ตอนพิเศษ 4 ตูู๋กูเจวี๋ย x ชือหลี
ใต้ฟ้าในค่ำคืนหิมะโปรย ซูเยามองดูฉากที่ใต้ต้นฮว๋ายจากที่ไกลออกไป พอมองเห็นร่างของคนที่อยู่ในชุดสีแดงเพลิงนั่นแล้ว ทั้งๆที่รู้ชัดว่าเขาเป็นตัวปลอม แต่ว่าในใจก็ยังไม่อาจระงับความรู้สึกที่ซับซ้อนนั่นเอาไว้ได้
นี่ก็ถือเสียว่าได้พบนางแล้วละกัน
อาหลันที่อยู่ในโลกที่เรียกว่ามิติปัจจุบันนั่น คงจะสุขสบายดีใช่ไหม?
ขณะที่ซูเยากำลังมองดูอย่างหลงใหล ก็รู้สึกว่าที่ด้านหลังมีลมหนาวพัดวูบมาถึง
พอหันกลับไปดู ก็เห็นใบหน้าของตูู๋กูเจวี๋ยอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวๆซีดๆนั่น ดูเหมือนถูกวิญญาณแค้นสิงร่างก็ไม่ปาน
ระหว่างทั้งสองคนห่างกันเพียงก้าวเดียว กลับทำให้ซูเยารู้สึกขนลุกไปหมด
“นี่เจ้ากำลัง?”
ซูเยาถูไถหลังมือที่ขนลุกกราวของตนเอง พลางตัดสินใจถอยหลังไปก่อนก้าวหนึ่ง
“เห็นพี่ใหญ่ต้องใช้วิธีอับจนเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้ามีความสุขมากใช่ไหมละ?” ตูู๋กูเจวี๋ยมีสีหน้าคุมแค้นอยู่เต็มเปี่ยม
หลังสงครามในแดนสวรรค์ ตลอดช่วงเวลาเกือบสองปีมานี้ เขาก็ค้นหาสิ่งที่จะมาเป็นร่างใหม่ให้กับชือหลีอยู่ตลอด แค่คิดไปถึงว่าหยวนเมิ่งเป็นเหมือนหุ่นไม้ เขาก็ต้องปวดใจ”
ดูเถอะพี่ใหญ่ถึงกับต้องใช้วิธีอับจนเช่นนี้?
เขากับชือหลีได้ผ่านประสบการณ์แยกจากด้วยความตายมาแล้ว จึงไม่ต้องการให้เกิดความทรมานทั้งกายทั้งใจใดๆอีก
“พี่ใหญ่ของตนเองเจ้าก็ยังจะอิจฉาอีกหรือ?” ซูเยาหัวเราะออกมาในทันที “หรือจะให้บอกความจริงกับหยวนเมิ่งอย่างตรงๆ?”
ตู๋กูเจวี๋ยกรอกตามองบน “พี่ใหญ่ต้องเป็นโสดโดดเดี่ยวมานานปี มิใช่ง่ายเลยกว่าจะได้พบเป้าหมายที่พักพิง หากว่าข้าไปจับแยก อย่าว่าแต่เขา แม้แต่ท่านตาก็คงจะหักขาข้าทิ้งอย่างแน่นอน”
ซูเยา “ถ้าเช่นนั้นที่เจ้าทำท่าทำท่างเหมือนถูกวิญญาณแค้นเข้าสิงเช่นนี้หมายความว่า…”
“ก็อีกไม่เท่าไหร่พี่ใหญ่ก็จะได้โอบกอดคนงามกลับไปแล้วมิใช่หรือ? ข้าจะอิจฉานิดๆหน่อยๆไม่ได้หรือไง?”
ตูู๋กูเจวี๋ยไม่มีแก่ใจจะล้อเล่นอีกแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว “จิตเทพของชือหลีรับการฟื้นฟูอยู่ในสระวิญญาณของหุบเขาหมื่นปีศาจ อีกไม่นานก็จะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เรื่องเดียวที่ข้าต้องการคือเสาะหาสิ่งที่สามารถรองรับดวงจิตของนางเพื่อสร้างร่างใหม่ได้”
“เผ่าจิ้งจอกเก้าหางคงอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล พวกเจ้าได้รู้ได้เห็นมามาก สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า ในใต้หล้านี้มีสิ่งใด ที่เหมาะสมยิ่งกว่าหุ่นไม้ของหมิงอ๋องบ้าง อย่าได้ต้องให้ชือหลีของข้าเป็นเช่นหยวนเมิ่ง?”
ที่เขาพูดมาเสียมากมาย ก็เพราะมีจุดประสงค์อยู่ที่เรื่องนี้
ซูเยาลองคิดๆดู ตนเองไม่อาจสมหวังในรัก นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ขมขื่นที่สุดในโลกนี้แล้ว หากว่าสามารถช่วยเหลือเขาได้อีกแรง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
เขาขยับแขนเสื้อ ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นจ้องไปที่เขาอย่างตรงๆ “นี่มิใช่เรื่องยาก ต้องบอกว่าเจ้ามันโชคดี เพราะข้าได้พบโดยบังเอิญ”
แววตาของตูู๋กูเจวี๋ยเป็นประกายขึ้นมาในทันที “เจ้าบอกมา”
“นกอมตะที่อยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาลตัวนั้นมีพลังแห่งการเกิดใหม่หลังจากจำศีลอยู่ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางชือหลีเดิมทีก็เป็นเผ่ามังกรตะวันตก มีร่างเป็นมังกรทอง ธาตุแท้ของนางคืออัคคี หากว่าใช้ขนของนกอมตะตัวนั้นเป็นร่างเนื้อให้กับนาง คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”
ซูเยามิได้หลอกลวงเขา วิธีนี้มีบันทึกเอาไว้อยู่ในคำภีร์สรรพสัตว์ของเผ่าจิ้งจอก
ตูู๋กูเจวี๋ยคิดถึงเจ้าติ๊งต๊องขึ้นมาในทันที
ตลอดเกือบสองปีมานี้ เขาเดินทางค้นหาไปจนเกือบจะทั่วทั้งหกภพภูมิ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องการกลับอยู่ตรงหน้านี้เองหรือ?
แต่เขาปิดตาลง ในสมองก็สามารถเห็นภาพที่เจ้าติ๊งต๊องกระดกก้นหาหนอนกินอยู่ในวังหลวงทุกๆวันได้เลย
บางครั้งยังเคยทำขนร่วงอยู่หลายเส้น
ตูู๋กูเจวี๋ย “….” เขารู้สึกว่าซูเยาใช่จงใจกลั่นแกล้งหรือไม่
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม….” ซูเยาหันศีรษะไปไม่มองเขา
“หากว่าเจ้ายังคงชักช้าร่ำไรอยู่ละก็ วันเวลาที่จะได้พบกับภรรยาก็คงจะต้องล่าช้าออกไป หากว่าข้าเป็นเจ้า….”
พูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นตูู๋กูเจวี๋ยหายลับไปพพร้อมกับสายลมแล้ว
…………………..
ตอนพิเศษ 5-1 ซูจี๋ x ตี้ซิน
ซูเยาใช้สองมือกอดอก พิงร่างเข้ากับกำแพงวังที่อยู่ด้านข้าง มุมปากยังมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ว่าออกจะขมขื่นอยู่บ้าง “พอถึงสุดท้ายแล้ว กลับเป็นข้าที่มาคอยส่งเสริมพวกเจ้าสองพี่น้อง ที่นี่ก็เหลือข้าที่ยังเป็นโสด เปลี่ยวเหงาอยู่ผู้เดียว”
เขามองดูเงาร่างสีแดงที่อยู่ใต้ต้นฮว๋าย มุมปากที่ยังมีรอยยิ้มขมขื่นก็ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ
เขารักอาหลันอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด ทั้งยังรักบ้านเผื่อแผ่นกกา หวังให้คนทั้งหลายที่อยู่รอบกายนางได้รับความสุข
หากว่าอาหลันอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ก็คงจะต้องการให้พี่ชายทั้งสองของนางมีความสุข มิใช่หรือ?
ในเมื่อเขาสามารถจัดการเรื่องราวแทนนาง ทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงได้ เขาก็มีความสุขแล้ว
เขารักนาง จึงปรารถนาให้นางมีความสุข
หวังให้ทุกคนที่นางรักอยู่ดีมีความสุข
แม้ว่า….ในบรรดาคนที่นางรักนั้นจะมิได้มีเขารวมอยู่ด้วยก็ตาม
ค่ำคืนใต้หิมะโปรย จิ้งจอกที่อยู่ในชุดสีแดง ดูงดงามโดดเด่นจนบาดตา
พี่ใหญ่เคยบอกเอาไว้ ว่าสิ่งที่ขมขื่นที่สุดในโลกนี้ก็คือ รักที่มิได้รับการตอบสนอง มันช่างเจ็บปวด เจ็บปวดลึกไปถึงในกระดูก
เขาเองก็ติดอยู่ในความรักที่ไม่อาจสมปรารถนานี้เช่นกัน แต่ว่ายังดี
ที่อย่างน้อย ชั่วชีวิตนี้ เขาจะไม่มีทางเกลียดอาหลัน
หิมะที่ตกหนักเกาะอยู่บนบ่าของเขาจนกลายเป็นชั้นขึ้นมา ซูเยาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำ พระจันทร์เต็มดวงแล้ว
แสงจันทรายังกระจ่างกว่าหิมะอยู่หลายส่วน ยามที่จันทร์เต็มดวงพี่ใหญ่มักจะนั่งอยู่เพียงลำพังในสวนบุปผาวิญญาณ มองดูพระจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ตลอดทั้งคืน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ บางทีนางอาจจะยังค้นหาคนผู้นั้นอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของแดนสวรรค์อย่างไม่ยอมเลิกลากระมั้ง
ทั้งๆที่บอกเอาไว้ว่า ‘คะนึงหายาวนาน มิเคยลืมเลือน’ แต่พอพี่ใหญ่ขึ้นไปบนแดนสวรรค์ เขาก็เหมือนจะระเหยตัวไปจากหกภพภูมิ ไม่เหลือแม้แต่ร่อยรอยใด
หากเปรียบเทียบกับตู๋กูเจวี๋ยที่เสาะหาสิ่งที่จะมาเป็นร่างให้กับดวงจิตของชือหลีไปทั่วทั้งหกภพภูมิ พี่ใหญ่เองใยมิใช่ว่าเสาะหาตี้ซินไปทั่วทั้งหกภพภูมิเช่นกัน เพียงแต่ว่านางไม่อยากยอมรับ จึงปากแข็งพูดไปอีกทางเท่านั้น
แต่ว่าคนผู้นั้น….ตกลงแล้วไปยังที่ใดกันแน่นะ?
………….