บทที่ 541.3 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หากงูเจ้าถิ่นทั้งสองตัวอย่างนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยร่วมมือกันยึดครองถ้ำสถิต ต่อต้านคนนอก ไหนเลยจะมีโอกาสให้ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขา แม้แต่เศษซากน้ำแกงเย็นๆ ก็ไม่มีทางเหลือ ไปถึงแล้วไม่ถูกฆ่าก็ถือว่าโชคดีอย่างใหญ่หลวงแล้ว ยังจะพูดถึงสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน สัตว์วิเศษ หรือวิชาลับตระกูลเซียนอะไรได้อีก? มีเพียงสองตระกูลผูกปมแค้นต่อกัน นั่นก็คือโอกาสที่ใหญ่เทียมฟ้า เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลช่วงชิงสมบัติอาคม ตีกันจนมันสมองของทั้งสองฝ่ายแตกกระจาย ก็มีให้เห็นไม่น้อย ถึงขั้นที่ว่าการเข่นฆ่าส่วนใหญ่ไร้ความยำเกรงยิ่งกว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก ไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย ภูเขาสายน้ำพังภินท์ ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของพื้นที่หนึ่ง นี่ยังไม่นับเป็นอะไร เพราะถึงอย่างไรก็มีสำนักคอยหนุนหลังให้ และจวนที่ว่าการของราชสำนักในท้องถิ่นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่ฝืนใจคอยตามล้างตามเช็ดให้กับเหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้นเท่านั้น

ผู้เฒ่าร่างผอมสูงยิ้มกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหายสามารถวางใจได้เลย หากเจอกับเซียนซือของสองตระกูลนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตย่อมแสดงตัวตนอย่างชัดเจน คิดดูแล้วทั้งนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยก็คงต้องเห็นแก่หน้าบางๆ ของข้าผู้เป็นนักพรตอยู่บ้าง”

แต่ต่อมานักพรตเฒ่าก็รีบเอ่ยเตือนว่า “แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตก็คงไม่สะดวกจะอาศัยความสามารถที่แท้จริงมาช่วงชิงโชควาสนาแล้ว ดังนั้นต่อให้ได้เจอกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสองกลุ่มนั้น หากไม่เป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่เกินไป ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนแน่นอน”

เรื่องวงในบางอย่าง แน่นอนว่านักพรตซุนไม่มีทางเปิดเผยแก่คนผู้นี้ง่ายๆ

แต่เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ข้างกายนั้นเชื่อเขาอย่างหมดหัวใจ จึงทอดถอนใจเอ่ยชื่นชมว่า “นักพรตซุนมีประสบการณ์โชกโชน ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนรอบคอบรัดกุม ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากฐานอย่างข้า เจอกับเรื่องในยุทธภพมาจนชินแล้ว เดิมทีนึกว่ายังพอจะมีประสบการณ์ในยุทธภพอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาเทียบกับนักพรตซุนแล้วกลับอยู่ไกลเกินกว่าจะทัดเทียมได้ ละอายใจ ละอายใจยิ่งนัก”

นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนจริงใจอะไร แต่ก็ได้พูดประโยคจากใจจริงออกมาอยู่สองสามคำ

แคว้นเป่ยถิงใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสี่ในเวลานี้คือแคว้นเล็กๆ ส่วนผู้ฝึกตนของแคว้นฝูฉวีก็ยิ่งไม่ได้ความ บุปผาบานในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพง คนเดียวที่พอจะเอามาโอ้อวดได้ก็คือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มีโชควาสนาใหญ่ ว่ากันว่านางได้ออกไปจากบ้านเกิดไกลเป็นหมื่นลี้นานแล้ว แล้วก็คอยให้การดูแลตระกูลอยู่ตลอด นอกจากนี้ด้วยการสืบทอดจากสำนักและตำแหน่งที่โดดเด่นของนางในทุกวันนี้ ต่อให้ได้ยินว่าที่นี่มีโชควาสนา ก็คงไม่ยินดีจะมาร่วมวงความครึกครื้น ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งก็สามารถทำลายตราผนึกภูเขาชั้นแรกของจวนตระกูลเซียนนั่นได้แล้ว สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในย่อมไม่มีทางดีมากนัก

ถ้ำสถิตหรือไม่ก็สมบัติอาคมที่ปรากฏตัวบนโลกซึ่งมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดินส่วนใหญ่

พวกคนอย่างตี๋หยวนเฟิงนี้ ต่อให้ได้ข่าว แต่หากไม่มีสถานะของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริงก็ไม่มีทางพาตัวไปตายอย่างแน่นอน เพราะนิสัยของลูกศิษย์สำนักใหญ่ล้วนไม่ค่อยจะดีนัก

ในอดีตอุตรกุรุทวีปเคยมี ‘รวมเล่มระมัดระวัง’ ที่ผู้ฝึกตนอิสระแทบทุกคนต้องได้ครอบครองแพร่สะพัดไปอย่างกว้างขวาง ได้รับความนิยมไปทั้งทวีป

เพียงแต่ว่าภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี ตำราเล่มนี้ก็ถูกทำลายทิ้งและกลายเป็นตำราต้องห้าม ตอนนั้นสำนักฉงหลินที่อาศัยตำราเล่มนี้หาเงินมาได้จำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นผู้นำในการเก็บกักตุนตำราเล่มนี้ ได้ออกคำสั่งไม่ให้ร้านค้าทั้งหมดที่อยู่บนท่าเรือตระกูลเซียนแต่ละแห่งขายหนังสือเล่มนี้ มีคนเดาเอาว่าคงจะมีเซียนกระบี่ใหญ่หลายท่านร่วมกันเสนอความเห็น สำนักฉงหลินที่ถูกขนานนามว่า ‘สองมือไม่จับเงิน ไหล่เหล็กแบกคุณธรรม’ จึงเป็นผู้นำในการเลิกขาย หลังจากนั้นมาตำราเล่มนี้ก็ไม่ถูกจัดพิมพ์ขึ้นอีก

ตี๋หยวนเฟิงคิดถึงหนังสือเล่มนี้มาโดยตลอด

เขาแค่เคยได้ยินว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยผู้ฝึกตนต่างถิ่นแซ่เจียง ไม่เพียงแต่ภาษาในการเขียนไพเราะสละสลวย อีกทั้งแต่ละคำล้วนมีค่าดุจทองคำดุจหยก

ยกตัวอย่างเช่นตี๋หยวนเฟิงเคยได้ยินนักพรตซุนพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่าในหนังสือเตือนผู้ฝึกตนอิสระว่าหากออกเดินทางไกลแล้วกล้าไปแย่งชิงอาหารจากปากเสือ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องระวังพวกลูกศิษย์สำนักใหญ่ที่มีเทพธิดาอยู่ข้างกาย ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งต้องระวังให้ดี เพราะหากเจอเข้าจริงๆ แล้วเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ฝ่ายชายจะต้องลงมืออย่างไม่ออมกำลัง มีสมบัติอาคมเท่าไรก็ต้องเรียกออกมาหมด สังหารผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งก็จะใช้พละกำลังในการสังหารเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง ไม่เสียดายปราณวิญญาณน้อยนิดที่เผาผลาญไปแม้แต่น้อย ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นศัตรูกับเขาก็ย่อมตายอย่างสิ้นซากงดงามดุจมีบุปผาผลิบานแน่นอน

ขณะเดียวกันในตำรา ‘รวมเล่มระมัดระวัง’ เล่มนั้นก็มีวิธีการรับมือบอกไว้เหมือนกัน บอกว่าหากรู้สึกว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนก็ห้ามทำคอแข็งปล่อยถ้อยคำอาฆาตเด็ดขาด ควรจะรีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไม่ได้ขอร้องบุรุษคนนั้น แต่ขอร้องเทพธิดาข้างกายบุรุษให้มีเมตตา ต้องโขกหัวให้ดัง เสียงที่เรียกพระโพธิสัตว์หญิงผู้นั้นก็ต้องก้องกังวาน บางทีอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง

ต่อให้ตี๋หยวนเฟิงเพียงแค่เคยได้ยินถ้อยคำไม่ปะติดปะต่อเกี่ยวกับ ‘รวมเล่มระมัดระวัง’ เล่มนั้นมา แต่ก็ยังรู้สึกว่าผู้อาวุโสเจียงผู้นี้ช่างมองใจคนออกอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง

เดินอยู่บนทางเส้นเล็กระหว่างภูเขาร่วมกับคนทั้งสาม

เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้า แล้วก็พลันรู้สึกเยาะหยันตัวเอง

เมื่อเทียบกับการค้นหาโชควาสนาด้วยตัวเองเพียงลำพัง ดูเหมือนว่าตนจะชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่นมากกว่า ต่อให้จะอยู่ร่วมกับพวกคนที่จิตใจยากจะคาดเดา แต่ก็ยังรู้สึกเคยชินเป็นธรรมชาติ

ทว่าสำหรับฟ้าดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เขากลับรู้สึกเคารพยำเกรงและหวาดกลัวมาโดยตลอด ครั้งแรกที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่เหมือนเดิม

ไม่อย่างนั้นด้วยตบะและฝีมือของเขาในตอนนี้ จำเป็นต้องรวมกลุ่มกับคนอื่นเพื่อไปเยี่ยมเยียนภูเขาถึงจะรู้สึกสบายใจด้วยหรือ

แบบนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

ทว่าก็ได้แต่ต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น

อันที่จริงเกี่ยวกับข้อนี้ เมื่อหลายปีก่อนลู่ไถเคยมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วก็เคยพูดเปิดโปงออกมา เป็นคำเตือนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อเฉินผิงอัน

รู้ว่าหลักการเหตุผลบางอย่างนั้นดีมาก แต่กลับยากจะที่ปฏิบัติตามได้ในทันที ท่ามกลางคนบนโลกที่มากมาย ไยจะไม่มีเฉินผิงอันเป็นหนึ่งในนั้น

ตอนนี้นอกจากเฉินผิงอันจะเดินเลียบลำน้ำสายใหญ่แทนเฉินหลิงจวินล่วงหน้าก่อนหนึ่งรอบแล้ว แน่นอนว่าการฝึกตนของเขาก็ไม่ได้ถูกถ่วงเวลาไว้เช่นกัน อันที่จริงการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองก็คือภารกิจเร่งด่วนของตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้

นอกจากนี้แล้ว เขาก็คิดจะเก็บสะสมเงินให้มากๆ เพื่อซื้อกระบี่บินจำลองของภูเขาชังกระบี่มาสักเล่มสองเล่ม

ตอนอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูก เฉินผิงอันได้เรียนรู้หลายอย่างมาจากบนร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียน

บัณฑิตที่เป็นร่างจำแลงของเมล็ดงาความคิดชั่วร้ายของหยางหนิงซิ่งนั้น เคยแสดงกระบี่บินจำลองของภูเขาชังกระบี่เล่มหนึ่งให้ดู พลังอำนาจของมันเปี่ยมล้น ชวนให้คนอกสั่นขวัญผวา

ตอนนั้นขนาดเฉินผิงอันที่คุ้นเคยกับกระบี่บินเป็นอย่างดีก็ยังถูกอีกฝ่ายหลอกต้มเสียได้

ถ้าอย่างนั้นขอแค่หล่อหลอมชูอีสืออู่ได้สำเร็จ แม้ว่าจะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสามารถหลอมกระบี่บินให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนได้อย่างกู้โม่สายไท่เสีย นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะมีสมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตีเพิ่มขึ้นมาอีกสองชิ้น

หากมีกระบี่บินจำลองของภูเขาชังกระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกสองเล่ม ยามที่เปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกันขึ้นมา ศัตรูก็จะต้องรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม แล้วก็ยากจะป้องกันได้มากกว่าเดิม

เล่มแรกเรียกกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยเป็นชูอี เล่มที่สามเรียกกระบี่บินจำลองออกมาอีก สุดท้ายถึงปล่อยสืออู่

คิดดูแล้วเส้นทางในหัวใจของศัตรูที่ประมือกับเขาย่อมต้องแปรปรวนไม่อยู่นิ่งอย่างแน่นอน

ยุทธภพอันตราย บนภูเขาลมแรง เวทอำพรางตาประเภทนี้ แน่นอนว่ายิ่งมีมากก็ยิ่งเป็นประโยชน์

……

ทางสายเล็กไส้แกะบนภูเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนเวลานี้คดเคี้ยวอย่างยิ่ง

อันที่จริงยังเหลือระยะทางภูเขาอีกร้อยกว่าลี้กว่าจะไปถึงถ้ำสถิตแห่งนั้น

และเวลานี้เอง หวงซือก็เป็นฝ่ายชะลอฝีเท้าลงก่อน ตี๋หยวนเฟิงหยุดเดินตามไปด้วย เอามือกดไว้ที่ด้ามดาบ

จากนั้นนักพรตซุนก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเหมือนกัน เขาเพ่งสายตามองไปถึงเห็นว่าห่างออกไปไกลมีศาลาผุพังอยู่หลังหนึ่ง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยพุ่มหญ้ารกชักฎ สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด และมีร่องรอยของคนที่มาตัดต้นไม้บางส่วนออกไป

เฉินผิงอันย่อมต้องเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในศาลาแห่งนั้น

กล้ามาก่อกองไฟอยู่ท่ามกลางม่านราตรีอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มีแต่จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล อีกทั้งภูมิหลังยังไม่ใช่เล็กๆ

ทางฝั่งของศาลามีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินออกมา เฉินผิงอันจำอีกฝ่ายได้ในทันที

เกาหลิงแม่ทัพบู๊ของแคว้นฝูฉวี

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไปตกปลาร่วมกับเถียนไห่เจินเหริน เกาหลิงที่บนร่างสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างถือทวนพุ่งลงจากเรือด้วยท่าทางดุดัน แต่ถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งผลักกลับขึ้นไปบนเรือหอเรือน

นอกจากเกาหลิงที่ไม่ได้สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชั่วคราวแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง พลังอำนาจนับว่าพอใช้ได้

น่าจะเป็นขอบเขตร่างทองคนหนึ่งกระมัง

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นปรมาจารย์ในท้องถิ่นของแคว้นเป่ยถิง หรือเป็นผู้ฝึกยุทธของแคว้นฝูฉวีกันแน่ แต่โอกาสที่จะเป็นฝ่ายหลังค่อนข้างมีน้อย แคว้นฝูฉวีขนาดไม่ใหญ่ ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว เขาได้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีประจำท้องถิ่นมาแล้ว ซึ่งแคว้นฝูฉวีค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับบุ๋นกดข่มบู๊ น่าจะเป็นเพราะโชคชะตาบู๊มีจำกัด

ส่วนสตรีบนหัวเรือที่ตอนนั้นสามารถได้รับการปกป้องจากเกาหลิง ย่อมเป็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ภายหลังตอนที่อยู่ในร้านยาของท่าเรือดอกท้อแคว้นไช่เฉวี่ย เฉินผิงอันได้พูดคุยกับสตรีผู้เป็นเถ้าแก่ของร้าน จึงรู้ว่าแคว้นฝูฉวีมีสตรีจากตระกูลเศรษฐีคนหนึ่ง มีนามว่าป๋ายปี้ นับตั้งแต่เด็กก็ถูกสำนักแห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีปรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เฉินผิงอันลองคาดเดาอายุตอนที่นางออกจากบ้านเกิด ทั้งหน้าตาและขอบเขตต่างก็ใกล้เคียงกับสตรีผู้นั้น ถ้าอย่างนั้นสตรีที่ตอนนั้นนั่งเรือหอเรือนย้อนกลับบ้านเกิด ก็น่าจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบของสำนักมังกรน้ำ ป๋ายปี้

จากนั้นเฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่งที่ค่อนข้างทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วน “นักพรตซุน พวกเราเดินผ่านศาลาไปตรงๆ เลยไหม?”

นักพรตซุนสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่รีบร้อนเอ่ยตอบ ท่วงท่าดุจเทพเซียน

ตี๋หยวนเฟิงกลับเริ่มจะปวดหัวแล้ว

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ตี๋หยวนเฟิงขมวดคิ้วน้อยๆ ทว่าหวงซือที่สะพายห่อสัมภาระผู้นั้นกลับมีสีหน้าเป็นปกติ

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ดูท่าเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งเรือนเทพสายฟ้าท่านนี้ กับ ‘ฉินจวี้หยวนจากแคว้นเจียโย่ว’ ผู้นี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่า ในบรรดาคนทั้งสามที่เป็นพันธมิตรกัน ใครกันแน่ที่ถึงจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริง

การหายใจและฝีเท้าหนักเบาเวลาปกติของหวงซือผู้นี้ ต่างก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าคนหนึ่งเท่านั้น

เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ เฉินผิงอันค่อนข้างจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ตลอดทางที่เดินกันมานี้เขาแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือ…คนบนเส้นทางเดียวกัน…ที่จงใจระงับขอบเขตเอาไว้

น่าเสียดายที่การเข้าใจหลักการเหตุผลมีแบ่งก่อนหลัง เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่อายุไม่มาก แต่ท่องอยู่ในยุทธภพมาอย่างยาวไกล ท่ามกลางการเดินเท้าที่ยาวไกลครั้งนี้ หวงซือผู้นี้ยังคงเผยพิรุธบางอย่างออกมาให้เห็น

ขอบเขตร่างทอง

บางทีอาจจะไม่ใช่ขอบเขตเจ็ดกระดาษเปียกด้วย

การที่ต้องทำตัวเข้ากับคนได้ง่ายก็ช่างลำบากปรมาจารย์ท่านนี้จริงๆ

ส่วนตัวเองนั้น เฉินผิงอันรู้สึกว่าในฐานะที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ไม่ว่าจะเข้ากับคนได้ง่ายแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป

เกาหลิงกับปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลา แล้วยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ถอยกลับเข้าไปในศาลาที่แสงไฟส่ายไหว

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพูดอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี “นักพรตซุน ข้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายรับมือได้ไม่ง่าย แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ไม่สู้พวกเราเดินอ้อมไปดีกว่าไหม?”

นักพรตซุนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเราที่เป็นผู้ฝึกตน ไม่ควรทำอะไรโดยใช้อารมณ์”

ดังนั้นคนทั้งสี่จึงเตรียมจะเดินออกไปจากทางไส้แกะเส้นเล็กสายนี้

คิดไม่ถึงว่าทางฝั่งนั้นจะมีคนหนุ่มสวมชุดแพรท่าทางเจ้าสำราญคนหนึ่งเดินออกมา ตรงเอวห้อยขลุ่ยหยกมันแพะที่ใสแวววาวเลาหนึ่ง เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่กลับยังถือพัดพับไว้ในมือ เขาเอาพัดที่หุบเข้าหากันเคาะฝ่ามือเบาๆ ยิ้มมองไปยังคนสี่คนที่อยู่บนถนน “พบเจอกันนับเป็นวาสนา เหตุใดต้องรีบร้อนจากไป ไม่สู้มาคุยกันในศาลาดีไหม?”

มองคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่พกขลุ่ยหยกไว้ตรงเอว เฉินผิงอันก็อดจะนึกถึงเหอลู่ที่เคยพบเจอในทะเลสาบชางอวิ๋นซึ่งเป็นทั้งลูกศิษย์และบุตรชายที่ถูกเย่หานเจ้านครหวงเยว่ปิดบังผู้อื่นเอาไว้ไม่ได้ เหอลู่เคยถูกขนานนามให้เป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกบนอาณาเขตหลายสิบแคว้นร่วมกับเยี่ยนชิงจากดินแดนเซียนเป่าต้ง

ตี๋หยวนเฟิงกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นท่านโหวน้อยที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นแล้ว”

จานชิงบุตรโทนของสงอี้โหวแห่งแคว้นเป่ยถิงคือบุรุษที่มีชื่อเสียงด้านความเสเพลมากรัก ชื่อเสียงของเขาในราชสำนักมีทั้งดีและแย่ปะปนกัน

หากไปเกี้ยวพาคุณหนูตระกูลใหญ่ของแคว้นเป่ยถิงก็จะถูกคนในวงการวรรณกรรมของแคว้นด่าสาดเสียเทเสีย ถูกประณามผ่านทั้งทางปากและทางพู่กัน แต่หากไปเกี้ยวพาสตรีชนชั้นสูงของแคว้นสุ่ยเซียวหรือแคว้นฝูฉวี คนทั้งยุทธภพของแคว้นเป่ยถิงกลับจะปรบมือโห่ร้องชอบใจ

ส่วนตัวของท่านโหวน้อยผู้นี้ กลับดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีข่าวลือว่าเขาเคยได้ฝึกยุทธหรือฝึกบำเพ็ญตนมาก่อน

เวลานี้ไม่ว่านักพรตซุนกับตี๋หยวนเฟิงจะมองประเมินอย่างไรก็ยังมองรากฐานของอีกฝ่ายไม่ออก เห็นเพียงว่าฝีเท้าล่องลอย จงชี่เวลาเปล่งเสียงพูดไม่มีพลังมากพอ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นคนเสเพลที่มีความสุขอยู่ท่ามกลางการถูกหมู่มวลสาวงามแล่เนื้อเถือหนัง

เฉินผิงอันเองก็มองตื้นลึกของท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงผู้นี้ไม่ออกเหมือนกัน

ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างระมัดระวัง

ท่านโหวน้อยผู้นั้นทำหน้าม่อย เอ่ยว่า “ทำไม เทพเซียนบนภูเขาทั้งสี่ท่านอาศัยตบะและสถานะของตัวเองก็เลยไม่ให้หน้ากันงั้นหรือ? หรือจะต้องให้ข้าคุกเข่าโขกหัวขอร้องพวกเจ้าถึงจะยอมให้เกียรติกัน?”

เฉินผิงอันรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีที่พึ่งที่ใหญ่มากพอ ถ้าเช่นนั้นการที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ต้องเป็นเพราะบรรพบุรุษสั่งสมบุญมามากอย่างแน่นอน

แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่านครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยของแคว้นสุ่ยเซียวถือเป็นพรรคบนภูเขาที่มีคุณธรรมจริงๆ

ไม่อย่างนั้นหากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของทั้งสองพรรคนี้ทำตัวกำเริบเสิบสานมาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ไหนเลยจะมีโอกาสให้ลูกหลานชนชั้นสูงที่อยู่ใกล้ภูเขาได้เสวยสุขอวดอ้างบารมี? ป่านนี้คงถูกไล่ซ้อมกันไปทีละคนจนได้แต่ต้องหนีบหางเจียมตัวไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่ถึงขั้นวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าผู้ฝึกตนที่ไม่รู้จักซึ่งพบเจอกันบนทางแคบเช่นนี้ นี่ถือว่าเขียนคำว่า ‘อยากตาย’ ไว้บนหน้าผากตัวเองแล้ว

หลังจากที่นักพรตซุนสื่อสารในใจกับตี๋หยวนเฟิงแล้วก็คิดว่าจะยังเดินอ้อมหลบไป

หากถึงขนาดนี้แล้วยังถูกอีกฝ่ายไล่ฆ่า ก็หนีไม่พ้นต้องปลดปล่อยฝีมือเข่นฆ่าสังหารกันอย่างเต็มที่ครั้งหนึ่ง คิดว่าผู้ฝึกตนอิสระเป็นชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่กินเจท่องพระคัมภีร์จริงๆ งั้นหรือ?

และเวลานี้เอง ก็มีผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยเรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลาที่เก่าโทรมเพราะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ด้านหลังยังมีผู้เฒ่าหลังค่อมที่แทบจะไม่มีลมหายใจปล่อยออกมาให้ได้ยินเดินตามมาด้วย

สตรีชำเลืองตามองคนทั้งสี่ที่ไม่รู้ว่าจะรุกหรือจะถอยดี แล้วยิ้มเอ่ยกับท่านโหวน้อยว่า “ช่างเถิด ก็แค่ผู้ฝึกตนอิสระที่มาเสี่ยงโชคกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ให้พวกเขาผ่านทางไปเถอะ”

จานชิงพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับเข้าไปในศาลาพร้อมกับสตรี เกาหลิงและองค์รักษ์ของจวนโหวผู้นั้นต่างก็พากันเปิดทางให้

คนทั้งสี่คนถึงได้ออกเดินทางกันต่อ ตอนที่เดินผ่านศาลา นักพรตซุนรู้สึกเพียงว่าสันหลังเสียววาบ

สายตาของทุกคนต่างก็จ้องเป๋งไปข้างหน้า ไม่คิดจะเหลือบไปมองทัศนียภาพในศาลาแม้แต่แวบเดียว

ตี๋หยวนเฟิงรู้สึกหนักใจเล็กน้อย การเดินทางมาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ตัวแปรเช่นนี้ไม่ถือว่าเล็กเลย

——