ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 72 การแทรกซึม (9)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 72 การแทรกซึม (9)

การจากไปของนักเดินทางส่งผลให้คณะเดินทางแทบสิ้นหวัง

แต่จังหวะนั้นเอง พลันได้ยินเสียงผิวปากดังก้องมาจากที่ไกล

กองทหารหนึ่งเดินทางมาถึง พากันตวัดดาบในมือพุ่งใส่พวกคนแคระทั้งหลาย ทำลายพวกมันจนแหลกเป็นชิ้น อาวุธโลหะสะท้อนแสงเย็นยะเยือก ส่งริ้วปราณดาบกลั่นแน่นออกไป เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารชั้นสูงทั้งสิ้น

แต่การที่มีทหารชั้นสูงปรากฏขึ้นคราวเดียวหลายคนเช่นนี้ และเป็นกองกำลังที่ไม่มีผู้อ่อนแอผสมเลยสักคนเดียว เป็นเรื่องที่ทั้งน่าประหลาดใจและน่าตื่นเต้นยินดียิ่งนัก

พวกทหารชักดาบพากระแสโลหิตออกมาเจิ่งนองทันที

พวกเขาสังหารมันไร้เมตตา ทุกคมดาบหมายถึงการทำลายล้างสิ้น

พริบตาเดียวพวกมันก็ถูกสังหารจนหมด

ชัยชนะที่ได้รับมารวดเร็วเกินไปจนกองพ่อค้าไม่ทันประมวลผลเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด

“ขอบพระคุณมากที่ช่วยเหลือ!” เฟ่ยหลัวตะโกนเสียงดังด้วยความซาบซึ้งใจ

“อย่าได้ตื่นเต้นไป ไม่ใช่ว่าพวกข้ามาช่วยโดยไร้สิ่งตอบแทน” ทหารคนหนึ่งตอบเสียงเรียบ

ทหารหญิงเผยกายออกมาท่าทางองอาจ ผมสีทองสะบัดตามแรงลม

นางเหลือบมองเฟ่ยหลัวก่อนตะโกนถามเสียงดัง “เป็นอะไรหรือไม่?”

เฟ่ยหลัวกลืนน้ำลาย “พวกเรามะ… ไม่เป็นไร”

“พวกเจ้าไปช่วยพวกเขา” ทหารหญิงเอ่ยแล้วโบกมือเร็ว ๆ กองทหารก้าวขึ้นมาตามคำสั่ง ยกเกวียนที่พลิกคว่ำออกจากโคลน

“ขอบคุณพวกท่านมาก” พ่อค้าเอ่ยเสียงซาบซึ้ง

ทหารกลุ่มนี้เป็นกลุ่มทหารฝ่ายธรรมะ

ไม่เพียงแต่พวกทหารจะช่วยกำจัดศัตรูที่กำลังจะคร่าชีวิต แต่ยังช่วยจัดการส่วนที่เหลือ มอบอาหารและน้ำให้ดื่มกิน ด้วยการต่อสู้ทำให้คณะเดินทางเหนื่อยล้าไม่น้อย

เทียบกับนักเดินทางคนเดียวที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ ทหารกลุ่มนี้เป็นดั่งนักบุญโดยแท้

จะว่าไป แล้วคนคนนั้นไปไหนแล้ว?

เฟ่ยหลัวจำนักเดินทางได้ เมื่อหันมองดูรอบ ๆ ก็เห็นว่าหายไปแล้ว

ภายในป่าดินสงบ

สถานที่นี้ตั้งอยู่เขตแดนทางตอนใต้ของอาณาเขตคุน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของเผ่าจิตวิญญาณตะวัน

เผ่าจิตวิญญาณตะวันแท้จริงแล้วแตกหน่อออกมาจากเผ่าจิตวิญญาณทมิฬอีกที

หลังจากอาณาเขตคุนถูกแยกออกจากแดนต้นกำเนิด เผ่าจิตวิญญาณทมิฬส่วนหนึ่งก็พบว่าพวกตนติดอยู่ในอีกฝั่งนึงของปราการ สภาพแวดล้อมที่ผันเปลี่ยนบีบให้พวกเขาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเอาชีวิตรอด

ในปัจจุบันนี้ เผ่าจิตวิญญาณตะวันรูปร่างแตกต่างจากเผ่าจิตวิญญาณทมิฬเป็นอย่างมาก ร่างกายเพรียวบางกว่า ผิวขาวกว่า หน้าตาละเอียดอ่อนงดงามกว่า

ถูกต้องแล้ว กระทั่งท่าทางสง่างามก็เป็นผลที่เกิดจากการพัฒนานี้

เผ่าจิตวิญญาณตะวันแท้จริงแล้วเป็นลูกหลานของเทพแห่งความรัก อ้ายหมี่ลี่ เทพแห่งความรักผู้นี้มีมาตรฐานและความคาดหวังสูงในเรื่องรูปโฉมภายนอก พวกอัปลักษณ์จะไม่ได้รับความโปรดปรานจากนาง ดังนั้นผ่านมานับหมื่นปี เผ่าจิตวิญญาณตะวันจึงพัฒนาให้มีรูปกายดั่งที่เทพแห่งความรักปรารถนา ความสามารถทางศิลปะของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ท่าทางยามเอ่ยวาจาก็งามสง่าขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ลดลงมาก แต่ในโลกของพวกเขา มีเพียงคำอนุญาตจากพวกเทพเท่านั้นที่พวกเขาเห็นสำคัญ

ซูเฉินจ้องป่าดินสงบจากด้านนอก

ร่างกายของซูเฉินในตอนนี้เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับเขาตอนที่เป็นหลินซวงอายุ 7 ขวบ

เมื่อสายเลือดตื่นขึ้น เขาก็กลายเป็นซูเฉินตัวจริง ทำให้แตกต่างจากหลินซวงอย่างสิ้นเชิง

ที่น่าตลกคือ จุดมุ่งหมายหลักในชีวิตนี้ของเขาคือการสร้างหนทางแห่งการไร้สายเลือด แต่ร่างแยกของเขาในตอนนี้กลับมีจุดแข็งที่สุดอยู่ที่สายเลือดของร่างหลัก

บุคคลมีพลังอำนาจสามารถสร้างสายเลือดของตนเองได้ ซูเฉินที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะทอดทิ้งสายเลือด ตอนนี้กลับเป็นต้นตอของสายเลือดนั้นที่ร่างแยกใช้เพื่อดีดพลังให้สูงขึ้น

นับว่าน่าขันนัก

แต่ไม่ว่าจะฟังดูน่าขบขันอย่างไร ซูเฉินในตอนนี้ก็ใส่ใจเพียงทำอย่างไรให้ตนเองแกร่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในปัจจุบัน

ด้วยการปลุกสายเลือดในร่าง พละกำลังของซูเฉินย่อมพุ่งขึ้นสูง แต่แน่นอนว่าร่างแยกยังมีพลังไม่เทียบขั้นกับร่างจริงอยู่

แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้หลายวิชาที่ในอดีตไม่เคยใช้ได้

จุดมุ่งหมายรองลงมาของซูเฉินอยู่ภายในป่าผืนนี้ ซึ่งมีผู้ปกปักษ์เป็นเทพแห่งความรัก เทพเจ้าซึ่งเผ่าจิตวิญญาณตะวันเคารพบูชา

เทพแห่งความรักร่าเริงแจ่มใส ไม่เหมือนเทพเจ้าเหมันต์ที่บาดเจ็บสาหัสและหลับใหลอยู่

แม้ว่าเทพแห่งความรักจะมีความสามารถในการต่อสู้ต่ำที่สุดในเหล่าทวยเทพ แต่เสน่ห์ของนางทำให้นางมีคนรักหลายคน ดังนั้นเทพแห่งความรักถึงไม่เคยลงสู่สนามรบด้วยตนเองยามเหล่าเทพต่อสู้กัน แต่ใช้คนรักทั้งหลายของนางให้คอยปกป้องจนศึกผ่านพ้นไป นางจึงสามารถอยู่รอดได้มาจนถึงทุกวันนี้

แต่แน่นอนว่าแม้จะเป็นเทพที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเหนือชั้นกว่าหลินซวงมาก

หากซูเฉินต้องการทำให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องวางกลยุทธ์และลงมืออย่างระมัดระวัง

เขาได้ลงเมล็ดไว้แล้ว ตอนนี้มันเริ่มผลิดอกตูม สิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือการหาวิธีเร่งการเติบโตของมัน

ซูเฉินพึมพำก่อนจะแบมือ ราวกับกำลังสวดภาวนาหรือเอ่ยมนต์บางอย่าง

ในระดับที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตระดับจุลภาคมากมายพุ่งออกจากฝ่ามือเข้าไปในป่าที่นับเป็นบ้านใหม่ของพวกมัน

ไม่นานสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านั้นก็เต็มไปทั่วทั้งป่า

พวกมันขยายพันธุ์และเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

เหมือนกับตอนที่มันทำในป่าอ้างว้าง

ถูกต้องแล้ว นี่คือความจริงเบื้องหลังคำสาปของซูเฉิน

แท้จริงแล้วมันเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซูเฉินได้มาจากป่าสามธารและทำการปรับเปลี่ยนมัน พวกมันมีความสามารถในการกัดกร่อนขั้นสูง แค่ตัวเดียวก็สามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็วจนเต็มพื้นที่ได้ในระยะเวลาไม่นาน

ก็เหมือนกับข้า ซูเฉินคิด

ตอนที่เขาเพิ่งเดินทางมาถึงอาณาเขตคุน ซูเฉินยังเป็นเพียงเมล็ดเม็ดน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้เมล็ดน้อยเมล็ดนั้นได้เติบใหญ่กลายเป็นหน่ออ่อนอันมั่นคงที่ยังคงเติบโตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะยังห่างไกลจากจุดมุ่งหมายมาก แต่ย่างก้าวที่แม้จะย่างช้ามั่นคงก็จะนำเขาไปสู่จุดหมายอย่างแน่นอนไม่ใช่หรือไร?

สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งถูกปล่อยออกไปขยายพันธุ์ไปทั่วอย่างรวดเร็ว

หลังจากจัดการเรื่องเสร็จแล้ว ซูเฉินก็หมุนตัวจากไป

ไม่นานสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็เข้าควบคุมทั่วทั้งผืนป่า วิถีชีวิตของเผ่าจิตวิญญาณตะวันถูกคุกคาม

แน่นอนว่าภัยคุกคามจากการทำลายป่าผืนนี้อาจไม่ได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงอะไรนักเมื่อพวกเขายังได้รับการปกป้องจากท่านเทพอันเป็นที่รักอยู่

แต่ปัญหาก็นับว่าเป็นปัญหา แม้แต่เทพก็ยังแก้ปัญหานี้ได้ไม่ง่าย

“ท่านพ่อ ธนูคันนี้ของข้าช่างสวยงามยิ่งนัก ท่านว่าหรือไม่?”

อ้ายเวยน้อยวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดท่านพ่อ ยกธนูคันน้อยให้ดูราวกับกำลังถือสมบัติชิ้นสำคัญ

เค่อหลีผูรับธนูคันน้อยมาแล้วเอ่ยว่า “ลายสลักตรงนี้ยังดูหยาบไปสักหน่อย เจ้าน่าจะใช้สามเส้นเพื่อแกะสลักดอกไม้นี้ แต่เจ้าใช้เพียงสองเส้น”

“ข้าเพียงอยากให้ธนูของข้าแข็งแกร่งขึ้นอีกสักหน่อย” อ้ายเวยน้อยบุ้ยปากงึมงำ

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกเด็กน้อย” เค่อหลีผูปลอบลูก “ความสวยงามและสุนทรียภาพเท่านั้นที่สำคัญ เราต้องศรัทธาในหนทางของท่านเทพ รักษามรดกและประวัติศาสตร์ของเราไว้ ทำตามที่ใจเจ้าปรารถนาและมุ่งสู่หนทางแห่งวิจิตรศิลป์เถอะ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่นับเป็นบาปของศิลปินอย่างเราเลย เจ้าว่ามีเหตุผลหรือไม่?”

“อืม ข้าเข้าใจ” อ้ายเวยน้อยพยักหน้าตอบ “ข้าจะไปทำให้มันงดงามขึ้นอีก ท่านว่าข้าแกะสลักอีกเส้นให้เป็นสายน้ำดีหรือไม่? ทำเช่นนั้นแล้วทุกครั้งที่ใช้ก็จะมีสายน้ำไหลไปตามทางทุกครั้งที่ใช้งาน มองแล้วต้องงดงามตามากแน่”

“ฟังดูดีทีเดียว!” เค่อหลีผูหัวเราะ “เป็นความคิดที่ดี เจ้าลองลงมือทำดู ข้ามั่นใจว่าท่านเทพจะต้องชมชอบการสร้างสรรค์ของเจ้าแน่”

“อื้อ!” อ้ายเวยน้อยพยักหน้าอย่างจริงใจ ก่อนจะหันแล้ววิ่งออกไปด้านนอก

“ต่อไปต้องเป็นช่างฝีมือดีแน่” เค่อหลีผูบอกภรรยา

“เจ้าไม่คิดว่าการใฝ่หาศิลปะของเขามันมากเกินไปงั้นหรือ? อย่างไรข้าก็ยังอยากให้อ้ายเวยเข้าร่วมกับทหารคุ้มกันเผ่าจิตวิญญาณตะวันอยู่ดี” ภรรยาว่า

“เพื่ออะไรเล่า?” เค่อหลีผูเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำแนะนำของนาง “เดรัจฉานเหล่านั้นไม่รู้จักถึงความสง่างามความสุนทรีย์ ไม่นานมานี้ยังเสนอให้ถอดลายฉลุงดงามออกจากชุดเกราะอีกด้วย และยังให้รถลายสลักในอาวุธถึง 2 ใน 3 ส่วน! ของเรานั้นได้รับการออกแบบจากปรมาจารย์งานศิลป์เชียวนะ! ช่างไร้ตามองสิ่งสวยงาม ไร้รสนิยมสิ้นดี!”

“พวกเขาล้วนเป็นเผ่าจิตวิญญาณตะวัน เพียงแต่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของเผ่าเป็นอย่างแรกเท่านั้น ช่วงนี้ใต้หล้าน่ากลัวขึ้นมาก เจ้าไม่ได้ยินเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือ? โบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ยุบรวมกับโบสถ์เทพเจ้าเหมันต์น่ะ” ภรรยาตอบด้วยความกลัวอยู่บ้าง

“มีแต่พวกเทพที่ต้องห่วงเรื่องนั้น มีพวกเทพอยู่ เจ้าอย่าได้กังวล” เค่อหลีผูตอบเสียงมั่นใจ

“แต่พวกเทพยุ่งมากนะ ไม่ตอบคำขอร้องเรามานานแล้ว” ภรรยาเขารู้ดีว่าพวกเทพช่วงนี้งานล้นมือ แม้ไม่รู้ว่ายุ่งอะไร แต่ก็สังเกตได้จากความตึงเครียดที่อธิบายไม่ได้ที่ลอยอยู่ในบรรยากาศ

เพรานางเป็นนักบวชหญิงทั้ง 12 แห่งเผ่าวิญญาณตะวัน

ความสามารถในการรับรู้สถานการณ์ภายนอกของนางจึงสูงกว่าสามีที่เป็นศิลปินเพียงอย่างเดียว

อีกทั้งสามีนางเกลียดทหารคุ้มกันเผ่าจิตวิญญาณตะวัน แล้วจะรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากมายกันเล่า?

ไม่เลย!

ในสายตาเขา พวกมนุษย์เป็นเพียงอสูรป่าเถื่อน ส่วนคนแคระหูใหญ่และคนแคระดินเกรียมนั้นเป็นเพียงแมลงที่ไชอยู่ตามดินโคลนเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจว่าโลกภายนอกจะเกิดอะไรขึ้น

กระนั้นภรรยาก็ยังรักเขา

เผ่าจิตวิญญาณตะวันก็เป็นเช่นนี้

ความกระหายงานศิลป์อย่างไม่ลืมหูตาของเผ่าจิตวิญญาณตะวันมาจากภายใน ความคลั่งไคล้ในศิลปะของสามีนางเพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนเท่านั้น

เค่อหลีผูยังคงบ่น ส่วนภรรยาก็ฟังเขาบ่นอย่างตั้งใจ

แต่จังหวะนั้นพลันได้ยินเสียงโครมดังมาจากด้านนอก

“อ้ายเวย!” เค่อหลีผูร้องเรียก

ไร้เสียงตอบกลับ มีเพียงเสียงร้องประหลาดดังตอบ

เค่อหลีผูเงยหน้าขึ้นประหลาดใจ มองผ่านออกไปจากกระจกผลึกแก้วสีแดง เห็นเผ่าจิตวิญญาณตะวันกลุ่มหนึ่งรวมตัวอยู่ด้านนอก กำลังแตกตื่นกับเรื่องบางอย่าง

เค่อหลีผูเดินออกไปหาท่าทางสับสน เห็นแต่เพียงว่าบุตรสาวตนนอนนิ่งอยู่กับพื้น

“อ้ายเวย!” เค่อหลีผูรีบวิ่งไปประคองร่างบุตรสาว

ตาของนางปิดสนิท สีหน้าขาวซีดมาก

“อย่าแตะนางนะเค่อหลีผู!” ภรรยาร้องลั่น

“เจ้าว่าอะไรนะ?” เค่อหลีผูจ้องภรรยาด้วยความโกรธ

“ดูสิ!” ภรรยาชี้ไปรอบกาย

เค่อหลีผูจึงสังเกตเห็นว่าตนเองถูกเผ่าจิตวิญญาณตะวันคนอื่น ๆ ล้อมไว้แล้ว

“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?” เค่อหลีผูพึมพำเสียงตะลึง

เขาหันมองภรรยา ซึ่งตอนนี้กำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว

นางเริ่มก้าวถอยออกไปแล้ว

“อ้ายหม่า!” เค่อหลีผูตะโกน

ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ทำไมกัน?

เขารู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อย ๆ

จากนั้นเค่อหลีผูก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาแหงนหน้ากระอักเอาเลือดจำนวนมากออกมา