ดินแดนของโลกโบราณ ปลายฤดูใบไม้ร่วงนับว่าเป็นช่วงที่งดงามที่สุด
ทั่วทุกพื้นที่เปลี่ยนเป็นสีแดง แสงสีแดงก่ำราวกองไฟอาบไล้ไปกว่าครึ่งท้องฟ้า แสงสีแดงและสีทองผสานกันกลายเป็นความวิจิตรอย่างที่สุด งดงามราวภาพฝัน
ยามดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ ที่ปากประตูใหญ่ของพระตำหนักตี้หัวกง ต้นฮว๋ายสองต้นเติบโตอย่างสมบูรณ์งดงาม
แสงอาทิตย์อัสดงส่องผ่านใบไม้ที่แน่นขนัดลงมา แสงอ่อนจางตกต้องลงบนร่างของหยวนเมิ่ง จนชุดกระโปรงสีดำมีแสงฉาบไล้แวววาว
ดวงหน้าของนางมีผ้าโปร่งผืนบางปิดเอาไว้ ในดวงตางดงามคู่นั้นคล้ายจะมีแสงสีแดงจางๆ ที่มิได้เป็นประกายสักเท่าใด
ตู๋กูจุนยืนอยู่แต่ไกล เฝ้ามองนางมาเนิ่นนานแล้ว
หลังสงครามบนแดนสวรรค์ เผ่าภูติได้รับชัยชนะ ตี้เสียพ่ายแพ้จนจิตวิญญาณแตกสลาย ฮว๋ายยู่ผู้นั้นผูกพันกับเขาอย่างลึกล้ำ ถึงกับคว้าเอาเศษผ้าของตี้เสียกระโดดลงไปในลานประหารเซียน
กระโดดลงไปในลานประหารเซียน ย่อมมีแต่ตกตายอย่างไร้ที่กลบฝัง หมดโอกาสจะเกิดใหม่อีกครั้ง
นางเป็นสตรีร้ายกาจ แต่ก็เป็นสตรีโง่เขลาด้วย
ใช่แล้ว ….น้องเล็กของเขาก็เป็นสตรีโง่เขลาเหมือนกันมิใช่หรือ?
รอจนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงบนท้องฟ้าก็มืดลง ดวงดาราบนท้องฟ้าค่อยส่องประกายสุกใสขึ้นมาแทน
ตู๋กูจุนกำลังหันร่างไป แต่ที่ด้านหลังมีสายลมเย็นหอบหนึ่งพัดมา เขาได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของสาวน้อยลอยมาพร้อมกับสามลมยามค่ำที่หนาวเย็น
“ข้าอยากให้หวังเฟยทรงกลับมาอย่างปลอดภัย”
นับตั้งแต่ที่นางกลายเป็นหนึ่งในสิบยมราช ชีวิตของนางถูกกำหนดให้อุทิศตนเองเพื่อหวังเฟย
ชีวิตของนางมีไว้เพื่อปกป้องหวังเฟย จนกว่าวิญญาณจะสลาย
ตู๋กูจุนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาแข็งทื่ออยู่กับที่เดิม ในดวงตามีแต่หยวนเมิ่งเท่านั้น เขามองดูนางที่เยื้องย่างอยู่ใต้แสงดาวเกลื่อนฟ้า ก้าวตามสายลมมาที่เบื้องหน้าเขา
นัยตาสีดำที่งดงามคู่นั้นลึกล้ำจนไม่มีแสงดาวใดสะท้อนออกมา ทั้งๆที่เป็นดวงตาที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ แต่กลับมีความมุ่งมั่นบางอย่างอยู่
นางยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าอยากให้หวังเฟยเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย”
ไม่ว่านางจะพูดเรื่องใดซ้ำๆ น้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่เคยเปลี่ยน ตลอดร่างไม่มีกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์ปุถุชนแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นตุ๊กตาหุ่นชักตัวหนึ่ง
ราวกับว่า ไม่อาจเสาะหาเงาของสาวน้อยที่สดใสร่าเริงได้อีกตลอดกาล
หัวใจของตู๋กูจุนเจ็บแปลบอย่างแรง
เขาไม่ได้ถอย แต่กลับก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง พลางยื่นมือออกไปคว้าหยวนเมิ่งมากอดเอาไว้ แต่กลับเห็นแส้ในมือของนางฟาดออกมา
ตู๋กูจุนมิได้หลบหลีก เขายืนนิ่งรับแส้ของนาง
“เพี้ยะ…” แส้เส้นนั้นฟาดลงมา ทำเอาเสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น แม้แต่เนื้อหนังบนหัวไหล่ก็ยังถูกฟาดจนหลุดไปชิ้นใหญ่
แววตาของหยวนเมิ่งเพิ่มความเกลียดชังขึ้นมาจางๆ “ข้าต้องการเพียงหวังเฟยเท่านั้น”
ตู๋กูจุนรับแส้นั้นของนาง โดยมิได้ส่งเสียงใดออกมาสักคำ เลือดจากหัวไหล่ไหลไปตามเสื้อผ้าชุ่มโชกไปทั้งท่อนแขนจนถึงข้อมือ เขาได้แต่พยายามยับยั้งความต้องการของตนเองอย่างที่สุด
“น้องเล็กตอนนี้อยู่อย่างสุขสบายและปลอดภัยในโลกมิติปัจจุบัน ไม่จำเป็นจะต้องกังวลไป”
เมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาได้พบกับเยี่ยเฉินครั้งหนึ่ง
แม้ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยเฉินจะเป็นตัวอุบาทว์ตัวหนึ่ง แต่หลังจากที่ถูกน้องเล็กสยบแล้ว ในสงครามแดนสวรรค์ เยี่ยเฉินก็นำพาเผ่ามังการมาร่วมทัพไม่น้อย
หลังจากนั้น เยี่ยเฉินยังนำพาตู๋กูจุนไปยังหุบเหวไร้ก้นบึ้ง วันนั้นเขาจึงได้พบกับบิดาแท้ๆของตนเอง เยี่ยจ้าน
พวกเขาได้เห็นภาพในลูกแก้ว จากบิดาที่ไร้น้ำใจผู้นั้น ตอนนี้น้องเล็กสุขสบายดี
เพียงแต่ว่านางในตอนนี้ยังไม่อาจกลับมาที่แผ่นดินแห่งนี้ได้เป็นการชั่วคราว แต่สักวันหนึ่งก็จะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
หยวนเมิ่งมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ที่ไม่อาจเข้าใจได้ในนัยตาสีดำคู่นั้น เหมือนกับบ่อน้ำลึกที่ทำให้คนจมดิ่งลงไป
“ข้าต้องการแค่หวังเฟย”
ครู่หนึ่ง ริมฝีปากที่ซีดขาวของนาง ก็เอ่ยคำเดิมออกมาซ้ำอีก
สำหรับหยวนเมิ่งแล้ว หากไม่ได้เจอตู๋กูซิงหลันด้วยตนเอง ทั้งหมดก็ไร้ความหมาย
ตู๋กูจุน “….”
ที่จริงเขาได้ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีและเวลาทุ่มเทให้กับนาง ด้วยความหวังว่าจะสามารถปลุกความรู้สึกของนางให้ตื่นขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย แต่ว่าสุดท้ายแล้วนี้ก็เป็นเพียงหยดน้ำที่กลืนหายไปในมหาสมุทรเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์ใดทั้งสิ้น
ขณะที่หัวใจของเขาหนักอึ้ง มือข้างหนึ่งก็ได้วางลงบนบ่าของเขา
ตู๋กูจุนหันกลับไป ก็เห็นว่าเป็นซูเยาที่ยืนมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ ปัญหานี้แก้ได้อย่างง่ายดาย ท่านเชื่อข้าหรือไม่?”
ว่ากันตามจริงแล้ว ตู๋กูจุนไม่ได้เชื่อถือเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรซูเยาก็เป็นพวกที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังไล่ตามน้องเล็ก ก็ถึงกับปลอมเป็นหญิงอยู่หลายปี ตู๋กูจุนที่เป็นบุรุษอกสามศอกแท้ๆเห็นแล้วก็รู้สึกว่าพิลึกพิลั่นนัก
แต่ว่าพอหันกลับไปมองดูหยวนเมิ่งที่ไร้ความรู้สึกใดๆ คำพูดที่มาถึงริมฝีปากของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
“เจ้ามีวิธีใดกัน?”
ซูเยาหัวเราะพลางยักคิ้ว “นั่นก็ต้องดูว่าท่านสามารถเสียสละตนเเองเพื่อแม่นางหยวนเมิ่งได้หรือไม่แล้ว”
ตู๋กูจุน “ต่อให้ต้องร่างแหลกกระดูกสลาย ก็ไม่หวั่น”
ซูเยา “มิได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น หากท่านตายไป รอเมื่ออาหลันกลับมา มิต้องสังหารข้าในดาบเดียวหรอกหรือ?”
หยวนเมิ่งไม่มีแก่ใจจะสนใจพวกเขาทั้งสองคน นางกลับไปยืนอยู่ใต้ต้นฮว๋าย มองดูท้องฟ้าที่เกลื่อนไปด้วยหมู่ดาว
บนท้องฟ้ามีดวงดารามากมาย หวังเฟยอยู่ในดวงดาวใดกันแน่นะ?
………..
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ที่จริงหนังหน้าของท่านนี้ ก็มีความคล้ายคลึงกับอาหลันอยู่สักสองส่วน”
“ข้ามีวิชาแปลงโฉมเปลี่ยนชายกลายเป็นหญิง ที่ยอดเยี่ยมดุจเทพเนรมิต แม้แต่แม่นางหยวนเมิ่งก็ไม่มีทางดูออก”
“เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ช่วงหนึ่ง ท่านต้องฝึกฝนกริยาและน้ำเสียง จะต้องทำให้คล้ายคลึงกับอาหลันถึงเก้าส่วน จึงจะสามารถมาปรากฏตัวตรงหน้าแม่นางหยวนได้”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ทำไมถึงไม่พูดจาแล้วเล่า? หรือว่าไม่เต็มใจทำ?”
“เฮอะ…ว่าแล้วว่าเป็นแค่คำพูดที่น่าฟังเท่านั้น ในใจของท่านมิได้รักแม่นางหยวนเมิ่งสักเท่าไรหรอก”
ตู๋กูจุน “ข้าเต็มใจ แต่ว่าข้าไม่ต้องการหลอกลวงนาง”
ทั้งๆที่เขารักนางมาถึงเพียงนี้แท้ๆ แต่กลับปฏิเสธนางไปครั้งแล้วครั้งเล่า โกหกนางว่าไม่ได้ชอบนาง
เขาเคยสาบานไว้ ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่หลอกลวงนางอีกแล้ว
ซูเยา “นี่เรียกว่าโกหกเพราะรักแท้ ไม่ถือว่าหลอกลวง”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเองก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง…ในใจของเขาคิดถึงอาหลันจนเจ็บปวด หากว่าสามารถได้เห็น….แม้ว่าจะเป็นผู้อื่นที่ปลอมเป็นอาหลันก็ตาม ชีวิตของเขานี้ก็คงพอจะได้รับการเติมเต็มอยู่บ้าง
……..
หยวนเมิ่งเฝ้ารออยู่ใต้ต้นฮว๋ายเป็นวันที่ห้าร้อยยี่สิบ
ยามนี้เป็นฤดูหนาวแล้ว ใบของต้นฮว๋ายร่วงลงมาหมดแล้ว บนต้นฮว๋ายมีแต่ก้อนหิมะหนาเป็นชั้นๆ
นางยังคงสวมใส่ชุดกระโปรงสีดำ ใต้ฝ่าเท้ามีแต่หิมะที่หนาเต็มไปหมด แสงจันทร์ส่องลงมา แม้แสงจันทราจะอ่อนโยน แต่ก็แบ่งแยกเงาขาวดำออกจากกันอย่างชัดเจน
“หวังเฟย จะทรงกลับมาใช่ไหม?”
นางถามคำถามกับตนเอง น้ำเสียงเหมือนมีความไม่แน่ใจ
ทุกคนล้วนบอกกับนางว่า ตอนนี้หวังเฟยสุขสบายดี แต่ว่านางมิได้เห็นด้วยตาตนเอง จึงไม่ขอยอมเชื่อ
“นั่นย่อมแน่นอน”
ที่ด้านหลัง มีเสียงที่นางคุ้นเคยดังออกมา แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูหนาว แต่กลับมิได้รู้สึกว่าหนาวเย็นอีกแล้ว
หยวนเมิ่งหันกลับไปทันที ก็เห็นว่าใต้แสงจันทร์ สตรีผู้หนึ่งสวมใส่ชุดกระโปรงสีแดง ยิ้มให้กับนางอย่างงดงาม
ตู๋กูจุนก้าวเท้าออกไป กระดูกทุกข้อในร่างล้วนปวดร้าวจนทรมาน
วิชาแปลงโฉมของซูเยา เปลี่ยนแปลงได้แม้กระทั่งโครงกระดูกของเขา ตอนนี้ทุกครั้งที่ก้าวเดินเขาต้องเจ็บปวดทรมาน เป็นความทรมานที่ยิ่งกว่าหมื่นดาบแทงหัวใจ
แต่ว่าทั้งหมดนี้ เหมือนได้เห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของหยวนเมิ่ง ก็คุ้มค่าแล้ว
ชั่วชีวิตที่เหลือ แม้ว่าจะต้องอยู่ในคราบของน้องเล็กเพื่อจะได้อยู่เคียงข้างนาง แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเจียนตาย เขาก็เต็มใจ
เต็มใจที่สุด
“หวังเฟยเพคะ!” หยวนเมิ่งพุ่งเข้ามาที่ข้างกายเขา
ทั้งๆที่สมควรจะเป็นคนที่ปราศจากความรู้สึก ตู๋กูจุนกลับสังเกตเห็นแล้วว่านางกำลังตื่นเต้นดีใจ
นางถึงกับกอดเข้าเอาไว้ “ข้าเชื่ออยู่แล้ว ว่าวันหนึ่งท่านจะต้องกลับมา!”
มือที่ค้างอยู่กลางอากาศของตู๋กูจุน ค่อยๆลูบลงบนแผ่นหลังของนางเบาๆ “อืม ต่อไปไม่ไปไหนแล้ว”
หยวนเมิ่งยิ้มออกในทันที นางปล่อยตู๋กูจุน ดวงตาสีดำคู่นั้นจดจ้องไปที่เขา
“อยู่ๆก็รู้สึกว่า เจ้าคนที่ถือดาบยักษ์ผู้นั้น มีส่วนคล้ายหวังเฟยอยู่สักสองส่วน ดังนั้นจะไม่เกลียดเขาสักเท่าไหร่แล้ว”
ลมหนาวพัดแรง แต่ว่าหัวใจของตู๋กูจุนกลับรู้สึกอบอุ่น
เจ้าคนถือดาบยักษ์ที่นางพูดถึง ก็คือเขาสินะ
นางไม่เกลียดชังเขาแล้วหรือ?
เช่นนี้แล้ว สักวันหนึ่ง หยวนเมิ่งที่เป็นคนเดิม ก็คงจะกลับมาหาเขาได้ในสักวัน
……………….