ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 71 การแทรกซึม (8)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 71 การแทรกซึม (8)

โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ถูกกวาดล้างสิ้นในวันนั้น

จากนั้นโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็ขยายอิทธิพลไปยังขุนนางเฟยปี่นั่ว และกานปั๋วเอ่อร์เป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากเรื่องที่เกิด

แม้เขาจะมีหลักฐาน ‘มากพอ’ จะพิสูจน์ได้ว่าโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์เป็นฝ่ายผิด แต่การกระทำของกานปั๋วเอ่อร์ยังคงมาพร้อมกับความหมายมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ บางคนก็เริ่มตระหนักว่าเมื่อปราการล่มสลาย สนธิสัญญานิรันดร์กาลที่กีดกั้นเผ่าเทพก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างเทพต่าง ๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขายังเป็นมิตรกัน แต่ก็เป็นศัตรูด้วยเช่นกัน

นับเป็นสิ่งที่ซูเฉินหวังจะให้เกิด อย่างไรศัตรูที่ร่วมมือกันดีนั้นก็รับมือได้ยากกว่าศัตรูที่แตกแยกกัน

แต่นั่นก็ยังห่างไกลจากการสะบั้นความสัมพันธ์พวกเขานัก แผนของซูเฉินยังเพิ่งเริ่มต้น เผ่าเทพถึงยังไม่ผิดสังเกต ไม่ใช่เพราะยังไม่เห็นว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น แต่เป็นเพราะมันเล็กน้อยเกินกว่าที่พวกเขาจะสังเกตได้

วันที่โบสถ์เทพเจ้าเหมันต์ถูกล้มล้าง สุดท้ายรู้จักกันในชื่อ ‘วันเหมันต์เยือน’

หลังวันเหมันต์เยือน ฐานะเฟยปี่นั่วก็แทบไม่เปลี่ยน นับว่าเป็นเรื่องดีต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่สิ่งที่เขากังวลคือบุตรชายเขาหายตัวไป

กลุ่มพ่อค้าเดินทางไปตามถนนอย่างเชื่องช้ายามตะวันกำลังจะตกดิน

เอกสารของขบวนเดินทางนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นขบวนของตระกูลว่าวแดง

“รีบออกไปจากพื้นที่โคลนตรงนี้ก่อนตกค่ำเถอะ!”

ชายร่างสูงตะโกนสั่งให้ขบวนเร่งเดินทางจากบนหลังม้า

เพิ่งจะมีพายุซัดเข้าเขตมา ผลคือพื้นจึงเต็มไปด้วยโคลน ล้อรถติดหล่มโคลนอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งใช้แรงกายมหาศาลในการดึงขึ้นมา

ทำให้การเดินทางทั้งช้าและยากลำบากมาก

จังหวะนั้นรถคันหนึ่งก็ตกหล่มอีกแล้ว

ทำให้เฟ่ยหลัวหงุดหงิดมาก พวกเขาคงจะถึงเมืองผาเกรียมภายในค่ำนี้ไม่ทัน ไปได้ครึ่งทางก็นับว่าโชคดีแล้ว

ปัญหาหลักคือยิ่งต้องใช้เวลากลางคืนในป่าก็ยิ่งต้องพบอันตรายมากขึ้น

พวกคนแคระดินเกรียมกับคนแคระหูใหญ่คงได้โอกาสที่รอมานานโจมตีพวกเขาแน่

จังหวะนั้นเองที่ผู้คุ้มกันคนหนึ่งร้องขึ้น “หัวหน้า ดูตรงนั้น!”

เฟ่ยหลัวเหลือบมองตามที่ลูกน้องชี้ เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมา ห่างจากพวกเขาไม่ไกล

ชายหนุ่มผู้นี้ดูธรรมดาและถ่อมตัว สวมชุดสามัญ ผ้าผืนบางคลุมหน้า ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด กระนั้นความเรียบง่ายนี้ยิ่งทำให้เขาโดดเด่นขึ้นในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

ใช่แล้ว ในขณะที่คนอื่น ๆ พยายามดึงตนเองให้หลุดจากหล่มโคลน ชายหนุ่มผู้นี้กลับเดินผ่านพื้นโคลนไปได้โดยไม่ติดหล่มใด ข้ามไปแล้วเสื้อผ้ายังไม่เปรอะสักนิดด้วยซ้ำ

รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและสะอาดสะอ้านของเขาช่างขัดต่อกิริยาอาการที่สง่าดูสูงส่งนัก

“ทุกคนระวังด้วย!” เฟ่ยหลัวเอ่ยเสียงขรึม

เขารู้ดีว่าใครก็ตามที่เดินทางผ่านป่ารกร้างคนเดียวได้ย่อมไม่ธรรมดา หากอีกฝ่ายมีจิตคิดร้าย ก็คงถึงเวลาเขาแสดงฝีมือแล้ว

คนตรงหน้ากำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา

ผู้คุ้มกันที่ระแวงหน่อยเอื้อมมือจับคันธนู

คนคนนั้นหยุดอยู่ห่างจากพวกเขาราว 20 หมี่ จากนั้นเอ่ยถาม “ช่วยบอกทางไปป่าดินสงบได้หรือไม่?”

แค่ถามทางหรือ?

ผู้คุ้มกันเหลือบมองกัน

หากไร้คำสั่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าตอบ

เฟ่ยหลัวคิดเล็กน้อย ก่อนชี้ไปทางหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ไปทางนั้นอีก 20 ลี้ก็ถึงแล้ว”

นักเดินทางส่ายหน้า “เจ้าโกหก”

“หือ?” เฟ่ยหลัวชะงัก

“เหตุใดจึงโกหกเล่า?” นักเดินทางยังเอ่ยเสียงดัง

เฟ่ยหลัวตอบตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่ได้โกหก”

นักเดินทางถอนใจก่อนพลิกมือ เกิดลูกเพลิงขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้นมา “ข้าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่หากเจ้าพูดปดอีก ข้าคงไร้ทางเลือก ต้องลงโทษเจ้าสักหน่อย”

ฟ้าว!

นักธนูของขบวนรีบใส่ลูกธนูแล้วง้างอาวุธ บางดอกมีแสงสว่างเรือง พวกนั้นคือสลักตัดเวท แม้ศัตรูจะมีวิชาสูงส่ง คุ้มกันขบวนเดินทางก็ยังมีวิธีป้องกันตัว

บรรยากาศตึงเครียดเด่นชัด ตอนที่กำลังจะถึงขีดสุด เสียงหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น “ขออภัยด้วยแขกผู้มีเกียรติ พวกเขาเพียงต้องการปกป้องข้า ท่านพูดถูกที่ว่าป่าดินสงบไม่ใช่ทางนั้น…”

“เป็นทางเดียวกับที่พวกเจ้ากำลังมุ่งหน้าใช่หรือไม่?” นักเดินทางเอ่ยขัด

ม่านรถม้าเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าแม่นางชั้นสูงผู้หนึ่ง

แม่นางชะงักกับคำถามเล็กน้อย แต่พยักหน้าตอบรวดเร็วพลางเอ่ย “ถูกต้อง”

“ลาก่อน” นักเดินทางเอ่ยก่อนหมุนตัวเดินจากไป

เขาดูไม่คิดจะหยุดสักนิด

“ท่านไม่ควรบอกเขานะขอรับคุณหนู” เฟ่ยหลัวเอ่ยเสียงต่ำ

“แล้วจะให้ทำอย่างไร? ให้เจ้าโกหกต่อหรือ? ให้เกิดศึกที่ไม่ควรเกิดหรือ? อย่าลืมว่าเขาเองก็พอจะรู้ทาง” แม่นางตอบ “เขาเพียงแต่อาจทำทีเป็นไม่รู้ทางไปป่าดินสงบ อาจมีแรงจูงใจซ่อนเร้น ไม่เช่นนั้นก็อาจฉลาดมากที่มองคำลวงออกจากเบาะแสน้อยนิดที่มี ไม่ว่าข้อไหนก็ใช่ทั้งนั้น เจ้าอย่าไปล่วงเกินเขาเลย”

เฟ่ยหลัวคิดเล็กน้อยก่อนหยักหน้า “คุณหนูพูดถูก”

เขาเพียงแต่ไม่อยากให้เกิดเรื่อง แต่เหมือนจะสร้างปัญหาเสียเอง

นักเดินทางผู้นั้นคงจะไม่ใช่ต้นสายปลายเหตุของปัญหาหรอก เฟ่ยหลัวคิด

แต่ตอนนั้นเองก็เกิดเสียงครวญครางดังขัดจังหวะความคิด

ลูกศรกรีดร้องผ่านท้องฟ้า สิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นจากที่ไกล กำลังพุ่งเข้ามาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง

เฟ่ยหลัวหน้าเปลี่ยนสี “เป็นคนแคระหูใหญ่และคนแคระดินเกรียม! บ้าเอ๊ย อย่างน้อย ๆ ก็พันตัว! ดันเกวียนไปด้านหน้าแล้วเตรียมสู้!”

ผู้คุ้มกันขบวนเดินทางลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วและผลักเกวียนออกใช้เป็นแนวป้องกัน จากนั้นม้าก็ถูกดึงไปด้านหลังแนวป้องกันนั้นเพื่อใช้เป็นการโจมตีในจังหวะชี้ชะตา

เฟ่ยหลัวรีบรุดเข้ามาหาแม่นางชั้นสูง “แม่นางเฟยลี่ลงจากรถม้าแล้วขึ้นหลังม้าก่อนขอรับ ศัตรูมากันมาก เราอาจคุ้มกันไม่ไหว”

“ข้าเห็นแล้ว” แม้นางจะดูกังวล แต่ก็พยายามคุมความสงบให้มั่นคงเท่าที่จะทำได้

นางก้าวออกจากรถม้าอย่างสง่างาม แม้จะไม่ชินกับการเดินบนพื้นโคลน แต่ก็กัดฟันทนขึ้นหลังม้าไป

คนแคระหูใหญ่และคนแคระดินเกรียมดุร้ายกลับไม่ติดปัญหาเรื่องพื้นที่สักนิด

พวกเขามีเท้าราบเรียบ ร่างเล็กและเบา ทั้งยังใส่รองเท้าพิเศษที่เหมาะกับการเดินทางผ่านพื้นโคลนมาด้วย

คนแคระหูใหญ่และคนแคระดินเกรียมเป็นชนพื้นเมืองถิ่นนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในระดับปานกลาง แต่อัตราการสืบพันธุ์นั้นสูงมาก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมักจะอาศัยจำนวนมากเข้าสยบศัตรู

กระทั่งนักรบชั้น 3 ยังยากจะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนับพันที่กรูกันเข้ามาในคราเดียวเช่นนี้

และแม้ว่าแต่ละคนสามารถต่อสู้กับพวกมันได้ถึง 10 ตัว แต่พวกเขามีกันเพียง 20 คน ทหารม้าอีกราว 30 เท่านั้น นับว่าอ่อนแอเกินไป

กระนั้นพวกเขาก็ไม่คิดปล่อยพวกคนแคระพวกนี้ไปโดยง่าย

“ยิงธนู!” เฟ่ยหลัวคำราม

ธนูกรีดผ่านฟ้า ปักอกศัตรูที่กำลังมุ่งเข้ามาอย่างง่ายดาย

น่าเสียดายที่มือธนูมีน้อยเกินจะสู้ มือธนู 20 คนสังหารได้เพียงราว 20 ชีวิต ดังนั้นกองกำลังศัตรูจึงไม่นับว่าเสียหาย อีกทั้งการโจมตีนี้ยังทำให้พวกมันลดระยะห่างลงได้อีก

“ยิงอีกครั้ง!”

ธนูหลายระลอกถูกยิงออกไปหมายสังหารให้ได้มากที่สุด

ผ่านไปถึงระลอกที่ 5 บนพื้นก็มีร่างเกลื่อนเกือบร้อยร่าง ส่วนมากไม่ได้ตายเพราะธนู แต่เพราะล้มแล้วถูกเหยียบตาย

แต่พวกมันก็ดูไม่สน ด้วยกำลังบ้าเลือดจนขีดสุด คิดได้เพียงการฆ่าการสังหารเท่านั้น

ศัตรูมาถึงแนวหน้าแล้ว

ปากน่าเกลียดของพวกเขาเปิดกว้าง เห็นฟันเหลืองคมกริบ ถึงจะเตี้ย และสูงเพียงกึ่งหนึ่งของมนุษย์ปกติ ทั้งยังใช้ดาบหินหยาบต่อสู้ แต่การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดุร้ายนัก ปีนขึ้นเกวียนโดยเร็ว แต่ไม่นานก็ถูกหอกแทงคอ

แต่การตายของสหายไม่ทำให้คนอื่น ๆ เกรงกลัวแต่อย่างใด

พวกเขายังคงวิ่งไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมตะโกนโห่ร้อง

“โจมตี!” เฟ่ยหลัวตะโกนลั่น

ผู้คุ้มกันวางธนูหยิบดาบขึ้น เตรียมปกป้องด้วยชีวิต กระทั่งพ่อค้ายังดึงดาบออกมายืนสู้ที่แนวหน้ากับผู้คุ้มกัน

ในขณะที่จ้องมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่ดูจะมากันไม่มีที่สิ้นสุด ในใจก็ถูกบีบรัดด้วยความประหม่ากลัว

ด้วยรู้ว่าคงรั้งไว้ไม่ได้นาน

แต่จังหวะนั้นเอง เพลิงลูกใหญ่พลันพุ่งเข้ามาโจมตีศัตรูจากด้านหลัง

เปลวเพลิงนั้นรุนแรงมาก ปกคลุมทั่วพื้นที่ในทันใด คนแคระนับร้อยถูกเปลวเพลิงโหมใส่ ส่งเสียงร้องลั่นก่อนร่างกลายเป็นจุณ

เกิดอะไรขึ้น?

ทุกคนตกตะลึง

เมื่อเพลิงจางหาย ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ

นักเดินทางผู้นั้นนั่นเอง

เขาก็เจอเจ้าพวกนี้เหมือนกันสินะ

เจ้าพวกนี้คงไม่เลือกเหยื่อ คงเข้าโจมตีคนเดินทางผู้เดียวเช่นเขาไม่ลังเล

แต่ครั้งนี้คงจะเลือกผิดคนเสียแล้ว

นักเดินทางวาดมือซัดลูกไฟออกมาโดยง่าย กลายเป็นกำแพงเพลิงรุดหน้าออก ไล่พวกมันที่เหลือให้วิ่งกรีดร้องหนีไปด้วยความกลัว

นั่นแค่ลูกเพลิงธรรมดาเองนะ

แต่มันทรงพลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ทุกคนตกตะลึง

เฟ่ยหลัวเคยเห็นคนที่ใช้ลูกเพลิงมาก่อน

ลูกไฟธรรมดาสามารถฆ่าคนแคระหูใหญ่ได้ตัวเดียว ลูกเพลิงลูกเดียวกลายร่างเป็นห่าเพลิงได้ยังไง? จากวิชาโจมตีเดี่ยวกลายเป็นโจมตีกลุ่มไป มีแรงสังหารมากขึ้นกว่าเดิม

นี่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว!

แต่อีกฝ่ายใช้แค่วิชาลูกเพลิงธรรมดาเป็นแน่

สุดท้ายใช้เพียงลูกเพลิง 2 ลูกก็ไล่พวกมันให้หนีไปได้

คนแคระหูใหญ่และคนแคระดินเกรียมไม่กล้าโจมตีนักเดินทางอีก แต่ก็ไม่ยอมถอย กลับหมุนตัวพุ่งใส่ขบวนเดินทางแทน

“ช่วยด้วย!” ทหารคุ้มกันขบวนเดินทางร้องลั่น

น่าตกใจที่นักเดินทางเพียงหันไปมองเฉย ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

เขาทิ้งขบวนเดินทางไปตามชะตากรรมราวกับไม่เคยเห็นอะไร