บทที่ 541.1 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสามคนเร่งเดินทางตอนกลางคืน ลำธารในหุบเขาไหลริกๆ ส่งเสียงไพเราะเสนาะหู

นักพรตผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งมีสายตาฉายประกายเฉียบคม สวมชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่ที่ทอจากผ้าไหม รูปแบบของชุดคลุมเต๋าค่อนข้างเก่าแก่ ลายปักมองดูแล้วค่อนข้างจะยิบย่อย เป็นภาพสิบสองภาพที่สอดคล้องกับเดือนทั้งสิบสองเดือนของหนึ่งปี แต่ละภาพมีการปักอย่างประณีตงดงาม

สะพายกระบี่ไม้ท้อ ตรงเอวห้อยกระพรวนทองแดง

เดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ นักพรตเฒ่าเผยท่วงท่าองอาจของเทพเซียน

อีกคนหนึ่งคือคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่ถือไม้เท้าเดินป่ารองเท้าสาน สวมชุดคลุมสีขาว ห้อยดาบสั้นฝักสีทองไว้หนึ่งเล่ม

ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งสะพายห่อสัมภาระ ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ติดตามของคนหนุ่ม

คนทั้งสามพลันหยุดเดิน พอจะมองเห็นได้รำไรว่าริมธารน้ำที่ห่างไปไกลมีคนนั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่บนหินก้อนใหญ่ ราวกับว่ากำลังอาศัยแสงจันทร์เปิดอะไรบางอย่างดูอยู่

ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองกระพรวนตรงเอวของนักพรตเฒ่า ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

คนทั้งสามจึงพอจะโล่งใจได้บ้าง

กระพรวนนี้คือวัตถุวิเศษล้ำค่าที่ค่อนข้างจะมีภูมิหลัง ชื่อว่ากระพรวนเจดีย์วิเศษ เดิมทีคือวัตถุอาคมที่แขวนไว้ใต้ชายคาของวัดโบราณแห่งหนึ่งในราชวงศ์ต้าหยวน ภายหลังเพื่อขยายขนาดให้แก่ตำหนักของหน่วยฉงเสวียน ฮ่องเต้ต้าหยวนจึงรื้อตำหนักใหญ่ของวัดโบราณออกไปหลายหลัง ช่วงเวลาระหว่างนี้ กระพรวนเจดีย์วิเศษจึงพลัดตกมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ผ่านการเปลี่ยนมืออยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าของคนปัจจุบันไปพบมันอยู่บนโครงกระดูกขาวโครงหนึ่งในถ้ำกลางภูเขาลึกโดยบังเอิญ แล้วยังได้โครงกระดูกร่างจริงของงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งมาพร้อมกัน ได้กำไรมาถึงสองร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเต็มๆ และกระพรวนเจดีย์วิเศษก็ถูกเก็บไว้ข้างกายของเขา

ไม่ใช่ว่าต้องกลัดกลุ้มว่าจะขายราคาสูงไม่ออก แต่เป็นเพราะตัดใจขายไม่ลง ของดีที่แท้จริง ส่วนใหญ่มักจะมีแต่ราคา ทว่าหาซื้อไม่ได้เสมอ

ในตำรา ‘รวมเล่มไร้เสียง’ ที่อวี๋หย่วนเจ้าหอซินเซิงซึ่งเก็บสะสมกระพรวนไว้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเขียนขึ้นด้วยตัวเอง ลำดับขั้นของกระพรวนชิ้นนี้ค่อนไปทางรั้งท้าย

แต่ขอแค่เป็นกระพรวนที่ถูกบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้ ก็ไม่เคยต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่มีคนซื้อ

มีกระพรวนชิ้นนี้ ผู้ฝึกตนขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมยันต์จำนวนมากอย่างเช่นยันต์ทำลายสิ่งขีดขวาง ยันต์พิศสิ่งชั่วร้าย ยันต์สงบใจ เป็นต้น ขึ้นเขาลงห้วยครั้งสองครั้งยังเห็นผลได้ไม่ชัด แต่หากสะสมจากน้อยไปมาก ยันต์พวกนี้ก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ นอกจากนี้มีกระพรวนอยู่ในมือ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถขายได้ ไม่ว่าร้านค้าตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่บนท่าเรือแห่งไหนก็ล้วนยินดีทุ่มทองพันชั่ง ทางที่ดีที่สุดก็แน่นอนว่าไปเยือนหอซินเซิงโดยตรง แล้วขายให้กับอวี๋หย่วนผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ดูของเป็นที่สุดต่อหน้า

กระพรวนของลัทธิพุทธมีความหมายสามอย่างได้แก่สะดุ้งตื่น เบิกบานและข้อคิด แน่นอนว่านี่เป็นวิธีการพูดที่ค่อนข้างเลื่อนลอย สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ประสิทธิผลที่สำคัญที่สุดของกระพรวนเจดีย์วิเศษ ยังคงเป็นสองคำว่า ‘สะดุ้งตื่น’ ที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง นั่นก็คือทุกครั้งที่มีภูตผีปีศาจขยับเข้ามาใกล้ กระพรวนก็จะส่งเสียงขึ้นมาด้วยตัวเอง ยิ่งมีปราณสกปรกชั่วร้ายเข้มข้น ตบะของภูตผีปีศาจยิ่งสูง เสียงกระพรวนก็จะยิ่งดังสะเทือนฟ้า ภูตผีที่ขอบเขตต่ำกว่าประตูมังกรลงไปต่างก็ไม่อาจสกัดกั้นสัญญาณเตือนของกระพรวนนี้ได้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีประโยชน์ในการทำลายสิ่งกีดขวาง เวทอำพรางตาแห่งขุนเขาสายน้ำหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับผีบังตา เมื่อมีกระพรวนนี้อยู่ติดกาย ผู้ฝึกตนก็สามารถรักษาดวงตาให้แจ่มใสจิตใจสงบนิ่ง ไม่ต้องถูกหลอกให้หลงกล

คุณชายหนุ่มใช้เสียงในใจสื่อสารกับสหายสองคน “พวกเราสามคนล้วนเชี่ยวชาญการเข่นฆ่าแบบประชิดตัว และยังขาดคนหรือไม่ก็วัตถุที่สามารถใช้โจมตีได้ ไม่สู้ลองเสี่ยงดวงดูหน่อยไหม?”

นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงรู้สึกว่าสามารถทำได้

ชุดคลุมบนร่างที่แค่สวมใส่ไว้พอเป็นพิธีก็ดี หรือกระบี่ไม้ท้อที่สะพายไว้ด้านหลังก็ช่าง ล้วนเป็นเวทอำพรางตาทั้งสิ้น

อันที่จริงเขาคือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่อยู่ในอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งมาสิบกว่าปี ความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเรียนรู้วิชาเต๋ามาจากอารามเต๋าเก่าโทรมแห่งนั้นได้ แต่เป็นไม่เคยได้อาศัยอารามเต๋าและราชสำนักซื้อตัวตนนักพรตที่มีชื่อในทำเนียบมาได้ เดิมทีหากอิงตามลำดับอาวุโส ไม่ว่าอย่างไรก็ควรถึงคราวที่เขาจะได้ซื้อตัวตนที่มีชื่อบันทึกลงทำเนียบแล้ว คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะแอบเอาตำแหน่งนั้นไปขายให้กับคนเสเพลลูกหลานชนชั้นสูงคนหนึ่ง บอกว่าให้เขารอไปอีกสามปี ถึงท้ายที่สุดก็ต้องรอสามปีแล้วสามปีเล่า หลังจากที่อาจารย์ผู้เป็นเจ้าอารามผิดสัญญาไปหนึ่งครั้งก็บอกว่าคราวหน้าต้องถึงคราวของเขาแน่นอน คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ตายไปแล้วก็ยังมอบตำแหน่งเจ้าอารามให้แก่ศิษย์น้องคนหนึ่งที่สถานะทางบ้านมั่นคง หลังจากที่เขาออกจากอารามเต๋ามาอย่างเดือดดาลก็มาเดินอยู่บนเส้นทางของผู้ฝึกตนอิสระ แอบขโมยสมบัติพิทักษ์ภูเขาของอารามมาชิ้นหนึ่ง คือตำราลับเล่มหนึ่งที่เจ้าอารามแต่ละรุ่นเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่เคยมีใครบรรลุวิชาการเป็นอมตะได้แม้แต่น้อย

ทว่าฝ่ายของชายฉกรรจ์กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าไอ้หมอนั่นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มารวมกลุ่มกับคนที่ไม่รู้จักชั่วคราว อยู่ดีๆ ในกลุ่มมีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมา ก็ง่ายที่จะกลายเป็นหายนะ

คนหนุ่มยิ้มกล่าว “เดินหนึ่งก้าวก็ดูกันไปหนึ่งก้าว หากสำเร็จย่อมดีที่สุด ไม่สำเร็จก็ไม่เสียหาย อีกอย่าง การแบ่งทรัพย์สินหลังจบเรื่อง พวกเราสามคนกับเขาคนเดียว ไม่แน่ว่าอาจยังได้ทรัพย์สินเพิ่มเติมมาอีกหนึ่งก้อน ถูกไหมล่ะ?”

นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงลูบหนวดยิ้ม

ชายฉกรรจ์ถึงได้พยักหน้าตอบตกลง

คุณชายหนุ่มยิ้มเอ่ย “ขอให้ข้าลองหยั่งเชิงดูก่อน นักพรตซุนและพี่ใหญ่หวงรออยู่ที่นี่ก่อน”

คนหนุ่มเดินหน้าไปเพียงลำพัง หลังเดินออกไปได้หลายก้าว คนชุดดำที่นั่งหันหลังให้คนทั้งสามอยู่บนก้อนหินก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

พอคนหนุ่มเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าให้มากขึ้นอีกสองสามส่วน แล้วเดินออกไปอีกหลายสิบก้าว คนชุดดำผู้นั้นถึงได้พลันหันขวับกลับมา ลุกขึ้นยืนแล้วจ้องเขม็งมาที่คนหนุ่มที่มองดูเหมือนลูกหลานคนรวยผู้นี้

คนหนุ่มหยุดเดิน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยฉินจวี้หยวน เป็นคนของแคว้นเจียโย่ว สหายสองคนด้านหลังข้านี้ สถานที่ฝึกตนของนักพรตซุนคนหนึ่งในนั้นก็คือเรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์ที่ตั้งอยู่ทะเลบูรพา ผู้ถ่ายทอดมรรคาคือหนึ่งในเซียนซือของเรือนเทพสายฟ้า เทพเซียนผู้เฒ่าจิ้งหมิงเจินเหริน! น่าเสียดายที่จนถึงทุกวันนี้นักพรตซุนยังคงเป็นได้แค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ ปณิธานของนักพรตซุนอยู่ที่การออกเดินทางไกล เขาเดินทางมุ่งไปยังทิศตะวันออกตลอดเวลา คอยกำจัดปีศาจปราบมาร สะสมคุณความชอบใหญ่ไว้หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งร่วมกันสังหารปีศาจ จึงกลายมาเป็นสหายของพวกเรา ต่างคนต่างมองกันเป็นสหายสนิท ครั้งนี้ได้ยินว่าในภูเขาของแคว้นเป่ยถิงมีถ้ำสถิตบรรพกาลเผยกายบนโลก จึงอยากจะมาลองดูว่าพอจะมีโชควาสนากับเขาบ้างหรือไม่”

ทางฝั่งของก้อนหินใหญ่ริมน้ำคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำ มือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ มีริ้วคลื่นเป็นเส้นๆ ไหลเอ่อออกมาจากในชายแขนเสื้อตลอดเวลา

เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยใจที่ระแวดระวังภัยต่อแขกไม่ได้รับเชิญที่มาพบเจอกันโดยบังเอิญในภูเขาทั้งสามคนนี้

ผู้เฒ่าชุดดำหรี่ตาถาม “เรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์? บังเอิญยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาพอดี เล่าลือกันว่าวิชาอสนีที่เป็นวิชาเฉพาะของภูเขาอิงเอ๋อร์สามารถควบคุมสายฟ้า เรียกลมเรียกฝน อานุภาพทรงพลัง ไม่เพียงเท่านี้ ในมือข้าก็มียันต์วิชาลับของเรือนเทพสายฟ้าอยู่แผ่นหนึ่งพอดี”

ผู้เฒ่าคีบยันต์สายฟ้าแผ่นหนึ่งที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วชูขึ้นสูง หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่านักพรตซุนท่านนี้จำได้หรือไม่ว่านี่คือยันต์แสงตะวันสยบผีหรือยันต์ไล่โรคห่าปราบวัดของภูเขาอิงเอ๋อร์กันแน่?”

คุณชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลัง มือข้างหนึ่งแบ ข้างหนึ่งกำ

บอกเป็นนัยให้คนทั้งสองลงมือตามจังหวะและโอกาส

หากเขาเอามือกดด้ามดาบเมื่อไหร่ นั่นก็หมายความว่าสามารถช่วงชิงผลประโยชน์มาล่วงหน้าได้แล้ว

แต่นั่นคือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

หากระดับขั้นของยันต์อีกฝ่ายดีเกินไป สร้างความกริ่งเกรงให้ผู้คนได้ ก็คงจะต้องเดินสวนไหล่กันไปก่อนชั่วคราว ภายนอกวางตัวเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

แต่อันที่จริงก็ถือว่าทั้งสองฝ่ายได้ผูกปมแค้นกันไว้แล้ว

หากมีโอกาสที่ดีก็จะต้องตัดรากถอนโคน

หากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

มือดาบหนุ่มผู้นี้คือลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่ตระกูลตกอับ แต่กลับไม่ใช่คนของแคว้นเจียโย่วอะไร และฉินจวี้หยวนนั่นก็เป็นแค่นามแฝง ฉินจวี้หยวนตัวจริงคือคนวัยเดียวกันของแคว้นเจียโย่วที่เคยทำให้เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากมาแล้ว

ชื่อจริงของเขาคือตี๋หยวนเฟิง วิชาดาบได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้ถวายงานของตระกูลที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพชายแดน ดาบที่พกก็ยิ่งเป็นวัตถุหนักตระกูลเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เขาเพิ่งมาท่องอยู่ในยุทธภพได้ไม่กี่ปี ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่แท้จริง แต่อุบายลึกล้ำของผู้ฝึกตนอิสระล่างภูเขา เขาเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกทำให้ได้รู้จักกับ ‘พี่ใหญ่หวง’ ที่ลักษณะท่าทางหยาบกระด้างผู้นั้น อีกครั้งหนึ่งก็ได้เป็นพันธมิตรกับ ‘นักพรตซุน’ ที่เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร

นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว เขาชำเลืองตามองยันต์ในมือของผู้ฝึกตนชุดดำแค่ปราดๆ เท่านั้น แล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิงกันเช่นนี้ ยันต์ที่เจ้าถืออยู่ในมือ แม้จะเป็นยันต์สายฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับไม่ใช่ยันต์แสงตะวันและยันต์ปราบวัดที่เป็นวิชาลับสืบทอดของเรือนเทพสายฟ้าพวกเราอย่างแน่นอน ยันต์สายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์เรา มีความมหัศจรรย์ตรงที่บ่อโบราณหนึ่งบ่อ สามารถขานรับกับฟ้าดิน ฟูมฟักหยาดสายฟ้า ใช้สิ่งนี้หล่อหลอมออกมาเป็นพู่กันเสินเซียว แสงแห่งยันต์ก็ผ่านการหล่อหลอมจนถึงแก่นบริสุทธิ์ อีกทั้งยังจะมีสีชาดปนอยู่เสี้ยวหนึ่ง ไม่ว่ายันต์ของภูเขาลูกใดก็ไม่อาจมีได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยันต์ของศาลบรรพจารย์ใหญ่ทั้งห้าแห่งของเรือนเทพสายฟ้ายังมีวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายอีกวิชาหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสหายเคยผ่านภูเขาของเราไป แต่ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา ช่างน่าเสียดายจริงๆ วันหน้าหากมีโอกาสก็สามารถกลับไปยังภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตได้ ถึงเวลานั้นก็จะรู้ถึงความลี้ลับของมันได้เอง”

ผู้เฒ่าชุดดำพยักหน้ารับ เก็บยันต์สายฟ้าแผ่นนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของเรือนเทพสายฟ้าแห่งภูเขาอิงเอ๋อร์ “คารวะนักพรตซุน”

คุณชายหนุ่มผ่อนลมหายใจโล่งอก

มารดามันเถอะ พวกผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาพวกนี้ แต่ละคนเจ้าเล่ห์แสนกลไม่แพ้กันเลย

 ปรนนิบัติยากจริงๆ

แน่นอนว่านักพรตเฒ่าร่างผอมสูงไม่ใช่นักพรตของเรือนเทพสายฟ้าอะไรนั่น นั่นคือภูเขาใหญ่ที่มีบรรพจารย์ก่อกำเนิดสองท่านเฝ้าพิทักษ์ ตั้งอยู่ในจุดที่ลำธารใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร เป็นสำนักที่มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ คนแซ่ซุนไหนเลยจะมีชะตาชีวิตที่ดีจนถึงขั้นได้เป็นลูกศิษย์ของหนึ่งในห้าเจินเหรินใหญ่ของภูเขาอิงเอ๋อร์เช่นนั้น แม้ว่าจิ้งหมิงเจินเหรินจะเป็นเซียนดินโอสถทองคนสุดท้ายที่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเรือนเทพสายฟ้า แต่ก็ไม่อาจเทียบกับอีกสี่ท่านที่มีวิชาอสนีเลิศล้ำค้ำฟ้าได้ ทว่าสำหรับด้านล่างภูเขาแล้ว เขาก็ยังคงเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าที่สูงส่งจนไม่อาจปีนป่ายได้อยู่ดี

โชคดีที่ในเมื่อคนแซ่ซุนกล้าสวมรอยตัวตนนี้มาเดินท่องอยู่ด้านล่างภูเขา เขาก็ต้องพอจะเข้าใจยันต์ของเรือนเทพสายฟ้ามาบ้าง

แต่หากอีกฝ่ายเอายันต์วิชาลับของศาลบรรพจารย์เรือนเทพสายฟ้าออกมาได้จริงๆ คาดว่าคนแซ่ซุนก็คงได้แต่ถลึงตาเบิกกว้าง เพราะเขาแค่เคยได้ยินมาเท่านั้นว่ายันต์ห้าชนิดใหญ่ของเรือนเทพสายฟ้ามีเรื่องที่ต้องพิถีพิถันอยู่มาก แต่มันคืออะไรกันแน่ นักพรตซุนกลับไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้ ยังดีที่ต่อให้อีกฝ่ายจะซักไซ้ไล่เรียงคำตอบ แต่นักพรตซุนก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามแม้แต่ครึ่งคำ เพราะถึงอย่างไรหากตัวเขาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงๆ เรื่องวงในของ ‘ศาลบรรพจารย์บ้านตัวเอง’ จะเอามาเปิดเผยง่ายๆ ได้อย่างไร

ดังนั้นถึงได้บอกว่าการเอ่ยตอบเช่นนี้ของนักพรตซุนสมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะเขาวางตัวเป็นคนของเรือนเทพสายฟ้าจริงๆ ขนาดคุณชายหนุ่มก็ยังหายสงสัยไปเกินครึ่ง

และเวลานี้เอง อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าชุดดำก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “เทพนำโซ่เหล็กสยบเสียงขุนเขาดัง”

นักพรตร่างผอมสูงหัวเราะร่า “วิชาห้าอสนีจงออกมาจากเจี้ยงกง!”

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าคนนั้นโล่งอกมากกว่าเดิม เขาประสานมือคารวะอีกครั้ง “เป็นข้าที่เสียมารยาท ขออภัยนักพรตซุนมา ณ ที่นี้”

ตี๋หยวนเฟิงนินทาอยู่ในใจไม่หยุด ป้ายอักษรทองของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเรือนเทพสายฟ้านี่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เอามาใช้ได้ ระหว่างการเดินทางครั้งนี้มีอยู่หลายครั้งที่เวลาไปเยือนแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ หรือไม่ก็ภูเขาระดับสาม พวกตี๋หยวนเฟิงจะต้องได้อาศัยใบบุญของอีกฝ่าย กลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ไปด้วย

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคนนั้นจะอยากเดินลงจากก้อนหินเพื่อมาต้อนรับคนทั้งสามอย่างมีมารยาท เขาเดินมาได้ครึ่งทางก็พลันถามอีกว่า “เหตุใดนักพรตซุนลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ แต่กลับไม่ยอมสวมชุดนักพรตเต๋าของเรือนเทพสายฟ้าล่ะ?”

ไฟโทสะของตี๋หยวนเฟิงผุดขึ้นสูงสามจั้ง

ไม่จบไม่สิ้นสักทีรึ?!

ตาแก่ที่ระมัดระวังไปทุกเรื่องขนาดนี้ ไม่แน่ว่าหากเป็นพันธมิตรกันขึ้นมาจริงๆ อาจมีตัวแปรเกิดขึ้นได้มากมาย อย่างน้อยที่สุดพวกเขาสามคนก็คงไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายๆ แล้ว

ผู้เฒ่าร่างสูงผอมลูบหนวดยิ้ม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สวมชุดคลุมบนภูเขาเป็นการโอ้อวดตัวเองมากเกินไป มีแต่จะทำให้ข้าผู้เป็นนักพรตเหน็ดเหนื่อยในการรับมือ หรือว่าการฝึกประสบการณ์นั้นอยู่ในงานเลี้ยงที่มีแต่เสียงชนแก้วเคล้าเสียงหัวเราะพูดคุย?”

ผู้เฒ่าชุดดำยิ้มบางๆ ในที่สุดก็ยอมเดินลงมาจากก้อนหินใหญ่พลางพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ไม่เสียแรงที่นักพรตซุนคือยอดฝีมือที่บรรลุมรรคาของภูเขาอิงเอ๋อร์ จิตใจที่รักความสงบอยู่ห่างไกลจากความร่ำรวยสูงศักดิ์ของโลกมนุษย์ทำให้คนนับถือจริงๆ คิดดูแล้วเดินทางกลับภูเขาบรรพบุรุษของเรือนเทพสายฟ้าครั้งนี้จะต้องพัฒนาไปอีกขั้น ได้กลายไปเป็นผู้สืบทอดของจิ้งหมิงเจินเหรินและศาลบรรพจารย์อย่างแน่นอน”

จากนั้นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ในสายตาของคนทั้งสามผู้นี้ก็เผยสีหน้าเคารพนับถือออกมาหลายส่วน และในสายตาของเขาก็ยังคงมีเพียงนักพรตซุนเท่านั้น เขายิ้มกล่าวว่า “ข้าแซ่เฉิน มาจากแคว้นอู่หลิงที่มรรคกถาขาดแคลน ตบะตื้นเขิน ส่วนสำนักก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่ทิ่มแทงใจเกินไป บังเอิญเรียนวิชาวาดยันต์ได้ประสบความสำเร็จ ฝีมือน้อยนิดมีแต่จะเป็นที่ขบขันของผู้คน ไม่กล้าเอามาโอ้อวดต่อหน้าเซียนซือสายยันต์อย่างนักพรตซุนเด็ดขาด การหยั่งเชิงก่อนหน้านี้ ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็ช่างน่าอายยิ่งนัก นักพรตซุนเป็นเจินเหรินใจกว้าง อย่าได้ถือสาข้าเลย”

——