เพราะค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์เป็นของอันตรายที่มีแต่ผู้เข้าใกล้ความตายเต็มทีแล้วเท่านั้นที่คิดจะพยายามเผชิญหน้ากับมัน ในฐานะผู้ที่ได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ฝงจิ่วเกอยังมีชีวิตยืนยาวรออยู่เบื้องหน้า และเขาก็มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แม้จะอยู่นอกชายคาของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ
มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรนหาที่ตายแบบนั้น?
“ใช่!” ฝงจิ่วเกอรับคำหนักแน่น
“คุณคงจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมากสินะหลังจากที่ได้วรยุทธกลับคืนมา ก็ได้ ขอผมดูหน่อยว่าคุณจะเก่งสักแค่ไหน!” ฝงเจียงคำราม
เขากระทืบเท้าและพุ่งเข้าใส่ฝงจิ่วเกอโดยไม่ลังเล
ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุด ฝงเจียงคือนักรบผู้เก่งกาจสุดยอดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับราชันย์เทพเจ้า การเคลื่อนไหวของเขาทำให้บรรยากาศในลานบ้านหนักอึ้งขึ้นมาทันที พละกำลังจากสภาพแวดล้อมพุ่งเข้าหาตัวเขาด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ดูเหมือนหมอนี่จะได้ทำความเข้าใจความลับบางอย่างของราชันย์เทพเจ้าแล้ว**สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟจางเซวียนคิด
ในแง่ของพละกำลัง ฝงเจียงยังคงเป็นรองอ้าวหัวแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ แต่เท่าที่ดูจากการที่เขาใช้พละกำลังของธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มเข้าถึงอำนาจบางอย่างของราชันย์เทพเจ้าแล้ว
หากปะทะกันตรงๆ คงเอาชนะเขาได้ยาก
ฝงจิ่วเกอเหงื่อแตกเมื่อถูกฝงเจียงเล่นงาน
แม้เขาจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอยู่ในสภาวะที่ไร้สมรรถภาพมาถึง 2 ปี แถมยังใช้พละกำลังที่ได้มาใหม่เมื่อครู่นี้ไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย ความสามารถในการใช้อำนาจของธรรมชาติก็ยังอ่อนด้อยกว่าฝงเจียงหลายเท่า
โอกาสที่เขาจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้นั้นแสนจะริบหรี่เต็มที
ผ่านไป 3 กระบวนท่า ฝงจิ่วเกอถูกบีบให้ถอยไป 7 ก้าว แม้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใครแข็งแกร่งกว่า
“คุณสู้ไม่ได้แม้แต่กับผม แต่ยังอยากท้าทายค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์?” ฝงเจียงคำราม “ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!”
“ผม…” ฝงจิ่วเกอกัดฟันด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขาหันไปมองจางเซวียนอย่างหงุดหงิด
เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ตัวเขามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุด ก็ยังสู้กับค่ายกลนี้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับในสภาพนี้…เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงบอกให้เขาตอบตกลงเข้ารับการทดสอบ
จางเซวียนส่ายหน้า เขาหันไปยิ้มให้ฝงเจียง “จิ่วเกออาจเอาชนะค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ แต่คุณจะให้เวลาเราเตรียมตัวสัก 2 ชั่วโมงได้ไหม? เพียงเท่านั้นก็เกินพอจะทำให้เขาฝ่าค่ายกลของคุณได้สบายแล้ว”
“คุณเป็นใคร?” ฝงเจียงย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เพราะจางเซวียนยืนอยู่ด้านหลังฝงจิ่วเกอมาตลอด ฝงเจียงจึงคิดว่าชายหนุ่มเป็นบริวารของอีกฝ่าย แต่เท่าที่ฟัง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิด
“ผมคือ…ฝงเซวียน! เป็นสมาชิกคนหนึ่งจากครอบครัวสาขาที่กลับมาเพื่อการประลอง” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม
“ฝงเซวียน?” ฝงเจียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามเยาะ “กะอีแค่สมาชิกของครอบครัวสาขา แต่กล้าอวดอ้างคำโตขนาดนั้น?”
ความแตกต่างข้อสำคัญระหว่างสมาชิกครอบครัวหลักกับครอบครัวสาขาก็คือความบริสุทธิ์ของสายเลือด
แม้พวกเขาจะมีวรยุทธระดับเดียวกัน แต่ด้วยความแตกต่างของสายเลือด สมาชิกจากครอบครัวสาขาจึงไม่มีทางเทียบชั้นกับสมาชิกจากครอบครัวหลักได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่สมาชิกครอบครัวสาขาคนหนึ่งจะโอ้อวดคำโตแบบนี้ น่าสงสัยเหลือเกินว่าใครทำให้เขามั่นใจถึงขนาดกล้าพูดออกมา?
“ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดนี่ ไม่มีเหตุผลที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาจะต้องอ่อนด้อยกว่าสมาชิกจากครอบครัวหลักเสมอไป” จางเซวียนตรงเข้าประเด็นพร้อมกับยิ้มกว้าง
“บังอาจ! พวกเรา เล่นงานเจ้าหนุ่มอวดดีนั่น!” ฝงเจียงคำราม
ชายหนุ่มสองคนเมื่อครู่ก้าวเข้ามาอีกครั้งเพื่อจะรวบตัวจางเซวียน แต่ยังไม่ทันได้แตะต้องเขา จางเซวียนก็สะบัดหัวไหล่ 2 ครั้ง
ตุ้บ! ตุ้บ!
เกิดเสียงตุ้บหนักๆติดกัน ชายหนุ่มทั้งสองถูกสอยกระเด็นไปอัดกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ เท่าที่ดูจากสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวและการกุมหน้าอกไว้แน่น ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
“อะไรกัน?” ฝงเจียงหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ
เขาเองก็รับมือกับการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้ง่ายดายและลื่นไหลเหมือนกับอีกฝ่าย
หรือว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีกทั้งที่มาจากครอบครัวสาขา?
“ก็ไม่แปลกใจนะที่คุณกล้าคุยโวโอ้อววดขนาดนี้ ดูเหมือนคุณจะไม่ได้เหยาะแหยะอย่างที่ผมคิด ก็ดี…มาดูกันว่าคุณทำอะไรได้บ้าง!”
ฝงเจียงคำราม จากนั้นก็ปล่อยรังสีเข้มข้นอันน่าสะพรึงออกมาขณะที่พุ่งเข้าใส่จางเซวียน
เขาใช้กระบวนท่าเดียวกันกับที่ใช้เล่นงานฝงจิ่วเกอ ซึ่งเท่าที่ดูจากแรงกดดันมหาศาลที่เขาปล่อยออกมา ก็ดูเหมือนฝงเจียงจะตัดสินใจใช้กำลังเต็มที่โดยไม่ยั้ง
“นี่คือโอกาสดีนะ จิ่วเกอ จับตาดูไว้อย่าให้คลาดสายตา คงจะยากกว่านี้หากต้องถ่ายทอดทฤษฎีเหล่านี้ให้คุณโดยไม่ได้เห็นการปฏิบัติจริง…”
แม้ในช่วงเวลาคับขัน จางเซวียนก็ยังหันไปพูดกับฝงจิวเก่อด้วยน้ำเสียงสุขุมราบเรียบ “ในเมื่อเขาใช้กระบวนท่าเดียวกันเพื่อเล่นงานผม ผมก็จะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะรับมือกับการโจมตีของเขาด้วยพละกำลังที่มีอยู่ได้อย่างไร”
ขณะที่พูด จางเซวียนก็เดินออกไปแล้วไปหยุดอยู่ห่างจากฝงเจียงราว 5 เมตร
ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การหยุดกึกอยู่กับที่นั้นดูจะรบกวนการโจมตีของฝงเจียง เห็นได้ชัดว่าแรงโถมในการโจมตีของฝงเจียงขาดช่วงไป ราวกับมีใครสักคนบั่นทอนกระแสพลังงานของเขา
ความแตกต่างข้อใหญ่ระหว่างฝงเจียงกับฝงจิ่วเกอคือความสามารถในการเข้าถึงพลังงานของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่อยู่โดยรอบ ซึ่งจุดที่จางเซวียนเดินเข้าไปคือจุดเป็นจุดตายของเทคนิคนั้น
จางเซวียนบั่นทอนกระแสพลังงานของฝงเจียงด้วยการยืนนิ่งอยู่กับที่ ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอาศัยเฉพาะวรยุทธของตัวเอง
แต่ฝงเจียงก็ไม่ใช่นักรบที่อ่อนแอ เขามองเจตนาของจางเซวียนออก จึงขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดทันทีและเพิ่มพละกำลังของการโจมตีเพื่อไม่ให้สูญเสียความรุนแรงไปอีก ด้วยเหตุนี้ ฝงเจียงจึงรักษาน้ำหนักในการโจมตีของเขาไว้ได้
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฝงเจียงขัดเกลาวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยใช้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธคุณภาพดีที่มีอยู่ในตระกูล แม้เขาจะยังห่างไกลจากการได้เป็นราชันย์เทพเจ้า แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวเขาแข็งแกร่งกว่านักรบรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่
อันที่จริง ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าอัจฉริยะของตระกูลฉี, ฉีเยว่ จะเทียบชั้นกับเขาได้หรือเปล่า
แม้จะถูกฝงเจียงเล่นงาน จางเซวียนก็ไม่มีทีท่าจะหลบ เขายืนเอาสองมือไพล่หลังราวกับพร้อมรับการโจมตีเต็มพิกัดจากฝงเจียง
และขณะที่การโจมตีนั้นกำลังจะถึงตัว จางเซวียนก็ทำปากยื่นและพ่นลมหายใจเบาๆ
ฟู่!
ลมหายใจของเขาแปรสภาพเป็นกระแสดาบฉี แหลมคมราวกับเข็มที่ทิ่มแทงบอลลูน พละกำลังดุเดือดเกรี้ยวกราดของฝงเจียงหายวับไปทันที ทำให้พลังงานของเขาเสื่อมสลายไปในพื้นที่โดยรอบ
มันคือกระบวนท่าที่ดูน่าฉงนจนแทบจะขัดกับสามัญสำนึก
ฝงเจียงสำแดงอีกหลายกระบวนท่าตามไปติดๆ แต่เหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนฝนที่ตกใส่ร่ม ไม่ว่าฝงเจียงจะพยายามเล่นงานสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีการโจมตีครั้งไหนถึงเป้าหมายเลย
การเสื่อมสลายของพลังงานจากการโจมตีของเขาทำให้เกิดหลุมยุบทุกหนแห่งในรัศมี 2 เมตรจากจุดที่จางเซวียนยืน
จางเซวียนออกเดินหน้าอย่างเงียบๆ ฝ่าการโจมตีของฝงเจียงไป ใช้ลมหายใจของเขาปัดป้องได้ทุกกระบวนท่า
ราวกับเขาเป็นเสือร้ายที่เหยาะย่างอยู่ท่ามกลางฝูงแพะ เห็นได้ชัดว่าใครคือผู้ล่าและใครคือเหยื่อ
จางเซวียนชำเลืองมองฝงจิ่วเกอและถ่ายทอดคำสอนแรกของเขาในวันนั้น “ไม่ว่าการโจมตีจะทรงพลังสักแค่ไหน ขอแค่คุณหาจุดอ่อนให้เจอ ก็จะเอาชนะได้สบาย หลักการนี้ใช้ได้กับทุกอย่าง โดยทั่วไป คู่ต่อสู้ของคุณไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่คุณคิดหรอก”
จากนั้น จางเซวียนก็ก้าวข้ามพื้นที่ตะปุ่มตะป่ำไปปรากฏตัวห่างจากฝงเจียงราวครึ่งเมตรในชั่วพริบตา
ส่วนฝงเจียงก็กำลังตื่นตระหนกอย่างหนัก เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังถึงขนาดที่แม้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็ทำอะไรไม่ได้
เห็นจางเซวียนเข้าประชิดตัวเขาได้ง่ายดายขนาดนั้น ฝงเจียงที่กำลังปั่นป่วนก็กระโจนถอยหลังไปทันทีเพื่อรักษาระยะห่างกับอีกฝ่าย แต่ระหว่างนั้น ขาของเขาดูเหมือนจะสะดุดเข้ากับบางอย่าง
พลั่ก!
ฝงเจียงล้มกลิ้งไปกับพื้น เนื้อตัวเปื้อนฝุ่น
บริเวณนั้นเงียบกริบ
ฝูงชนได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนกับตา ฝงเจียงล้มเพราะชายหนุ่มยืดขาข้างหนึ่งออกมาขัดไว้
นี่คือการเคลื่อนไหวขั้นต่ำที่ใช้กันในการทะเลาะเบาะแว้งของผู้คนทั่วไป ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นกระบวนท่านี้ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้ระหว่างนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง 2 คน และไม่คิดว่าจะได้ผลดีขนาดนี้ด้วย
รู้ดีว่าทุกคนกำลังคิดอะไร จางเซวียนหัวเราะหึๆ “การจัดระดับขั้นของกระบวนท่าต่างๆราวกับพวกมันมีระบบอาวุโสน่ะไม่ใช่เรื่องฉลาดนะ อะไรที่ได้ผล มันก็คือได้ผล”
ในสถานการณ์ปกติ กระบวนท่าง่ายๆแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลแม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ ยังไม่ต้องพูดถึงฝงเจียง แต่ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เห็น มันกลับกลายเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังเกินกว่าใครๆจะคาดถึง
ไม่ใช่ว่าขาของจางเซวียนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ขัดขวางใครก็ได้ตามแต่เขาต้องการ แต่มันคือกระบวนท่าที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสภาวะแบบนั้น
การโจมตีของฝงเจียงถูกเขาทำลายไปแล้ว และสภาวะจิตของอีกฝ่ายก็กำลังปั่นป่วน จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะระแวดระวังสิ่งรอบตัว แถมทั้งคู่ยังอยู่ใกล้กันมาก
เงื่อนไขทั้งหมดนี้ทำให้กระบวนท่าง่ายๆของจางเซวียนได้ผลอย่างเหลือเชื่อ
การดวลไม่ใช่แค่การวัดว่าใครแข็งแกร่งกว่าหรือเร็วกว่า เพราะไม่อย่างนั้นก็คงเป็นแค่การนำตัวเลขมาประชันกัน
“คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างไหม?” จางเซวียนถามขณะเดินกลับไปยืนข้างฝงจิ่วเกอ
จากที่เขาเห็น เหล่านักรบในสรวงสวรรค์มักจะพึ่งพาวรยุทธ สายเลือด และเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขามากเกินไป คนเหล่านั้นจะปลดปล่อยพลังปราณจนสุดตัวในการต่อสู้
จริงอยู่ว่าการทำแบบนั้นย่อมทำให้คู่ต่อสู้เสียขวัญ แต่กุญแจของการได้ชัยชนะในการสู้รบไม่ใช่แค่ความลื่นไหลของกระบวนท่า มันคือความสามารถในการหยิบเอาทุกสิ่งที่มีมาใช้ให้เป็นประโยชน์และตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม