ตอนพิเศษ 5-2 ซูจี๋ x ตี้ซิน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แม่น้ำหมิงเหอ (สายน้ำแห่งภูติ) 

 

 

นับตั้งแต่สิ้นสงครามบนแดนสวรรค์ ก็ผ่านเวลามาเกือบจะสองปีแล้ว ภายใต้การนำพาของฉู่เจียงและเสินฟาง ภพภูติฟื้นฟูเหมือนดังเมื่อหมื่นปีก่อนอยู่ถึงเก้าส่วน 

 

 

แม้แต่แม่น้ำหมิงเหอ ที่สาบสูญไปก็กลับคืนมา 

 

 

บนแม่น้ำหมิงเหอ มีดอกบัวจุติอยู่หลายดอก แม่น้ำหมิงเหอที่ใสกระจ่างจนสามารถมองเห็นก้นบึ้งได้ ช่างงดงาม 

 

 

แต่ว่ายามนี้บนแม่น้ำ มีเรือไม้เก่าแก่โบราณอยู่ลำหนึ่ง ลอยคว้างไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น 

 

 

เรือสีดำราวน้ำหมึกตลอดลำนั้น มีตะเกียงที่มิได้สว่างเท่าไรสักเท่าไหร่อยู่ดวงหนึ่ง แสงสลัวจากตะเกียงส่องกระทบลงบนร่างของคนที่กำลังแล่นเรือ ดูไปลึกลับเป็นพิเศษ 

 

 

เขามีผ้าคลุมสีดำกำบังกายตลอดร่าง เผยให้เห็นแต่เพียงครึ่งมือที่แห้งกร้านราวท่อนไม้เท่านั้น 

 

 

มือข้างนั้นเหมือนถูกไฟแผดเผามาก่อน แม้แต่ผิวหนังก็เป็นรอยแผลเป็นอย่างฉกาจฉกรรจ์ ดูไปแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง 

 

 

ยามที่ซูจี๋มาถึงแม่น้ำหมิงเหอ ไอปีศาจที่รุนแรงทำเอาบัวจุติบนแม่น้ำไม่สงบสุขไปด้วย 

 

 

พอหางขนาดใหญ่ของนางกวาดออกไปครั้งหนึ่ง ก็ทำเอาครึ่งของแม่น้ำหมิงเหอต้องสั่นสะะเทือน 

 

 

นางยื่นมือออกไป ก็คิดจะเด็ดเอาดอกบัวจุติไปดอกหนึ่ง แต่แล้วกลับถูกน้ำเสียงที่แหบชรารั้งเอาไว้ 

 

 

“แม่นาง ขัดขวางการจุติเป็นโทษมหันต์” 

 

 

ซูจี๋หรี่ดวงตาลง มองลงไปในแม่น้ำหมิงเหอ ก็เห็นว่าเรือไม้ลำน้อยนี้กำลังลอยไปลอยมาอยู่กลางแม่น้ำ 

 

 

นางก็ส่งยิ้มเย็นชาออกไป “ข้าแค่ต้องการเสาะหาคนผู้หนึ่ง ในเมื่อทั่วทั้งหกภพภูมิก็ยังไม่อาจหาเจอ บางทีเขาอาจจะตายไปแล้ว หรือบางทีจิตวิญญาณก็อาจจะปะปนอยู่ในบัวจุติเหล่านี้ก็เป็นได้” 

 

 

แม่น้ำหมิงเหอ คงจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่นางจะค้นหาได้แล้ว 

 

 

มิว่าตี้ซินยังอยู่หรือตายไปแล้ว นางจะต้องเสาะหาคนให้พบจึงจะยอมเลิกลา 

 

 

ชาวเรือผู้นั้นได้ยินคำของนาง ก็เงียบงันไปครู่ใหญ่ ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำนั้นจ้องไปที่นาง ด้วยแววตาที่ซูจี๋มิค่อยเข้าใจ 

 

 

“เรื่องที่เกิดในอดีต เป็นเสมือนหมอกควันที่ผ่านตา ด้ายแดงในชาติก่อน ปล่อยวางได้ก็ได้รับอิสระ แม่นางเป็นผู้มีอนาคตอันยิ่งใหญ่ ไม่สมควรถูกคนเหนี่ยวรั้ง” 

 

 

น้ำเสียงของเขาแหบพร่า ราวกับว่าถูกกระดาษทรายลูบผ่าน แหบต่ำ ให้ความรู้สึกเหมือนเล่าเรื่องราวในอดีต 

 

 

“ปล่อยวางหรือ?” ซูจี๋คว้าดอกบัวจุติเอาไว้แน่น “คนที่ไม่เคยได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกันกับผู้อื่น ไหนเลยยังกล้ามาชี้นำให้คนปล่อยวาง?” 

 

 

คนแจวเรือยิ่งเงียบงันไปมีพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้า….” 

 

 

คำพูดนั้นสุดท้ายก็เอ่ยออกมาไม่จบ 

 

 

เขาเพียงแต่หันหน้าไปทางอื่น มองดูดอกบัวจุติที่ล่องลอยอยู่บนผิวแม่น้ำ 

 

 

“คนที่เจ้าต้องการเสาะหา สาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว แม่นางไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจอีกต่อไป ปล่อยวางตนเองเถอะ….” 

 

 

แววตาของซูจี๋นิ่งงันไป “เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องการจะตามหาใคร?” 

 

 

“ทั่วทั่งหกภพภูมิ ใครเล่าจะไม่รู้ว่า ตลอดหลายปีมานี้ ราชินีแห่งหุบเขาหมื่นปีศาจเสาะหาผู้ที่เคยทำร้ายจิตใจของนางมาโดยตลอด” 

 

 

“เขาเคยเป็นเทพในแดนสวรรค์ แต่ว่าตกต่ำไปตั้งนานแล้ว จิตเทพแตกสลาย แม้แต่โอกาสที่จะได้ไปเกิดใหม่ก็ไม่มีอีกแล้ว แม่นางปล่อยวางความกังวล แล้วไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะ” 

 

 

คราวนี้ซูจี๋ถึงได้มองดูคนแจวเรือผู้นั้นอย่างพินิจพิจารณาขึ้นมา “เจ้าเป็นใคร?” 

 

 

บนแม่น้ำหมิงเกิดเป็นไอหมอก ทำให้นางมองเห็นไม่ค่อยชัดเจน 

 

 

เห็นแต่ร่างที่พร่าเลือนของเขา เป็นเงาคนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำทั้งตัว 

 

 

“ผู้น้อยเป็นเพียงคนแจวเรืออยู่ในแม่น้ำหมิงเท่านั้น คอยดูแลให้ดวงวิญญาณในดอกบัวจุติให้ไปเกิดอย่างเรียบร้อยในโลกหน้า” 

 

 

แววตาของซูจี๋จับจ้องอยู่ที่ร่างของเขาตลอดเวลา ทั้งยังก้าวลงมาในแม่น้ำหมิงอีกก้าวหนึ่ง “เจ้ารู้ฐานะของเขาได้อย่างไร แล้วเรื่องความเป็นความตายของเขา?” 

 

 

“ผู้น้อยก็เคยเป็นเทพในแดนสวรรค์ ในสงครามแดนสวรรค์ ถูกไอมารครอบงำ จิตเทพถูกทำลาย ยังดีที่เผ่าภูติมิได้รังเกียจ ให้ข้าเป็นคนแจวเรือมีที่พักพิง” 

 

 

“ข้าย่อมต้องได้รู้ จุดจบของผู้ที่แม่นางกำลังตามหา” 

 

 

“เขาตายไปนานแล้ว ตายบนแดนสวรรค์” 

 

 

นับตั้งแต่ที่เขาปล่อยตู๋กูซิงหลันไป ก็เท่ากับว่ากำหนดไว้แล้วว่าเขาไม่อาจอยู่อย่างปลอดภัยในแดนสวรรค์ได้อีก 

 

 

หลังตู๋กูซิงหลันหนีไป เขาก็รับโทษจากแดนสวรรค์ ถูกโยนทรงไปในลานประหารเซียน 

 

 

แม้ว่าจะยังมีโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ 

 

 

แต่รูปโฉมถูกทำลาย ดวงจิตบอบช้ำ ไม่อาจฟื้นฟูได้อีกตลอดกาล 

 

 

แล้วเขาที่เป็นเช่นนี้จะไปเจอต๋าจี๋อีกได้อย่างไร? 

 

 

แต่เขาคิดไไม่ถึงเลยว่า ในที่สุดวันหนึ่ง ต๋าจี๋จะเสาะหามาถึงแม่น้ำหมิงเหอแห่งนี้ 

 

 

เขาเคยมีคำพูดมากมายอยากจะบอกนาง แต่ว่าถึงตอนนี้ กลับไม่อยากให้นางรู้แม้แต่ฐานะของตนเอง 

 

 

เขาไม่คู่ควรกับต๋าจี๋ ใช่แล้ว….นับตั้งแต่ตอนนั้นที่เขา ‘ละทิ้ง’ นางไป ก็ไม่คู่ควรกับนางอีกแล้ว 

 

 

แม้ว่าทุกสิ่งที่เขาจะทำลงไป เพราะคิดจะปกป้องนางก็ตาม 

 

 

แต่เขาก็ได้ปล่อยมือจากนาง ชาตินี้จึงไม่มีวาสนาอีกแล้ว 

 

 

อย่าว่าแต่ ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้วมีสภาพเหมือนผีสางตัวหนึ่ง 

 

 

ซูจี๋มองดูเขาอยู่เนิ่นนาน 

 

 

นางมีชีวิตยืนยาว พบเห็นผู้คนและจิตใจคนมามากมาย 

 

 

เดิมทีในใจนางมีคำถามอยู่หลายข้อ 

 

 

แต่ว่าสายตากลับมองเห็นมือที่สั่นสะท้านและเหี่ยวเหมือนกิ่งไม้แห้งของเขา 

 

 

ริมฝีปากสีแดงก็ต้องเอ่ยขึ้นมา ไต่ถามอีกครั้ง “ตอนที่เขาตาย เจ็บปวดมากหรือไม่?” 

 

 

คนแจวเรือ “จิตวิญญาณแตกสลายในชั่วพริบตา ไม่ถือว่าเจ็บปวด” 

 

 

หัวใจของซูจี๋ปวดแปลบขึ้นมา “วันคืนที่อยู่ในแดนสวรรค์ เขาเคยคิดถึงใครบ้างหรือไม่?” 

 

 

คนแจวเรือ “ไม่เคย….” 

 

 

ไม่เคยหยุดคิดถึงแม้สักชั่วครู่ 

 

 

ในใจคิดถึงทุกเวลา คิดถึงจนทรมาน 

 

 

ซูจี๋กระพริบตา ในที่สุดก็ค่อยวางดอกบัวจุติในมือลง ปล่อยให้ลอยกลับไปในแม่น้ำหมิงเหอ 

 

 

นางยืนอยู่ข้างแม้น้ำหมิงเหอเช่นนั้น เนิ่นนาน 

 

 

เขาเองก็ยืนอยู่บนเรือไม้ จนกระทั่งหมอกบนแม่น้ำหนาตัวขึ้นมา จนแทบจะมองไม่เห็นเงาร่างนั้นอีก 

 

 

ซูจี๋มองดูหมอกหนาอย่างเงียบๆ ในที่สุดริมฝีปากแดงก็ขยับอีกครั้ง ริมฝีปากขยับแต่กลับไร้สุ้มเสียงออกมา 

 

 

‘สุดท้ายข้าก็เกลียดท่านไม่ลง’ 

 

 

คนแจวเรือที่อยู่ใต้ดวงตะเกียง ปลดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าทั้งหมด 

 

 

เขากัดริมฝีปากอย่างแรง น้ำตาไหลลงมาจากดวงหน้า หล่นลงไปในแม่น้ำหมิงเหอ กลายเป็นน้ำแข็ง 

 

 

“ต๋าจี๋……” 

 

 

……………………