ตอนที่ 1038: คารา ลี่เว่ย

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1038: คารา ลี่เว่ย

เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าเขาควรจะทำยังไงหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ พวกเขาไม่ได้พบกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กวานหยูไค่ก็อยู่กับหยางหลิง

“กวานหยูไค่นั้นหน้าไม่อายและพึ่งพาไม่ได้บางครั้ง เขาเกาะติดข้าอยู่ตลอดเวลาและพูดไม่หยุด ในขณะที่หยางหลิงเป็นคนที่เงียบครึม เขาธรรมดาและซื่อสัตว์ ดังนั้นมันจึงต้องน่าสนใจแน่ ๆ ที่พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน” เจี้ยนเฉินคิดในใจ

ในไม่ช้า หยางหลิงที่ร่างกำยำก็ถูกพามา และกวานหยูไค่ในชุดขาวที่มีตราสีฟ้าตรงหน้าอกก็ตามมาด้วย

“โอ้ ว้าว น้องหยางยู่เทียน เจ้าจริง ๆ ด้วย ในตอนที่ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสว่า น้องหยางยู่เทียนกลับมาเพื่อที่จะล้างแค้นตระกูลทั้งแปด ข้าไม่เชื่อเลยในตอนแรก แต่มันก็เป็นเจ้าจริง ๆ แล้วข้าก็ได้พบเจ้าอีกครั้ง” ตาของกวานหยูไค่เบิกกว้างขึ้นเมื่อเขาเห็นเจี้ยนเฉิน ความยินดีเต็มอยู่ในใบหน้าของเขา และเขาพุ่งไปข้าง ๆ เจี้ยนเฉินในขณะที่เขาสำรวจไปที่เจี้ยนเฉินและถามออกมาอย่างเหลือเชื่อ “น้องหยางยู่เทียน ที่พวกผู้อาวุโสพูด ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ ? เจ้ากลับมาเพื่อล้างแค้นตระกูลทั้งแปด และการต่อสู้ที่ดุเดือดที่เพิ่งเกิดขึ้นในท้องฟ้าในเมืองไม่ใช่เจ้า ? “

ประธานขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นพฤติกรรมของกวานหยูไค่ เขาตำหนิออกมาเสียงทุ้ม “กวานหยูไค่ อย่าทำไม่สุภาพกับน้องเจี้ยนเฉิน”

“อ่าห์ ! อาจารย์ ท่านผู้อาวุโสสูงสุด พวกท่านทั้งสองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน กวานหยูไค่ขอคารวะอาจารย์และท่านผู้อาวุโสสูงสุด” กวานหยูไค่ดูเหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่าประธานและผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่นี่ เขาหยุดทำท่าทางตลกทันทีและคารวะไปที่ทั้งสองอย่างนอบน้อม

หลังจากที่เขาพลาดในการหลอมรวมกับพลังงานดั้งเดิมของพลังเซียนธาตุแสง เขาก็ถูกท่านประธานรับเอาไปเป็นศิษย์ อย่างไรก็ตาม ตัวตนของเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าเจี้ยนเฉินและหยุนเทียนที่เป็นลูกศิษย์ของท่านประธานก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนนักเรียนกับอาจารย์มากกว่า

กวานหยูไค่ชื่นชมท่านประธานและผู้อาวุโสสูงสุดอย่างมากในใจ เขาเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพทันทีต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง และยืนอยู่ที่ข้างหนึ่งอย่างเงียบ ๆ และเชื่อฟัง เขาจ้องไปที่เจี้ยนเฉินบ่อย ๆ และต้องการที่จะพูดบางอย่าง แต่เขาก็เก็บไว้ในขณะที่ท่านประธานและผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่นี่

เจี้ยนเฉินรู้สึกยินดีเมื่อเขาได้พบกับคนที่เคยรู้จักในอดีต แม้ว่ากวานหยูไค่และหยางหลิงจะไม่ได้ถือว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นสหายที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่กับเขา

“กวานหยูไค่ พวกเรามาพูดถึงวันเก่าเก่าทีหลังดีกว่า” เจี้ยนเฉินยิ้มไปที่กวานหยูไค่ที่กำลังยิ้มอย่างเชื่อฟัง

กวานหยูไค่พยักหน้า เขาตอบกลับเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรในขณะที่เขามองไปที่ท่านประธานและผู้อาวุโสสูงสุดด้วยท่าทีที่รำคาญ

เจี้ยนเฉินมองไปที่หยางหลิง เขาสำรวจอย่างใกล้ชิด หลังจากที่แยกกันไปเป็นสิบปี หยางหลิงก็เหมือนเดิมเป๊ะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย

“หยางหลิง มันก็ผ่านไปหลายปีแล้วที่พวกเราเจอกันครั้งล่าสุด เจ้าเป็นอย่างไรบ้างหลายปีที่ผ่านมานี้ ? ” เจี้ยนเฉินยิ้ม

สายตาที่หยางหลิงมองไปที่เจี้ยนเฉินนั้นสับสนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ป้องมือไปที่เจี้ยนเฉินอย่างนอบน้อม “หยางหลิงขอคารวะอาจารย์หยางยู่เทียนที่เคารพ ข้าขอบคุณอาจารย์หยางยู่เทียนที่ห่วงใย หยางหลิงสบายดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้”

“หยางหลิง เจ้าเรียกข้าว่าเจี้ยนเฉินก็ได้ เจี้ยนเฉินเป็นชื่อจริง ๆ ของข้า” เจี้ยนเฉินพูด

“ขอรับ อาจารย์เจี้ยนเฉิน” หยางหลิงป้องมือแล้วตอบกลับ เขาสุภาพเหมือนก่อนหน้านี้

เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ที่เตียงใหญ่ที่ดูสบายในขณะที่เขาจ้องไปที่หยางหลิงด้วยความสนใจ เขาพูดอย่างจริงจัง “หยางหลิง เจ้าเกลียดข้าหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินให้ความสำคัญอย่างมากกับหยางหลิง สถานะของหยางหลิงในใจของเจี้ยนเฉินนั้นเหนือกว่ากวานหยูไค่ หรือแค่สหายธรรมดาบางคน

ในตอนนั้นบนเรือที่แม่น้ำน้ำหอม เขาเผชิญกับการพยายามลอบสังหารจากตระกูลทั้งแปด หยางหลิงยังปรารถนาที่แม้แต่จะสละชีวิตเพื่อที่จะปกป้องเจี้ยนเฉินเพื่อที่จะให้หนีไปได้ ซึ่งทำให้เจี้ยนเฉินซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

“หยางหลิงมิบังอาจ ! ” หยางหลิงทำเหมือนว่าตนเป็นข้ารับใช้ และไม่มีเกียรติในฐานะเซียนสวรรค์ เขาพูดอย่างสุภาพมาก

“หยางหลิง เจ้ายังจำที่ข้าสัญญาตอนนั้นได้หรือไม่ ? ข้าเคยพูดกับเจ้าว่าข้าจะช่วยเจ้าถ้าข้ามีโอกาส ข้าจะทำตามที่ข้าพูดในตอนนี้ เจ้าปรารถนาที่จะตามข้าไปและตัดผ่านเป็นเซียนผู้คุมกฎหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินถาม เขามั่นใจมากในการที่จะทำให้หยางหลิงกลายเป็นเซียนผู้คุมกฎ

ตาของหยางหลิงเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อเขาได้ยินเรื่องการเป็นเซียนผู้คุมกฎ เขายินดีขึ้นแต่สายตาของเขาก็หมองลงในไม่ช้า เขามองไปที่ประธานของสมาคม

ท่านประธานหัวเราะคิกคัก “หยางหลิง การที่จะได้ตามน้องเจี้ยนเฉินไปนั้นเป็นโชคที่ดีที่สุดที่เจ้าจะได้เจอในชีวิต ทำไมเจ้าไม่รีบขอบคุณน้องเจี้ยนเฉินล่ะ ? ข้าเชื่อว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างมากในอนาคตด้วยความช่วยเหลือจากน้องเจี้ยนเฉินและกลายเป็นจอมยุทธที่สุดยอดได้”

หยางหลิงทำเหมือนว่าเขาเพิ่งพ้นจากความผิด เขาตื้นตันและป้องมืออย่างนอบน้อมไปที่เจี้ยนเฉิน “ข้าขอขอบคุณความมีน้ำใจของอาจารย์เจี้ยนเฉินมาก”

“น้องเจี้ยนเฉิน ข้าจะยกหยางหลิงให้กับเจ้า จากนี้เป็นต้นไป เขาคือคนของเจ้า สมาคมจะไม่ยุ่งกับเรื่องใดใดก็ตามที่เขาทำ” ท่านประธานบอกกับเจี้ยนเฉิน ด้วยความแข็งแกร่งและสถานะของเจี้ยนเฉินในตอนนี้ สมาคมทำได้แต่ยอมอย่างเชื่อฟัง ถึงแม้ว่าเขาต้องการที่จะเอาคนไปจากสมาคมก็ตาม

ในตอนนี้ ผู้อาวุโสที่ติดตราสีม่วงได้เดิมเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่องถักลาย เขาเดิมตรงไปที่ท่านประธานแล้วพูด “ท่านประธาน ข้าได้นำของที่ท่านต้องการมาจากคลังสมบัติแล้ว”

ท่านประธานรับกล่องมาจากผู้อาวุโสและเปิดมันออกช้า ๆ หินสีขาวขนาดเท่ากำปั้น 3 ก้อนวางอยู่อย่างนิ่งนิ่งด้านใน พวกมั้นทั้งหมดเป็นทรงลูกบาศก์และโปร่งแสง ดูเหมือนมันเป็นหยกคุณภาพสูงประเภทหนึ่ง

“น้องเจี้ยนเฉิน หินเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ หินหยกเพลิง มันเป็นหินที่หาพบยากมากในทวีป แต่ละชิ้นนั้นมีค่ามากและยากที่จะหาซื้อได้ หินสามารถเก็บพลังงานได้ และพลังงานที่จะเก็บได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของมัน ถ้าเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 ใส่พลังลงไปในมัน แม้แต่คนธรรมดาก็จะสามารถปล่อยพลังการโจมตีของเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 ได้ด้วยหินนี้ นี่รวมถึงเซียนราชาด้วยเช่นกัน หินหยกเพลิงทั้งสามที่อยู่ในมือของข้าตอนนี้นั้นมีคุณภาพที่ดีที่สุดและสามารถที่จะเก็บพลังของเซียนราชาขั้นสูงสุดได้ น้องเจี้ยนเฉินเป็นคนในครอบครัว ดังนั้น ข้าจึงอยากจะมอบหินทั้งสามนี้ให้เป็นของขวัญแก่น้องเจี้ยนเฉินและข้าหวังว่ามันจะช่วยน้องเจี้ยนเฉินได้บ้าง” ท่านประธานนำกล่องมาตรงหน้าเจี้ยนเฉินและส่งให้เขา

เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงตอนที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันในวัตถุเซียนหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของท่านประธาน เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 ของตระกูลซาร์นำเอาหินมหัศจรรย์มาจากด้านนอกและใช้มันเพื่อนำเอาการโจมตีของเซียนราชาออกมา ถ้าดูแบบนั้น หินนั้นน่าจะเป็นหินหยกเพลิงที่ท่านประธานเพิ่งบอกเขา

“ข้าขอบคุณท่านประธานสำหรับของขวัญล้ำค่านี้” เจี้ยนเฉินไม่ได้ปฏิเสธ เขารับหินทั้งสามมาอย่างยินดี หินพวกนี้สามารถเก็บพลังของเซียนราชาขั้นสูงสุดได้ ซึ่งหมายความว่า แม้แต่คนธรรมดาก็ยังสามารถโจมตีออกไปได้เท่ากับการโจมตีของเซียนราชาขั้นสูงสุดได้ ถ้าใส่พลังลงไปในหินก่อนล่วงหน้า นี่เป็นสมบัติที่ล้ำค่าสำหรับเจี้ยนเฉิน

เจี้ยนเฉินอยู่ที่สมาคมหนึ่งวันเต็มเต็ม เขาพูดคุยเยอะแยะกับท่านประธานและผู้อาวุโสสูงสุดและยังมีการเอ่ยถึงหยุนเทียนในการพูดคุยของพวกเขาด้วย อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินได้รู้มาว่าหยุนเทียนได้หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะใช้ทักษะพิเศษเพื่อตามหาไปทั่วทวีป พวกเขาก็หาร่องรอยไม่เจอ

ในตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังจะออกไปจากสมาคม พระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้วและความมืดก็คืบคลานเข้ามา ทุก ๆ อย่างปกคลุมไปด้วยความมืดยามค่ำคืน

“น้องเจี้ยนเฉิน มันก็เป็นสิบปีแล้วที่พวกเราเจอกันครั้งล่าสุด และใครจะรู้ว่าอีกนานเท่าไรพวกเราถึงจะได้พบกันอีก คืนนี้ ข้าจะจัดการจ่ายทั้งหมดเอง ข้าอยากจะเชิญเจ้าไปที่เรือที่มีชื่อเสียงที่สุดของแม่น้ำน้ำหอม น้องจะให้เกียรตินั้นได้หรือไม่ ? ” กวานหยูไค่หัวเราะออกมา เขาอยู่ในอารมณ์ร่าเริงเหมือนก่อนหน้านี้

เจี้ยนเฉินไม่ได้ปฏิเสธคำแนะนำของกวานหยูไค่ เขานั่งรถม้าไปที่แม่น้ำน้ำหอมที่อยู่นอกเมืองพร้อมกับกวานหยูไค่และหยางหลิงที่นั่งเงียบ ๆ เช่นเดียวกันกับเฮยยู่และหงเหลียน

ในอีกมุมหนึ่ง รุยจินก็ได้เข้าไปในวัตถุเซียนพร้อมกับหินหยกเพลิงที่เจี้ยนเฉินได้รับมาจากท่านประธานเพื่อที่จะใส่พลังลงไปในพวกหิน ในขณะเดียวกัน ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของนิกายดาบโลหิตก็แยกตัวไป

เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงในขณะที่เขานั่งอยู่ในรถม้า ในตอนนี้ หัวใจของเขานั้นเงียบสงบซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก เขารู้สึกเหมือนว่าเขากลับไปเหมือนก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6

ในคืนนี้ กวานหยูไค่เป็นคนจ่าย เขาจองเรือที่มีชื่อที่สุดของแม่น้ำน้ำหอม และเขาจ่ายไปหลายหมื่นเหรียญผลึก อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้ระคายอะไรกับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6

เรือเล่นผ่านสายลมและคลื่นในยามค่ำคืนไป ในขณะทีเสียงเพลงที่นุ่มนวลก็เล่นอยู่ ฝั่งทั้งสองเต็มไปด้วยแสงไฟจากโคมในขณะที่มีเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน นี่เป็นที่ซึ่งมีชีวิตชีวาทุกค่ำคืน ที่ซึ่งขุนนางมารวมตัวกัน

ที่ดาดฟ้าเรือ เจี้ยนเฉิน กวานหยูไค่และหยางหลิงกำลังกินและดื่มกัน พวกเขาพูดคุยทุกอย่างในขณะที่แม้แต่เสือขาวที่ขนาดเท่าแมวยังถูกให้ออกมาจากวัตถุเซียน มันกำลังกินดื่มอาหารหลากชนิดที่อยู่บนโต๊ะ

โหยวเยว่ยังอยู่ในวัตถุเซียน และกำลังใช้แกนอสูรระดับต่ำเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอยู่ นางได้รับการปกป้องจากวัตถุจิตวิญญาณอยู่ งนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่กังวลอันตรายที่อาจจะเกิดกับนาง

เฮยยู่และหงเหลียนตามเจี้ยนเฉินมา แต่พวกเขาก็ไม่สนใจจะไปร่วมวงด้วยด้วยอายุของพวกเขาในตอนนี้ พวกเขานั่งอยู่ที่ด้านหลังเรือในขณะที่พวกเขาหลับตาพักผ่อน

แสงสีขาวพุ่งผ่านท้องฟ้าที่มืดมิดยามค่ำคืนมา และตรงมาทางเรือที่เจี้ยนเฉินอยู่ หลังจากนั้น มันก็ร่อนลงอย่างช้า ๆ ที่ดาดฟ้าเรือ

เจี้ยนเฉิน กวานหยูไค่ และหยางหลิงมองไปที่แขกที่ไม่ได้รับเชิญ นั้นคือหญิงที่มีเสน่ห์ที่อยู่ในชุดขาวดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบกว่าปี

“หยางยู่เทียน เจ้าหายไปเป็นสิบปี ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจที่จะกลับมา” คนงามยิ้มออกมาอย่างดีใจในขณะที่นางเดิมอย่างสง่างามไปที่เจี้ยนเฉิน

“ข้าไม่คิดเลยว่าจะเป็นแม่นางคารา ลี่เว่ย หลังจากผ่านไปหลายปีแล้ว แม่นางคารา ลี่เว่ยก็ยังคงงดงามเหมือนเดิมและไม่เปลี่ยนไปเลยแม้จะผ่านไปหลายปี” เจี้ยนเฉินยิ้มกลับไปที่หญิงสาว นางเป็นคุณหนูของตระกูลคารา คารา ลี่เว่ย