดา ความสามารถบางส่วนของเขาก็เกินไปกว่าเพื่อนร่วมรุ่นมาก ซึ่งรวมไปถึงการสร้างคำสาปที่คละคลุ้งอยู่ในป่าอ้างว้างด้วย

วิธีที่เขาจะใช้ลั่วปินก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความฉลาดเกินอายุนั้นด้วยเช่นกัน

หลินซวงผู้เสียดายความขาดแคลนในวัสดุพร้อมใช้งานมาโดยตลอด มีร่างกายของนักรบระดับ 3 แล้วในตอนนี้

ดังนั้นแล้ว หลังจากที่เดินทางออกจากป่าอ้างว้าง เขาก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำในบริเวณใกล้เคียงทันที สถานที่แห่งนี้คือห้องทดลองลับที่เขาใช้ทำการทดลองและวิจัยทุกสิ่ง

นี่รวมไปถึงความเข้าใจในชีววิทยาในฟากนี้ของปราการด้วย หลินซวงเคยค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตที่เกิดในอาณาเขตคุนนั้นเหมาะจะถูกใช้เป็นโครงหุ่นเชิดอย่างถึงที่สุด

ทฤษฎีเบื้องหลังคือการใช้ร่างกายเป็นโครงร่างและผสานมันเข้ากับวัสดุเสริมหลายชนิด ด้วยพิมพ์เขียวทั่วไปนี้ หลินซวงได้พัฒนาวิธีการสร้างหุ่นเชิดชนิดแปลกใหม่ขึ้นมา

และด้วยพิมพ์เขียวนี้ หลินซวงสามารถสร้างกองทัพสมุนที่ซื่อสัตย์ได้ก่อนที่จะโตเต็มวัยเสียอีก

หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ หลินซวงก็เริ่มสร้างหุ่นเชิดตัวแรกขึ้นมา…

ขณะเดียวกัน อีซาเป้ยลาและกองโจรของนางก็เริ่มตื่นตระหนก

คำพูดไร้อารมณ์ของหลินซวงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกมันอย่างไม่จบสิ้น

ไม่มีโอกาสให้พวกมันหลบหนี ในเมื่อมีคำสาปไหลเวียนอยู่ในร่างกาย พวกเขาก็คงจะต้องตายหากไม่ได้รับยาระงับอาการของเจ้านายอย่างสม่ำเสมอ

ในเมื่อพวกเขาไม่อาจหลบหนีได้ ทางเลือกเดียวคือคิดหาวิธีการป้องกันภัยที่กำลังจะเข้ามาถึง

กองโจรสุมหัวคุยกันขณะที่พวกเขาถกเถียงแผนปฏิบัติการที่เป็นไปได้ร่วมกัน

“พวกเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เราจะสู้กับพวกมันเต็มกำลัง!” หนึ่งในโจรที่ใจร้อนคำรามลั่น

“แบบนั้นพวกเราโดนฆ่ากันหมดแน่ ไม่มีทางที่เราจะเอาชนะการเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นได้หรอก”

“แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำยังไงล่ะ?”

“พวกเราซ่อนตัวและลอบโจมตีกันเถอะ”

“เจ้าล้อเล่นหรือไง? กับดักของเจ้ามันก็แค่ของเด็กเล่นเท่านั้น ‘นี่ ดูสิ ข้าจับเจ้าได้ด้วย!’ นี่คือสิ่งที่เจ้าจะบอกพวกเขาหรือ? เจ้าคิดว่าการกระโดดออกมาจากกอหญ้าหมายความว่าเจ้าสามารถสังหารพวกเขาได้เลยงั้นหรือ? ช้าจะหัวเราะจนตายแล้ว”

“ไม่จำเป็นต้องรอจนเจ้าหัวเราะตายหรอก อีกไม่นานก็ได้ตายแล้ว!” โจรที่กำลังถูกล้อเลียนตะโกนอย่างฉุนเฉียว

แล้วทั้งสองก็เริ่มต่อสู้กัน โจรคนอื่น ๆ ไม่ได้พยายามหักห้ามแม้แต่น้อย พวกเขากลับล้อมวงและส่งเสียงเยอะเย้ยทั้งสองคนนั้น

นี่เป็นเพียงพฤติกรรมทั่วไปของโจรเท่านั้น แม้ว่าท้องฟ้ากำลังจะล่มสลายก็ไม่อาจคาดหวังให้พวกเขาทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ได้แม้แต่น้อย

อีซาเป้ยลารู้สึกปวดหัวขึ้นมา

แม้จะพยายามเรียกความสนใจไม่หยุดก็ไม่มีใครฟังนาง

พวกมันยังตะโกนโห่ร้องและทะเลาะกันต่อไปอย่างโกลาหลโดยเมินเฉยต่อ ‘หัวหน้า’ อีซาเป้ยลาโดยสมบูรณ์

พวกมันไม่ฟังข้าเลยสักนิด! ข้าเป็นแค่ผู้นำในชื่อเท่านั้น อีซาเป้ยลาโอดครวญกับตัวเองในใจ

นางรู้ว่าที่คือผลลัพธ์ทั่วไปของการเป็นตัวปลอมคือไม่มีใครเชื่อฟังนางแม้แต่คนเดียว

แต่ลึก ๆ ในใจ อีซาเป้ยลาก็ไม่ยังยอมแพ้

นางไม่อยากยอมแพ้ที่นี่ เพราะการทำเช่นนั้นก็หมายถึงการกลับไปสู่การเป็นตัวเองคนก่อนหน้าที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจ

ไม่มีทางที่นางจะยอมรับสิ่งนั้น

แม้ว่าทางเลือกนั้นจะเป็นการกลายเป็นโจรก็ตาม

เมื่อข้ากลายเป็นโจรอย่างแท้จริงเท่านั้นที่พวกมันจะยอมรับข้า นางคิดกับตัวเอง

ขณะที่อีซาเป้ยลามองดูโจรทั้งสองเตะต่อยกันเอง ประกายแสงเย็นยะเยือกก็กะพริบผ่านสายตานางในทันใด

นางดูจะได้ข้อสรุปแล้วในที่สุด ก่อนที่จะเดินเข้าไปกลางวงอย่างเด็ดเดี่ยว คว้าไหล่ของหนึ่งในกองโจรไว้ และทุ่มมันลงไปบนพื้น

การโยนจนตัวลอยข้ามหัวครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และเหล่าโจรที่เหลือต่างก็ตกตะลึงกับการขัดจังหวะของนาง

“นี่! เจ้าทำอะไร!” โจรอีกคนดูจะไม่พอใจที่อีซาเป้ยลาเข้ารบกวนการต่อสู้ของตน

อีซาเป้ยลาตอบสนองด้วยการปล่อยหมัดอันโหดร้ายไปยังท้องของโจรผู้นั้น ทำให้เขาต้องล้มคุกเข่าลงกับพื้น

อีซาเป้ยลาป่าวประกาศอย่างเยือกเย็น “ตระกูลคุนเต้อคือครอบครัวของผู้ฝึกยุทธ์ ลูกสาวและลูกชายทุกคนได้รับการฝึกฝนการต่อสู้ระยะประชิด ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ลองเข้ามาสิ”

โจรกลุ่มใหญ่พุ่งเข้าไปหานาง

อีซาเป้ยลาตกใจเล็กน้อย แต่นางก็พยายามกดอารมณ์ไว้อย่างสุดฝีมือ “ข้าคือหัวหน้า พวกเจ้าต้องจำไว้ให้ดี”

แต่หนึ่งในโจรทั้งหลายก็ส่ายหัว “ข้าไม่ยอมรับเจ้าเป็นหัวหน้า”

“ทำไมเจ้าไม่บอกตั้งแต่ตอนที่เจ้านายยังอยู่ที่นี่ล่ะ? เจ้าคิดว่าจะสามารถรอดไปได้โดยไม่ถูกลงโทษหลังจากที่สังหารฆ่าหรือ?” อีซาเป้ยลาข่มขู่มันทันที

เมื่อได้ยินดังนั้น โจรทั้งหลายก็นิ่งงันไปทันที สิ่งที่เกิดขึ้นกับลั่วปินยังชัดเจนในหัวของพวกมัน ก่อนที่จะได้รู้ว่าเจ้านายของตนกำลังคิดวิ่งใดอยู่ ไม่มีพวกมันคนใดกล้าทำอะไรอีซาเป้ยลาทั้งสิ้น

อีซาเป้ยลาถอนหายใจยาวเหยียด ถ้าอย่างนั้นภัยใกล้ตัวอย่างเจ้านายก็ยังใช้ได้ผลสินะ?

แต่พริบตาต่อมา ใครบางคนก็พูดขึ้น “เราไม่อาจเอาชนะบาทหลวงได้และจะต้องตายในไม่ช้าก็เร็ว ใครจะสนใจเจ้านายกัน?”

คำพูดนี้ซื้อใจของเหล่าโจรได้จำนวนมาก

บางคนกระทั่งอยากทำยิ่งกว่านั้น “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราไม่ลองชิมหัวหน้าคนใหม่กันดูหน่อยล่ะ? ถ้ายังไงเราก็ต้องตายอยู่แล้ว ทำไมเราไม่สนุกกันสักหน่อยก่อนตายล่ะ?”

“ความคิดเข้าท่า!” หนึ่งในหมู่โจรหัวเราะอย่างชั่วร้าย

โจรพวกนี้คือขยะล้วน ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะอยู่ในสถานการณ์น่าสิ้นหวังก็ไม่มีคนใดคิดหาวิธีเอาตัวรอดออกจากสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น พวกมันกลับคิดจะหาความสนุกสนานเพลิดเพลินก่อนตายเสียอย่างนั้น

อีซาเป้ยลารู้สึกถึงความสิ้นหวังที่อาบไปทั่วทั้งร่างอีกครั้ง

แต่ตอนที่โจรทั้งหลายกำลังจะคว้านางไว้นั่นเอง ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว

นางแผดเสียงดังสนั่น “ข้ารู้วิธีจัดการบาทหลวงพวกนั้น”

กองโจรหยุดชะงักลงและหันไปจ้องนางเขม็งทันที

อีซาเป้ยลาย้ำ “ข้ารู้วิธีจัดการบาทหลวง แต่เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งข้า”

“ถ้าเจ้ามีวิธีจัดการพวกเขาจริง เราก็ยินดีเชื่อฟังเจ้า” หนึ่งในโจรทั้งหลายเอ่ย

“แล้วเจ้าล่ะ? และเจ้า? และเจ้า?” อีซาเป้ยลาถามด้วยการจ้องมองไปยังโจรรอบกายนางทีละคน

“พวกเราสาบาน ตราบใดที่เจ้าทำได้”

“ข้าสาบานด้วยหลุมศพของแม่ข้าเลย”

ทั้งกองโจรล้วนเห็นตรงกัน แต่ละคนต่างเอ่ยคำสาบานอันแปลกประหลาดของตน

แม้ว่ามันจะฟังดูไม่จริงใจนักก็เห็นได้ชัดว่าคำพูดของนางเริ่มชักจูงกองโจรนี้ได้แล้ว

อีซาเป้ยลาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นางคิดกับตัวเอง เจ้าทำได้ เจ้าทำได้แน่นอน

หลังจากที่ใจเย็นลงบ้างแล้ว นางก็อธิบายต่อไป “กองกำลังของโบสถ์แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน และพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้นสักนิด นั่นคือเหตุผลที่โอกาสรอดเดียวของเราคือการล้อมพวกเขาและหาโอกาสโจมตี”

“นั่นมันวิธีการแบบไหนกัน? เสียเวลาชะมัด” โจรบางส่วนพึมพำด้วยความดูถูก

คนอื่น ๆ ถามขึ้น “เราจะมองหาโอกาสแบบไหนกัน?”

“โอกาสในการสังหารบาทหลวงไงล่ะ!” อีซาเป้ยลาประกาศกร้าว “ตราบใดที่เราสังหารบาทหลวงได้ เราก็จะชนะ”

อะไรนะ? ทุกคนจ้องมองอีซาเป้ยลาด้วยความตกตะลึง

อีซาเป้ยลาอธิบายเสียงดังฟังชัด “แม้ว่าทั้งบาทหลวงและนักรบศักดิ์สิทธิ์จะมีวิชาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็มีความถนัดแตกต่างกัน จากที่ข้าเข้าใจ บาทหลวงควรจะเป็นผู้ขับไล่คำสาป นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจากโบสถ์จะสามารถทำได้ด้วย”

ความสนใจของกองโจรเป็นของนางแล้วในที่สุด “งั้นเจ้าก็กำลังบอกว่า…”

“เราทุกคนจะโจมตีเพื่อสังหารบาทหลวง เมื่อใดที่เขาตาย ก็ไม่มีใครสามารถช่วยปัดเป่าคำสาปให้นักรบศักดิ์สิทธิ์และข้ารับใช้ของพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็จะต้องตายเพราะคำสาปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”

อีซาเป้ยลาพูดต่อ “ดังนั้น แท้จริงแล้วพวกเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับทั้งหมู่คณะ แต่สู้แค่บาทหลวงต่างหาก นี่คือเหตุผลที่เจ้านายปล่อยให้เราต่อสู้เองด้วยเช่นกัน แม้จะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พวกเขาก็มีข้อบกพร่องร้ายแรง ถ้าเราสามารถฉวยโอกาสนี้ได้ ศัตรูของเราก็จะต้องพ่ายแพ้”