บทที่ 70 การแทรกซึม (7)
เสียงการต่อสู้อย่างฉับพลันทำให้เด็ก ๆ ในหอสวดมนต์ตื่นตกใจอย่างมาก หลินซวงผลักเด็กหญิงข้าง ๆ ไปด้านหน้าและเดินไปยังห้องด้านในของโบสถ์
ที่ด้านหลังของหอสวดมนต์คือห้องขนาดเล็ก มันมักจะถูกปิดไว้ตลอดปี ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมีอะไรอยู่ข้างใน
แต่ถึงอย่างนั้น นั่นก็คือสถานที่ที่หลินซวงต้องการไป
เขาชักดาบออกมาจากเอวและฟันประตูตรงหน้า ด้วยพละกำลังของนักรบระดับ 1 ประตูบานนั้นกระเด็นเปิดออกอย่างง่ายดาย
แต่ก่อนที่เขาจะได้เห็นมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังประตู เงาหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหลังประตูในทันใดแล้วกวัดแกว่งดาบที่สั้นแต่แหลมคม แม้ว่าหลินซวงจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กทั่วไป นักรบศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย
หลินซวงมองไปยังดาบที่พุ่งเข้ามาหาตนเองโดยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่นิดเดียว
ตอนที่ดาบกำลังจะแทงตัวเขานั้นเอง ชายแต่งกายสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นข้างหลังหลินซวง มันคือหุ่นเชิดเนื้อมนุษย์ลั่วปิน
ลั่วปินปัดป้องดาบออกไปอย่างง่ายดาย แล้วจึงปล่อยเหล็กไขทำลายล้างออกไป
รัศมีความตายฉายลงบนนักรบศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่านักรบศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดที่สามารถปลดปล่อยพละกำลังของนักรบระดับ 4 ได้ เขาถูกผ่าออกเป็นสองส่วนทันที
หลินซวงก้าวเข้าไปในห้องและพบกับขั้นบันไดที่พาวนลงไปสู่ชั้นใต้ดิน
“เจ้าอยู่เฝ้าประตูนี้ อย่าให้ใครเข้ามา” หลินซวงกล่าวขณะที่เริ่มเดินลงบันได
การต่อสู้เกิดขึ้นภายในโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์อย่างเต็มตัวแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถมายังสถานที่แห่งนี้ได้ และหากพวกเขามา หุ่นเชิดเนื้อมนุษย์ก็จะสามารถกำจัดพวกเขาออกไปเสีย
ขั้นบันไดยาวเหยียดลึกลงไปข้างล่าง หลินซวงรู้สึกราวกับว่าตนกำลังเดินลงไปตามขั้นบันไดอันไร้ที่สิ้นสุด
มันนานเสียจนเขาเริ่มสงสัยว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไปหรือไม่แล้วด้วยซ้ำ
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินซวงก็กลับหลังหันและเริ่มเดินกลับขึ้นข้างบน เพียงไม่กี่ขั้นเขาก็กลับมายังห้องเดิม หุ่นเชิดเนื้อมนุษย์ยังยืนเฝ้ายามอยู่ที่นั่น
“น่าสนใจ” หลินซวงพึมพำกับตัวเอง
งั้นก็บันไดนี้ก็มีอะไรในกอไผ่จริง ๆ
ยามใดที่เขาเดินลงไป ดูเหมือนว่ามันจะไร้ที่สิ้นสุด
เด็กชายสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่กฎแห่งพลังสูญ อย่างไรแล้ว ด้วยความหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่รู้หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะใช้กฎแห่งพลังสูญไม่ได้ การลบล้างมันก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่ถ้ามันไม่ใช่พลังสูญแล้วมันคืออะไรกัน?
แต่ขณะที่เขากำลังสงสัยในตัวเองอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง “เจ้าพยายามจะเดินผ่านเครื่องในป่าหรือ?”
เส้อหลินน่านั่นเอง
นางยืนอยู่ข้างนอกห้อง ตั้งใจจ้องเขาเขม็ง
หลินซวงรู้สึกว่าหัวใจสั่นไหว “เจ้ารู้ไหมว่านี่คืออะไร?”
เส้อหลินน่าประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้ว่ามันคืออะไรหรือ? งั้นทำไมเจ้าต้องอยากมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
หลินซวงตอบ “เพราะมีบางสิ่งที่ข้าต้องการอยู่ข้างล่างนั่น อะไรคือเครื่องในป่าหรือ?”
เส้อหลินน่าตอบ “ป่านี้แท้จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณขนาดยักษ์ มันใหญ่จนสามารถกินอาหารได้ไม่จำกัด ต่อมามันทำให้เทพเจ้าโกรธเข้าและถูกพวกเขาสังหาร บันไดนี้น่ะถูกสร้างขึ้นจากเครื่องในของมัน เห็น ๆ อยู่ว่ามันไม่มีจุดจบ ก็เหมือนกับความหิวกระหายของป่านั่นแหละ”
“อย่างนี้นี่เอง” หลินซวงดูเหมือนจะเข้าใจ
ป่าแห่งนี้คงจะเป็นเทพอสูรบรรพกาลโบราณสักชนิดหนึ่ง นี่ไม่ใช่บันไดกฎแห่งพลังสูญ แต่มันคือพลังแต่กำเนิดของเทพอสูรบรรพกาลต่างหาก เป็นไปได้สูงว่ามันจะสามารถขยายเครื่องในได้ตามอำเภอใจ
หลินซวงไม่เคยรู้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้รับบทเรียนประวัติศาสตร์บางส่วนมาแล้ว เด็กชายก็รู้วิธีการรับมือกับสถานการณ์นี้ทันที
เขาเดินกลับลงไปตามขั้นบันไดและยืนอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ
หลังจากผ่านไปสักพัก บันไดก็หายไป เผยห้องใต้ดินให้เห็น
ใช่ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการผ่านเครื่องในป่าไปให้ได้ ตราบใดที่เขาไม่ขยับเขยื้อน เครื่องในก็จะส่งเขาไปยังจุดหมายเอง นี่เป็นเพราะว่าเครื่องในมักจะเรียงรายไปด้วยกล้ามเนื้อเรียบ
พื้นเบื้องล่างนั้นว่างเปล่าโดนสิ้นเชิง จะมีก็เพียงสระน้ำแห่งหนึ่งที่จับตัวเป็นแข็งเท่านั้น ลมหนาวเย็นยะเยือกลอยขึ้นมาจากผิวสระตลอดเวลาราวกับว่าอากาศเองก็กำลังจะแข็งไปด้วย
และที่มาของสระน้ำแข็งนี้คือวัตถุแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง
หัวใจ
หัวใจที่แตกหักลอยอยู่ที่ใจกลางสระและเต้นอย่างเชื่องช้า
“อย่างนี้แล้ว… เจ้าใช่เป้าหมายของข้าไหม? หัวใจของโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์หรือ?” หลินซวงพึมพำกับตัวเอง
แม้ว่าหัวใจจะเป็นเป้าหมายของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม ตอนนั้นเองที่หลินซวงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาได้รับหน้าที่ให้มานำสิ่งใดไป
หัวใจของเทพเจ้า!
เทพเจ้าเหมันต์ยืนอยู่บนฟางเส้นสุดท้ายแล้วอย่างแน่นอน อันที่จริงเขาแทบจะตายอยู่แล้ว มีเพียงหัวใจของเขาเท่านั้นที่ยังเต้นอยู่เบา ๆ ซึ่งก็คือเหตุผลที่โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ครอบครองได้เพียงไม่กี่เขตแดนเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะสนธิสัญญานิรันดร์กาล พวกเขาคงถูกกวาดล้างไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่เทพเจ้าใกล้ตายเท่านั้น!
หลินซวงไม่เคยคาดคิดว่าเป้าหมายแรกของเขาแท้จริงแล้วเป็นเทพเจ้า นี่ทำให้เขาพูดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“เป็นการทดลองที่ใช้ได้เลย” หลินซวงพึมพำกับตัวเองด้วยความตลกขบขัน
นักรบระดับ 1 เผชิญหน้ากับเทพเจ้าใกล้ตายนั้นเป็นการจับคู่ที่ไม่อาจคาดเดาผลได้
เทพเจ้าก็คือเทพเจ้า แม้ว่าพวกเขาจะจะดูเหมือนหมดสติ ทว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็มากพอแล้วที่จะสังหารเขา
หลินซวงรู้เรื่องนั้นดี หากเขาแม้แต่จะพยายามเอาหัวใจนั้นไป มีแนวโน้มสูงยิ่งนักที่พลังงานกระแสความเย็นจะพุ่งเข้ามาสังหารเขาทันที
แต่…
เขามาถึงที่นี่เพื่อสังหารเทพเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เจ้าเป็นเทพเจ้าแล้วยังไงล่ะ?
“เจ้าไม่มีใครให้โทษนอกจากตัวเองเท่านั้น” หลินซวงพึมพำ “ข้าอาจทำอะไรเทพเจ้าที่อ่อนแอกว่าไม่ได้ แต่ข้ากล้าบอกเลยว่ามีบางสิ่งที่ข้าทำได้กับเทพเจ้าแบบเจ้า”
ขณะที่หลินซวงพูด แสงประกายสีเลือดก็เริ่มปกคลุมร่างของเจ้าตัว
สีแดงโลหิตนี้เข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายร่างเป็นมนุษย์ในที่สุด
ซูเฉินนั่นเอง!
ร่างของซูเฉินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหัวใจของเทพเจ้าเหมันต์ เขาก็หัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปในอากาศ พื้นที่ในห้องใต้ดินอันคับแคบนี้มีอยู่จำกัดยิ่งนัก แต่ภาพฉายของซูเฉินก็ยังคงยื่นมือออกไปและไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น แขนของเขาก็ยังไม่แตะโดนกำแพงไม่ว่าเขาจะยื่นออกไปไกลเท่าไรก็ตาม ราวกับว่าห้องใต้ดินนี้แท้จริงแล้วเป็นโลกขนาดใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด หรือทางเดินไร้จุดจบเหมือนกับเครื่องในป่า
เขายังคงยื่นแขนออกไปจนกระทั่งชนกับ ‘ขอบ’ ของห้องใต้ดิน
ทันใดนั้น เขาก็มองดูรอยร้าวเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นบน ‘ท้องฟ้า’ ราวกับว่าดวงตาปิดอยู่กำลังถูกเปิดออก
เศษเสี้ยวจิตวิญญาณยื่นผ่านรอยแยกนั้นไป
มันคือจิตวิญญาณของซูเฉิน จิตวิญญาณจากร่างหลักของเขา!
มือขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและยื่นไปคว้าหัวใจของเทพเจ้าเหมันต์ไว้
นี่คือมือของซูเฉิน
ตอนที่เขากำลังจะคว้าหัวใจของเทพเจ้าเหมันต์ไว้นั่นเอง ลมอันหนาวเหน็บก็พุ่งออกมาจากมัน ลมนี้เยือกเย็นจนแม้แต่ผีสางก็คงถูกแช่แข็งได้ ผลึกน้ำแข็งแล่นไปตามทุกอณูผิวบนมือและแช่แข็งมันอยู่กับที่
แต่ชั่วพริบตาต่อมาน้ำแข็งก็แตกร้าว และมือของซูเฉินก็กำรอบหัวใจต่อไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เย่อหยิ่งอะไรอย่างนี้!”
เสียงของจิตวิญญาณอันโกรธเกรี้ยวดังสนั่นลั่นห้องใต้ดินในทันใด
“เจ้าเป็นใคร? เจ้ากล้าทำให้ร่างของเทพเจ้าเปรอะเปื้อนได้อย่างไร?” แต่ละคำที่ดังออกมานั้นมีพลังมากพอที่จะทลายจิตใจของคนคนหนึ่งได้เลย
หลินซวงตัวน้อยรู้สึกราวกับว่าทั้งร่างกายของเขากำลังจะแหลกสลาย แม้จะถูกร่างกายหลักปกป้องไว้ก็ตาม
“ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือข้ามีวิธีใช้ประโยชน์จากเจ้า” มือของซูเฉินยังคงลดลงต่ำอย่างไม่หยุดยั้ง
ฟู่!
ปราณเยือกแข็งพุ่งออกมาจากหัวใจที่แตกระแหงอีกหนึ่งครั้งเพื่อพยายามจะหยุดมือของซูเฉินไว้
แต่ซูเฉินก็หมดความอดทนเสียแล้ว เขาได้แต่ปลดปล่อยความแข็งแกร่งของร่างกายหลักด้วยการใช้หลินซวงน้อยเป็นช่องทาง เขาจึงไม่สามารถใช้พละกำลังทั้งหมดได้ ในขณะนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าเทพเจ้าเหมันต์สามารถโจมตีตอบโต้ได้แม้จะอยู่ในสภาวะไร้สติก็ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การโจมตีจากอีกฟากของปราการอย่างโลกใบนี้ก็จะดึงดูดความสนใจมากมายเข้ามาได้ง่ายด้วย หากกระทำของเขาไปบังเอิญไปสะดุดตาของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ เข้า เขาจะต้องเจอปัญหาหนักแน่นอน
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ซูเฉินก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาและจิ้มนิ้วมือลงไป พลังงานทำลายล้างแสนทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากนิ้วและกดหัวใจของเทพเจ้าเหมันต์ไว้ เป็นแรงเหวี่ยงที่ทรงพลังพอจะเคลื่อนไหวภูเขาหรือมหาสมุทรได้
“ไม่!” เทพเจ้าเหมันต์รู้ว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น เขามีหัวใจเหลืออยู่เพียงดวงเดียวและไม่อาจป้องกันการโจมตีของซูเฉินได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไร้ซึ่งพลังไปเสียทีเดียว
ผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบหัวใจและผนึกมันไว้ข้างใน
ผลึกที่สร้างขึ้นนี้มาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทนทานอย่างถึงที่สุด กระทั่งเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ก็ทำลายมันได้ยาก นี่คือทางรอดสุดท้ายของเทพเจ้าเหมันต์
และไม่มีใครคาดคิด พลังทำลายล้างที่แผ่กระจายออกมาจากนิ้วของซูเฉินหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ทำให้นิ้วของเขากระเด้งออกจากน้ำแข็งโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
“สุดท้ายเจ้าก็ต้องผนึกตัวเองอยู่ดีหรือ ฮึ?” ซูเฉินหัวเราะเยาะเย้ย
การโจมตีข้ามปราการจะเพิ่มภาระให้แก่ร่างหลักของเขาหนักทีเดียว จึงไม่มีทางที่เขาจะปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังถึงเพียงนั้นได้ เขาแค่ทำเหมือนว่าสามารถทำได้ แต่มันก็มีประสิทธิภาพอย่างน่าประหลาดใจ และเทพเจ้าเหมันต์ก็ผนึกตัวเองไว้เป็นอย่างดี
“ฮ่า ๆๆ ไม่เลวนี่! ตอนนี้ข้ารู้วิธีการใช้สิ่งนี้แล้ว” มือยักษ์ของซูเฉินยื่นออกไปอีกครั้ง คว้าหัวใจแช่แข็งของเทพเจ้าเหมันต์ไว้และยกมันขึ้นในอากาศ
ในขณะเดียวกัน หลินซวงก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณร่างหลักของซูเฉินและรู้ว่าหัวใจของเทพเจ้าเหมันต์สามารถใช้เพื่อเสริมแกร่งปราการได้ ทำให้มนุษย์บนทวีปต้นกำเนิดมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกถึง 3 ปี
“เจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว เจ้าต้องตามหาวัตถุชิ้นที่ 2 ให้ไวที่สุด” จิตวิญญาณของร่างหลักเร่งเร้า
นิ้วมือชี้ไปยังหลินซวงและส่งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเข้าไปในร่างของเด็กชาย
ตู้ม! เมื่อเศษเสี้ยวจิตวิญญาณได้เข้าไป หลินซวงก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกาย
พลังที่หลับใหลมาเนิ่นนานเริ่มหมุนเวียนในที่สุด และสายเลือดของเขาก็เริ่มตื่นขึ้น!
เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว จิตวิญญาณร่างหลักของซูเฉินก็หายไปในที่สุด
เหลือเพียงหลินซวงคนเดียวที่ยังตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป
“ตรงนี้! ตรงนี้!”
เสียงการต่อสู้ดังอยู่เหนือศีรษะ
ดูเหมือนว่าทหารข้างบนจะสัมผัสได้ถึงความโกลาหลข้างล่างและกำลังลงมาที่นี่
ร่างหลักของซูเฉินจากไปแล้วและจะไม่สามารถช่วยเหลือหลินซวงได้อีกต่อไป ที่เหลือขึ้นอยู่กับเขา
ปัง!
หุ่นเชิดเนื้อมนุษย์ตกลงกระแทกพื้น เค่อหลี่ชือทัวฝูปรากฏตัวขึ้นไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยเลือดทั้งตัว
“หลินซวง! เจ้าเองหรือ? เช่นนั้นครอบครัวของเจ้าก็เป็นผู้ยุยงทุกสิ่งขึ้นมาหรือ?” หัวหน้านักบวชไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง “งั้นทั้งหมดนี่ก็เป็นความคิดของเฟยปี่นั่วหรือ? เจ้าต้องอยากโค่นล้มโบสถ์มาตั้งนานแล้วแน่ ๆ และกระทั่ง… เทพเจ้า กำลังเกิดอะไรขึ้น? เทพเจ้าเหมันต์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่ไหน? เจ้าพาเขาไปไหน?”
เค่อหลี่ชือทัวฝูโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากเมื่อสังเกตเห็นว่าหัวใจของเทพเจ้าเหมันต์หายไปแล้ว
“เขาไปยังที่ที่เขาควรจะไป” หลินซวงตอบอย่างใจเย็น “กานปั๋วเอ่อร์นั้นไร้ค่าที่อนุญาตให้เจ้าเดินทางลงมาถึงที่นี่ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะมอบผลงานนี้ให้เขาหลังจากที่สังหารเจ้าแล้ว”
ขณะที่พูด ทั้งร่างกายของหลินซวงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
กระดูกของเด็กชายเริ่มยืดขยายออกทำให้ร่างกายของเขาเติบโตขึ้น รูปร่างผอมบางอ่อนแอของเขาเริ่มเต็มอิ่มขึ้น ในพริบตาเดียว เด็กคนนี้ก็เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มร่างกำยำและแข็งแรง
“เทพเจ้า!” เค่อหลี่ชือทัวฝูตาเหลือกขณะที่จ้องมองไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
“ในที่สุดสายเลือดของข้าก็ตื่นขึ้นแล้ว!” หลินซวงร้องลั่นด้วยความสุขสำราญใจ
เขาสะบัดมือและเท้าเบา ๆ “ข้าถูกขังอยู่ในเปลือกพัง ๆ นี่มากว่า 7 ปี ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระจากความอ่อนแอของมันแล้ว เพื่อไว้อาลัยแก่เหตุการณ์นี้ ข้าควรใช้เจ้าเป็นเครื่องสังเวย”
ขณะที่พูด เขาก็ขยับมือและแนวเพลิงก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องใต้ดินในทันใด