บทที่ 541.2 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “ออกมาอยู่นอกบ้าน ระวังไว้ก่อนย่อมไม่ผิด พี่ใหญ่เฉินไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”

นักพรตซุนเดินตรงเข้าไปหาผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นก่อน ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ก็เดินตามมาด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ

ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เดิมทีเป็นตี๋หยวนเฟิงที่เป็นผู้นำ เป็นเหตุให้การแบ่งทรัพย์เงินทองในทุกครั้ง เขาสามารถเอาไปได้สี่ส่วน อีกสองคนที่เหลือได้กันไปคนละสามส่วน

ผู้เฒ่าชุดดำเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้ทุกคนเดินขึ้นไปบนก้อนหิน รอจนนักพรตซุน ‘ขึ้นเขา’ มาแล้ว เขาก็วาดเท้าออกมาขวางแล้วเดินตามไปด้านหลังนักพรตซุน ไม่ให้หน้าตี๋หยวนเฟิงและชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมแม้แต่น้อย

ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ที่สะพายห่อสัมภาระไว้ด้านหลังหันหน้ามายิ้มให้กันอย่างว่องไว

ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระมากๆ แล้ว

นอกจากจะระมัดระวังรอบคอบแล้ว ก็ยังขับเรือตามกระแสลมได้อย่างชำนาญ

น่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน

เป็นเรื่องที่ดี

คนทั้งสี่นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ด้วยกัน

นักพรตซุนยิ้มถาม “สหายก็มาที่นี่เพราะถ้ำสถิตในภูเขาเหมือนกันหรือ?”

ผู้เฒ่าชุดดำที่สะพายห่อผ้าสีเขียวไว้บนไหล่เอียงๆ ผู้นี้คงจะแน่ใจในสถานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาอิงเอ๋อร์ของนักพรตซุนแล้ว อีกทั้งยังมีการหยั่งเชิงถึงสามครั้ง จนไม่เหลือความกังขาอีก เวลานี้เขาเผยสีหน้าจนใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยได้แผนที่ของที่ว่าการในท้องถิ่นมาครอบครอง พอเข้ามาในภูเขาแล้วจึงเดินวนไปวนมาอยู่นาน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าควรจะอยู่ในภูเขาลึกที่ห่างไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว หากโชคดีสักหน่อย ก็อาจจะสามารถหาพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่ตราผนึกถูกเปิดออกแห่งนั้นเจอไปแล้ว”

นักพรตซุนหันหน้าไปมองตี๋หยวนเฟิงคุณชายสูงศักดิ์ที่สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่า ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบแผนที่ภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบแผ่นหนึ่งออกมา คือฉบับสำเนา

แผนที่ภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของที่ว่าการของราชสำนักในแต่ละแคว้นมาโดยตลอด ไม่มีทางเอาไปแพร่งพรายด้านนอกได้เด็ดขาด การที่พวกตี๋หยวนเฟิงสามคนได้ฉบับสำเนามาอย่างราบรื่น แน่นอนว่าเป็นเพราะสถานะของนักพรตซุน แต่ว่าเจ้าเมืองผู้นั้นก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไร เขาบอกให้นักพรตซุนร่ายวิชาตระกูลเซียนให้ดู บวกกับยันต์ลัทธิเต๋าอีกสิบกว่าแผ่นที่สามารถแปะไว้ในที่ว่าการได้

อันที่จริงฝีมือการวาดยันต์ของนักพรตร่างผอมสูงนั้นนับว่าแย่ แต่เพราะเคยเห็นยันต์ที่เข้าขั้นของภูเขาอิงเอ๋อร์ผ่านตามาบ้าง จึงสามารถวาดได้เหมือนถึงเจ็ดแปดส่วน ตำราลับเล่มที่เขาขโมยมาจากอารามเต๋าไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับยันต์ไว้แม้แต่น้อย แต่แก่นยันต์บนยันต์ที่นักพรตเฒ่าวาดขึ้นกลับมีปราณวิญญาณอยู่เสี้ยวหนึ่งจริงๆ จึงพอจะนำมาใช้ต้านทานปราณชั่วร้ายที่ไม่เข้มข้นในหมู่ชาวบ้านได้

แน่นอนว่ายันต์พวกนั้นไม่ได้ถูกเอาไปแปะไว้บนประตูใหญ่ของจวนที่ว่าการ แต่ถูกท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเอาไปขายให้กับชนชั้นสูงในพื้นที่ที่รักตัวกลัวตายแต่ไม่ขาดเงิน

ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เขายื่นมือมารับแผนที่ฉบับนั้นแล้วกวาดตาอ่านอย่างละเอียด “สมแล้วที่เป็นนักพรตซุน ถึงได้สามารถทำสำเนาวัตถุชิ้นนี้ขึ้นมาได้”

นักพรตร่างผอมสูงลูบหนวดยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร

ชายฉกรรจ์มอมแมมที่เรียกตัวเองว่าหวงซือยังคงเงียบงันต่อไป

ผู้เฒ่าชุดดำทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักไป

ตี๋หยวนเฟิงรู้ว่าคนผู้นี้งับเหยื่อแล้ว

น่าเสียดายที่เขาก็ดีหรือนักพรตซุนก็ช่าง ล้วนไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแม้แต่ครึ่งคำ

อีกฝ่ายต้องเอาความจริงใจและเงินทุนออกมาถึงจะได้

ผู้เฒ่าชุดดำที่ ‘ความคิดในหัวตีกัน’ ผู้นี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่สวมหน้ากาก

ใบหน้าแก่ชรา สะพายกระบี่เล่มยาว สะพายห่อผ้าไว้บนไหล่เฉียงๆ สีหน้าอ่อนระโหย นัยน์ตาขุ่นมัว

ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของจิ้งหมิงเจินเหรินแห่งเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์อะไรนั่น เฉินผิงอันไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางใช้วิธีการตื้นเขินเช่นนั้นไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย

เพราะภูเขาอิงเอ๋อร์คือสำนักสำคัญแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงประตูที่ลำน้ำสายใหญ่ทางฝั่งตะวันตกไหลเข้าสู่มหาสมุทร ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีปเขาก็พอจะรู้จักมาบ้างแล้ว ภายหลังยังถามถึงจุดประสงค์ในการวาดยันต์ของเรือนเทพสายฟ้าจากฉีจิ่งหลงมาอย่างละเอียดอีกด้วย

แม้ว่าฉีจิ่งหลงจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่คนทั้งทวีปต่างก็รู้ว่าขอบเขตด้านวิชายันต์ของเจียวหลงบนบกท่านนี้สูงมาก

เฉินผิงอันถึงขั้นรู้ว่ากุญแจสำคัญที่แท้จริงของยันต์วิชาอสนีทั้งห้าของศาลบรรพจารย์เรือนเทพสายฟ้า คือจำเป็นต้องแยกกันนาบประทับตราอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษห้าตราซึ่งมีตรา ‘ผู้บัญชาการใหญ่จวนอวี้’ ‘ทูตผู้ตรวจการห้าทิศ’ ‘ต้าถีเตี่ยนแห่งตำหนักจื๋อเตี้ยน’ รวมเป็นหนึ่งในนั้น ฉีจิ่งหลงยังเคยวาดยันต์วิชาอสนีห้าแผ่นให้เฉินผิงอันดูด้วยตัวเอง พลานุภาพแน่นอนว่าสู้ฝีมือของเจินเหรินเซียนดินของเรือนเทพสายฟ้าไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ยังขาดตราประทับอาคมกองสายฟ้าห้าชิ้นที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดไป แต่เฉินผิงอันเชื่อว่านอกจากเจินเหรินผู้ถือตราประทับทั้งห้าท่านแล้ว ภูเขาอิงเอ๋อร์ย่อมไม่มีผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์คนใดที่สามารถเขียนปณิธานที่แท้จริงของยันต์ตระกูลตัวเองออกมาได้ทัดเทียมกับฉีจิ่งหลงที่เป็นคนนอกอย่างแน่นอน

คนเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ชวนให้โมโหตายได้จริงๆ

แล้วนับประสาอะไรกับที่โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์

การที่เขาจงใจแสร้งทำเป็นเชื่อในตัวตนของอีกฝ่าย เป็นเพราะเฉินผิงอันหวังว่าจะอาศัยคนทั้งสามมาช่วยอำพรางตัวตนให้กับตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องบุกเดี่ยวไปสืบเสาะหาถ้ำสถิตแห่งนั้นเพียงลำพัง

ส่วนข้อที่ว่าจะคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างไร ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เคยวางอุบายปัดแข้งปัดขากับหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่ามาก่อน จึงถือว่าพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง

แม้จะบอกว่าหนึ่งทวีปก็มีขนบธรรมเนียมของหนึ่งทวีป ทว่าผู้ฝึกตนอิสระก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่นั่นเอง

เหล้าขาวหน้าคนแดง ทองเหลืองใจคนดำ

ร่อนเร่พเนจรไปหมื่นทิศแสวงหาทรัพย์สมบัติ คำว่าผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่ง

ดูเหมือนว่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดพักใหญ่แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านักพรตซุนต้องการคนช่วยเหลือหรือไม่?”

นักพรตซุนที่นิ่งคิดอยู่พักใหญ่แสร้งทำเป็นว่าจะพยักหน้าตอบตกลง

เพราะรู้ดีว่าย่อมมี ‘ฉินจวี้หยวน’ เป็นผู้เอ่ยปากขัดขวาง

แล้วก็จริงดังคาด ไม่ต้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้เสียงในใจสื่อสารกัน ตี๋หยวนเฟิงก็ถามว่า “พี่ใหญ่เฉิน พวกเราเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า เจ้าจะยอมให้มีสหายที่ไม่รู้จักชื่อแซ่คนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในกลุ่มง่ายๆ ไหม?”

เฉินผิงอันกัดฟัน ก่อนจะหยิบยันต์กระดาษเหลืองปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างอิดออด แล้วแยกประเภทไว้ข้างกายตัวเอง โดยวางเรียงไว้เป็นลำดับ นอกจากยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์แล้ว ยังมียันต์มหานทีไหลสะพัดและยันต์ขยุ้มดินอย่างละสองแผ่น รวมไปถึงยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางระหว่างภูเขาสายน้ำอีกหลายแผ่น ล้วนเป็นยันต์ที่เขียนด้วยผงเงินผงทอง เมื่อเทียบกับยันต์ห้าสิบแผ่นที่เอาไปขายในร้านผ้าห่อบุญนครเหนือเมฆแล้ว นอกจากกระดาษเหลืองที่คุณภาพธรรมดาที่สุดแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลายมือการวาด ระดับขั้นหรืออานุภาพก็ล้วนแตกต่างราวฟ้ากับเหว ราคาก็ยิ่งไม่อาจเปรียบเทียบกันได้

บนเส้นทางของการวาดยันต์นั้น มีกฎเกณฑ์มากมายอย่างถึงที่สุด

พูดถึงแค่การ ‘จุ่มหมึก’ ปลายพู่กัน ก็แบ่งออกเป็นชาดธรรมดา ผงเงินผงทอง รวมไปถึงชาดตระกูลเซียน และชาดตระกูลเซียนก็ยิ่งเป็นหลุมไร้ก้นที่มีความพิเศษอย่างถึงที่สุด

ดังนั้นถึงได้บอกว่าผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชายันต์ การวาดยันต์ก็คือการเผาเงินดีๆ นั่นเอง ยิ่งยันต์ของสำนักเป็นของดั้งเดิมเท่าไรก็ยิ่งเผาผลาญเงินเทพเซียนมากเท่านั้น โชคดีที่ขอแค่ผู้ฝึกตนสายยันต์วาดยันต์ได้อย่างชำนาญแล้วก็จะสามารถหาเงิน หันกลับมาเป็นฝ่ายหล่อเลี้ยงภูเขาได้ในทันที แต่ผู้ฝึกตนสายยันต์จะต้องผ่านการทดสอบคุณสมบัติมาก่อน จะฝึกได้สำเร็จหรือไม่ การยกพู่กันหนักเบาหลายครั้งตอนที่ยังเยาว์ก็พอจะรู้แล้วว่าอนาคตจะดีหรือร้าย แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว ก็มีบางคนที่เพิ่งจะมาสติปัญญาเปิดโล่งเอาตอนที่อายุมากแล้ว ทว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ฝึกตนสายอิสระที่ถูกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทอดทิ้งไปนานแล้ว

ยันต์พวกนี้ที่เฉินผิงอันหยิบเอาออกมาล้วนเป็นยันต์กระดาษเหลืองลายเส้นทองที่บดมาจากก้อนทองของทางการ เมื่อเทียบกับยันต์ผงเงิน ยันต์ผงชาดในโลกมนุษย์แล้ว มูลค่าและระดับขั้นย่อมต้องดีกว่าเล็กน้อย

นักพรตซุนกวาดตามองยันต์พวกนั้นแวบหนึ่ง แล้วก็มองผู้เฒ่าชุดดำซ้ำอีกครั้ง เซียนซือยอดฝีมือของเรือนเทพสายฟ้าผู้นี้เพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันถึงได้ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แล้วจึงหยิบเอายันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ที่ใช้ผงชาดบนภูเขาของสวนน้ำค้างวสันต์วาดขึ้นมาตอนแรกสุดออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้ววางลงบนพื้นเบาๆ

ตี๋หยวนเฟิงยิ้มถาม “ยันต์ที่พี่ใหญ่เฉินเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีพวกนี้ ไปซื้อที่ไหนมาหรือ มองดูแล้วไม่ธรรมดาเลย ข้าเองก็อยากหาซื้อมาติดตัวไว้บ้าง”

เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นพูดอย่างค่อนข้างจะลำพองใจว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แล้วก็ไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาสายยันต์ให้ แต่ก็มีเพียงในเรื่องการวาดยันต์เท่านั้นที่ถือว่าพอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง…”

พูดมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็รีบเก็บสีหน้าภาคภูมิใจลงไป แล้วพูดอย่างห่อเหี่ยวว่า “แน่นอนว่าเมื่ออยู่กับนักพรตซุนก็ไม่ต่างอะไรจากการละเล่นของเด็กบ้านนอกเท่านั้น”

นักพรตซุนเห็นว่ากำลังไฟกำลังได้ที่แล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พี่น้องเฉินอย่าได้ดูแคลนตัวเอง บอกตามตรง ถึงแม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะฝึกตนอยู่บนภูเขาอิงเอ๋อร์มานานหลายปี แต่พี่น้องเฉินก็น่าจะรู้ว่านักพรตของเรือนเทพสายฟ้าพวกเรา นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจินเหรินทั้งห้าท่านแล้ว ก็ยังแบ่งได้คร่าวๆ อีกสองประเภท หากไม่ตั้งใจฝึกวิชาห้าอสนี ก็ต้องศึกษาด้านยันต์ หวังว่าจะได้รับวิชาลับสืบทอดสายยันต์มาจากทางศาลบรรพจารย์ ข้าผู้เป็นนักพรตก็คือฝ่ายแรก ดังนั้นหากพี่น้องเฉินเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านยันต์จริงๆ อันที่จริงพวกเราก็ยินดีเชื้อเชิญให้เจ้าไปเยี่ยมเยียนขุนเขาด้วยกัน”

ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่เรียกตัวเองว่าหวงซือเปิดปากพูด “ไม่ทราบว่ายันต์ที่พี่ใหญ่เฉินตั้งใจวาดขึ้นมา มีอานุภาพมากน้อยแค่ไหน?”

เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหยิบยันต์มหานทีไหลสะพัดแผ่นหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งทำมุทรา ปากขมุบขมิบเหมือนท่องคาถา ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็โยนยันต์ลงไปในธารน้ำ หลังจากตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง มือสองข้างก็ทำมุทราอย่างว่องไวจนคนมองตาลาย

ยันต์ลงน้ำก็หลอมละลายในทันที ทว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์ได้กระจายตัวออกไปส่องประกายแสงเรืองรองอยู่ในธารน้ำ ประหนึ่งปลาเรียวยาวหลายตัวที่พากันแหวกว่ายตัดสลับออกไปเป็นเส้นๆ

คนทั้งสามเห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดดำตวาดหนึ่งทีแล้วก็ไม่ทำมุทราอีก เพียงเอาสองนิ้วประกบเข้าหากัน แล้วตวาดเบาๆ อีกครั้งว่า ‘ขึ้น’ จากนั้นก็ใช้นิ้วปาดออกไปเบาๆ ทันใดนั้นก็มีเจียวหลงธารน้ำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากลำธาร วนรอบก้อนหินหนึ่งรอบ แล้วจึงกลับคืนสู่ธารน้ำในตำแหน่งที่นิ้วทั้งสองของผู้เฒ่าชี้ไป เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าอยากจะแสดงมาดของยอดฝีมือวิถียันต์ออกมามากกว่านี้ และเขาก็ยังมีกำลังเหลือเฟืออยู่จริงๆ เนื่องด้วยระดับขั้นของยันต์ค่อนข้างสูง หลังจากทำเช่นนี้ไปแล้วก็ยังมีการแสดงถัดมาอีก เพราะเส้นแสงเรืองรองในลำธารยังคงเหลืออีกเกินครึ่ง

ผู้เฒ่าชุดดำชูแขนสองข้างขึ้นสูง เสาน้ำหลายเส้นก็ผุดทะยานขึ้นมา แล้วพุ่งมาล้อมวนรอบคนทั้งสี่ที่อยู่บนก้อนหินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นไอน้ำก็แผ่อบอวลไปทั่ว ไอเย็นแทรกซึมเข้าถึงกระดูก

ตี๋หยวนเฟิงใช้เสียงในใจสอบถามหวงซือผู้นั้น ฝ่ายหลังใช้การรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไปว่า “พอจะมีตบะอยู่บ้าง แต่พลังพิฆาตอ่อนด้อย การแสดงนี้มองดูเหมือนร้ายกาจ แต่อันที่จริงถูกไม่กี่หมัดต่อยก็แหลกสลายแล้ว แต่หากคนผู้นี้สามารถควบคุมยันต์ทุกประเภทได้ ก็คงจะเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็ยังขาดผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สามารถโจมตีไกลๆ ได้ นอกจากนี้ผู้ฝึกตนสายยันต์คนหนึ่ง คอยรับผิดชอบทำลายสิ่งกีดขวางเปิดเส้นทางก็นับว่าเหมาะสมอย่างถึงที่สุด”

ผู้เฒ่าชุดดำเก็บวิชาอภินิหารด้านยันต์กลับมา ลำธารก็กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง ในน้ำไม่เหลือเส้นแสงที่เกิดจากการรวมตัวของปราณวิญญาณแก่นยันต์อีก ผู้เฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าแดงก่ำน้อยๆ

นักพรตซุนใช้เสียงในใจพูดกับคนทั้งสอง “ต่อให้เพิ่มขอบเขตไปอีกหนึ่งขอบเขตก็น่าจะอยู่ที่ขอบเขตถ้ำสถิต หรือต่อให้จะยังอำพรางฝีมือเพื่อปกปิดพวกเรา ข้าก็ยังกล้ายืนยันว่า คนผู้นี้ย่อมไม่มีทางใช่เทพเซียนขอบเขตประตูมังกรอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงคิดเสียว่าเขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ไม่ดีไม่เลว พอให้พวกเราเอามาใช้งานได้ แล้วก็ไม่สามารถสร้างอันตรายใดๆ แก่พวกเราได้ ถือว่ากำลังดี นอกจากยันต์สายฟ้าที่เผยตัวก่อนหน้านี้แล้ว คนผู้นี้คงจะยังซ่อนยันต์ดีๆ ที่แท้จริงซึ่งเป็นสมบัติก้นกรุไว้อีกหลายแผ่นอย่างแน่นอน พวกเรายังต้องระมัดระวังให้มาก”

หวงซือพลันรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับคนทั้งสองว่า “ชุดคลุมสีดำบนร่างคนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นชุดคลุมอาคมชุดหนึ่ง”

ตี๋หยวนเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ดูกันไป ค่อยๆ วางแผนกันไป แล้วค่อยมาตัดสินใจอีกที”

นักพรตซุนพูดกับเฉินผิงอันว่า “หากการไปเยี่ยมเยือนภูเขาครั้งนี้ราบรื่น สหายสามารถกลับไปยังภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตได้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะลองช่วยแนะนำเจ้าดู”

ผู้เฒ่าชุดดำอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนมาเป็นฉายประกายเร่าร้อน ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ซาบซึ้งใจจนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก

สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว การที่ได้มาพบเจอกับตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์อย่างภูเขาอิงเอ๋อร์นี้ได้ ก็ไม่ต่างจากการได้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ดีเลย

ตี๋หยวนเฟิงเห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา จากนั้นเขาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เฉินจะช่วยอธิบายประสิทธิผลของยันต์พวกนี้อย่างละเอียดได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันชี้ไปที่ยันต์บนพื้นแล้วไล่อธิบายไปทีละแผ่น สำหรับยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเป็นยันต์ข้ามสะพานที่เล่าเรียนมาจากวิชาเฉพาะของลัทธิเต๋า เพราะถึงอย่างไรยันต์ทำลายสิ่งกีดขวาทั่วไปก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมายนัก ส่วนยันต์น้ำที่เขาแสดงฝีมือให้ดูไปแล้วก็ยิ่งคร้านจะพูดให้มากความ ทว่ายันต์สายฟ้ากับยันต์ขยุ้มดิน เขากลับพูดจ้อถึงอานุภาพในการโจมตีของพวกมัน พอดังเข้าหูคนทั้งสาม แน่นอนว่าต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขี้โม้เกินจริง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมองผู้เฒ่าชุดดำผู้นี้สูงขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน

การอธิบายถึงรากฐานโดยรวมและพลานุภาพของยันต์ที่สำคัญสองชนิดนี้

เป็นทั้งการแสดงความจริงใจ แล้วก็เป็นการแสดงบารมีอย่างหนึ่ง

นี่ก็คือวิธีการที่ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งสมควรมี

คือหลักการเดียวกับการที่ก่อนหน้านี้ตี๋หยวนเฟิงจงใจเอาสำเนาภาพแผนที่ที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับในจวนเจ้าเมืองออกมาให้เขา

นั่นคือรากฐานที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งของเรือนเทพสายฟ้าสมควรมี

หลังจากที่คนทั้งสี่พูดจาปราศรัยกันไปพักหนึ่งก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ

ตี๋หยวนเฟิงเห็นผู้เฒ่าชุดดำขยับเข้าไปเดินใกล้ชิดอยู่ข้างกายนักพรตร่างสูงผอม

เขาที่เดินค่อนมาทางด้านหลังส่ายหน้าเบาๆ ส่วนหวงซือนั้นมีสีหน้าเฉยเมย แค่คอยเหลือบมองชุดคลุมสีดำนั้นหลายครั้งราวกับตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “นักพรตซุน ถ้ำสถิตโบราณที่เผยกายกลับมาบนโลกอีกครั้งของแคว้นเป่ยถิงแห่งนี้ พวกเราต่างก็รู้แล้ว แล้วตระกูลเซียนขนาดใหญ่สองแห่งอย่างนครเหนือเมฆกับจวนไช่เฉวี่ยจะร่วมมือกันยึดครองมัน ขับไล่คนนอกทุกคนออกไป หลังจบเรื่องสองตระกูลค่อยมาแบ่งทรัพย์สินกันหรือไม่?”

นักพรตซุนหัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่เดินทางมาไกล ไม่กล้าใกล้ชิดกับทางการเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้จึงพลาดเรื่องเก่าๆ ในอดีตไปหลายเรื่อง

ตามคำบอกของเจ้าเมืองแคว้นเป่ยถิงที่พร่ำออกมาหลังเมามาย อีกฝ่ายพูดจาน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องวงในบนภูเขาที่ได้ยินมาจากขุนนางหลักของเมืองหลวงแคว้นเป่ยถิง คนทั้งสามถึงได้รู้ว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อเซียนดินของนครเหนือเมฆแคว้นสุ่ยเซียวที่เป็นแคว้นเพื่อนบ้าน กับเจ้าจวนไช่เฉวี่ยที่งดงามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้นมีปมแค้นเก่าแก่กันอยู่ ตระกูลเซียนใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานานหลายปีแล้ว ข่าวเล็กๆ ที่มองดูเหมือนไม่มีค่าที่สุดนี้ อันที่จริงกลับมีค่ามากที่สุด ถึงขั้นที่ว่ายังมีค่ามากกว่าแผนที่ภูมิศาสตร์ด้วยซ้ำ

——