ตอนที่ 2268 เริ่มการฝึกฝน

อัจฉริยะสมองเพชร

นักรบคนหนึ่งอาจปล่อยหมัดได้เป็นร้อยหมัดใน 1 วินาที แต่หากไม่มีหมัดไหนเข้าเป้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการแสดง อันที่จริง ปัจจัยที่จะทำให้ได้ชัยชนะก็อาจอยู่ที่หมัดเจ๋งๆเพียงหมัดเดียวเท่านั้น

ฝงจิ่วเกอปากสั่น เขาพยักหน้าด้วยอาการจังงังขณะพึมพำ “ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ…”

เขารู้ว่าท่านอาจารย์น่าจะติดโผ 30 อันดับแรกของการจัดอันดับศักยภาพราชันเทพเจ้า ถึงได้สิทธิ์การใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่มา เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์คงเอาชนะฝงเจียงได้ไม่ยาก

แต่ก็ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะทรงพลังขนาดนี้!

แต่ก็นั่นแหละ การมีพละกำลังมากก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การจะทำให้ใครสักคนมีพละกำลังมากก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าท่านอาจารย์จะทำอะไรที่ทำให้เขาฝ่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง

“อย่างนั้นหรือ? แล้วคุณเข้าใจอะไรบ้าง?” จางเซวียนถาม

ฝงจิ่วเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง “การเคลื่อนไหวจะมีอานุภาพแข็งแกร่งก็ต่อเมื่อเข้าถึงคู่ต่อสู้เท่านั้น ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการแสดง”

“ถูกต้อง ความเข้าใจของคุณถือว่าตรงประเด็น” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า

เขารู้สึกได้ว่าฝงจิ่วเกอคือคนฉลาดที่จับประเด็นได้รวดเร็วเมื่อมีใครทิ้งเงื่อนงำไว้ให้

ซึ่งก็น่าเสียดายที่ส่งฝงจิ่วเกอสูญเสียเวลาตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้ไป แต่จางเซวียนก็มั่นใจว่าชายหนุ่มจะถีบตัวเองจนเหนือชั้นกว่าคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่ได้รับคำชี้แนะที่เหมาะสมถูกต้อง

ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้จางเซวียนกล้าประกาศว่าเขาจะทำให้ฝงจิ่วเกอแข็งแกร่งพอจะผ่านการทดสอบได้ภายใน 2 ชั่วโมง

อันที่จริง ไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นด้วยซ้ำ!

ขณะที่จางเซวียนกำลังคุยกับฝงจิ่วเกอ ฝงเจียงก็ลุกขึ้นยืนและถามด้วยความสงสัย “คุณเป็นสมาชิกจากครอบครัวสาขาจริงๆหรือ?”

แม้เขาจะรู้สึกเสียหน้าจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่ก็สูดหายใจลึกเพื่อระงับความขุ่นเคืองไว้

“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า “ถ้าคุณไม่เชื่อ ตรวจสอบสายเลือดของผมได้เสมอ!”

เขามีเครื่องรางแห่งการปลอมตัวอยู่ในมือ มั่นใจว่าจะผ่านการตรวจสอบทุกชนิดได้อย่างง่ายดาย

ฝงเจียงประเมินจางเซวียนครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไป “รออยู่ตรงนั้นแหละ ผมจะรายงานเรื่องนี้และสั่งการให้จัดเตรียมค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ ฝงจิ่วเกอถูกขับออกจากตระกูลแล้ว เขาต้องผ่านการทดสอบถึงจะกลับมาได้ ส่วนคุณ..คุณเป็นสมาชิกของครอบครัวสาขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบ…”

ทันทีที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาสำเร็จวรยุทธถึงระดับหนึ่ง ก็จะได้รับโอกาสให้ตรวจสอบสายเลือดของตัวเอง

ในเมื่อแม้ตัวเขาก็ยังเอาชนะชายหนุ่มไม่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงบรรลุเงื่อนไขขั้นต่ำแล้ว

จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปสนใจศิษย์สายตรงของเขา “เอาล่ะ เริ่มการฝึกฝนกัน”

โดยปกติ การเตรียมค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ให้พร้อมจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แม้จะใช้ประสิทธิภาพในระดับของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟก็ตาม ซึ่งนั่นจะนานพอสำหรับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการต่อสู้ให้ศิษย์สายตรงคนใหม่ของเขา

จางเซวียนเปิดใช้งานการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ จากนั้นก็ตั้งต้นบรรยาย

ตอนแรก ฝงจิ่วเกอยังรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจ แต่ทันทีที่ได้ฟังคำแรก ความกังวลในหัวใจของเขาก็หายวับไปหมด เขาดื่มด่ำอยู่กับการบรรยายอย่างเต็มที่

ความรู้ที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้เขาล้ำลึกกว่าความรู้ใดๆที่เขาเคยร่ำเรียนมา ยิ่งได้ฟังมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ตัวว่าความเข้าใจเรื่องการต่อสู้ที่เขาเคยมีนั้นแสนจะตื้นเขิน

เมื่อฝงเจียงกลับมาอีกครั้ง ฝงจิ่วเกอจึงได้สติ ตอนนี้ ความกังวลในหัวใจของเขาถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง เขากำลังเฝ้ารอเวลาที่จะได้ทดสอบสิ่งที่เพิ่งร่ำเรียนมา

ผ่านไปยังไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ของเขาก็ก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่ อันที่จริง เมื่อมองย้อนกลับไป เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยโง่เง่าขนาดนั้น

พูดกันตามตรง ด้วยสภาวะนี้ เขายังไม่แน่ใจว่าจะฝ่าค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้หรือไม่ แต่รู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีโอกาส

“ขอบคุณท่านอาจารย์!” ฝงจิ่วเกอทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอีกครั้งและโค้งคำนับ

เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาขอบคุณท่านอาจารย์ของเขาได้อีก

ฝงจิ่วเกอรู้สึกว่าความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่เขาผ่านมาช่างคุ้มค่า มันทำให้เขาได้พบท่านอาจารย์ และนั่นคือสิ่งสำคัญ

ในแง่ของความเข้าใจเรื่องการต่อสู้ เขารู้สึกว่าคนเดียวที่น่าจะเทียบชั้นกับท่านอาจารย์ของเขาได้ก็คือบรรพบุรุษเก่าแก่เท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน ฝงเจียงก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อเห็นฝงจิ่วเกอ, อดีตอัจฉริยะผู้ทรงเกียรติของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟกำลังคุกเข่าและโค้งคำนับให้สมาชิกจากครอบครัวสาขา แต่ลงท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร

เขาคำรามและส่งสัญญาณให้ทั้งคู่ตามเขาไป

จางเซวียนกับฝงจิ่วเกอเดินตามฝงเจียงไปติดๆ ไม่ช้าก็ถึงที่หมาย

ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือสังเวียนประลองที่มีรูปปั้นนกฟีนิกซ์ขนาดใหญ่หลายสิบตัวกั้นไว้

ฝงเจียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา “นี่คือสนามฝึกฝนของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟของเรา ค่ายกลกลุ่มดาวเก้าฟีนิกซ์ได้รับการจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคุณอยากถอนตัว…ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ เพราะถ้าการทดสอบเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ จะหันหลังกลับไม่ได้อีก!”

ถึงเขาจะมีความแค้นฝังหุ่นกับฝงจิ่วเกอ แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังถึงขั้นที่อยากให้อีกฝ่ายตาย

“ไม่เป็นไร ผมมาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่คิดจะถอยอย่างแน่นอน” ฝงจิ่วเกอตอบ

“ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มเลย!”

ฝงเจียงเดินตรงไปยังใจกลางสังเวียนประลองโดยไม่ลังเล

เกิดเสียงหึ่งเบาๆ หมอกที่ปกคลุมสังเวียนประลองค่อยๆสลายตัวไป เผยให้เห็นนักรบอีก 8 คน

“ฝงชู่ ฝงหยวนเจิง ฝงชิงเหยียน…”

ฝงจิ่วเกอกำหมัดแน่นเมื่อจำทุกคนที่อยู่ในสังเวียนประลองได้

เขาเคยคิดว่าคงต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีความเก่งกาจระดับเดียวกันกับฝงเจียง แต่ดูเหมือนจะประเมินการทดสอบครั้งนี้ต่ำไป

เท่าที่กวาดสายตาดู ก็มีนักรบอย่างน้อย 5 คนแล้วที่แข็งแกร่งกว่าฝงเจียง!

แล้วเขาจะเอาชนะได้อย่างไร?

โดยเฉพาะฝงชู่

ตัวเขาได้ชื่อว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับราชันย์เทพเจ้าของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ แถมยังรั้งอันดับ 3 ของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดด้วย!

ที่ผ่านมา เหตุผลที่ฝงจิ่วเกอได้รับการยกย่องอย่างสูงในตระกูลก็เพราะสติปัญญาและความปราดเปรื่องของเขา ไม่ใช่ประสิทธิภาพการต่อสู้

ฝงชู่อายุกว่า 600 ปีแล้ว ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่เขาจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้านั้นมีน้อยมาก ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ทางตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟให้ความสำคัญกับฝงจิ่วเกอมากกว่า แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของฝงชู่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

ลำพังแค่การรั้งอันดับ 3 ของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าก็เกินพอจะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่อับจนหนทางแล้ว

“คุณกลัวหรือ?” จู่ๆ จางเซวียนก็โพล่งออกมา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ผมแค่…ไม่มั่นใจ” ฝงจิ่วเกอตอบ

แม้การบรรยายเมื่อครู่นี้จะเปิดหูเปิดตาให้เขาได้ความรู้ใหม่ๆ แต่เขาก็ยังไม่มีเวลากลั่นกรองความรู้เหล่านั้นเพื่อนำมาฝึกฝนและปฏิบัติจริง ดังนั้นจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำได้สักแค่ไหนกับความรู้ที่เพิ่งได้ซึมซับมา

ถ้าเขาพลาดพลั้งระหว่างการต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังจำนวนมากขนาดนั้น คงได้เอาชีวิตไปทิ้งแน่

“ขอแค่คุณนำสิ่งที่ผมชี้แนะไปปฏิบัติจริง ก็จะฝ่าค่ายกลไปได้สบาย” จางเซวียนยืนยันอย่างสุขุมหนักแน่นเพื่อให้ฝงจิ่วเกอมั่นใจ

“ผมเข้าใจแล้ว!” ฝงจิ่วเกอพยักหน้า

เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็โยนความระแวงแคลงใจทั้งหมดทิ้งไปและกระโจนขึ้นสู่สังเวียน

ทันทีที่ฝงจิ่วเกอขึ้นไปบนสังเวียนประลอง คู่ต่อสู้ทั้ง 9 คนที่เขาจะต้องรับมือด้วยก็หายวับไปทันที ค่ายกลปกปิดตัวเองไว้ ทำให้ฝงจิ่วเกอไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน

เขาก้าวออกไปทีละก้าวอย่างหวาดระแวง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่อยู่ด้านหลัง

ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าสถานการณ์แบบนี้มักเป็นการล่อลวงถ้าเราหันกลับไปก็ไม่ต่างอะไรกับกระโจนเข้าใส่กับดักของศัตรู มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกนั้นจะปล่อยมาตรการตอบโต้ทันทีที่เราพุ่งเข้าใส่และพยายามฝ่าวงล้อมของพวกเขา สิ่งเดียวที่เราจะทำได้ในตอนนี้คือกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมของเราขณะปล่อยการโจมตีไปพลางๆ*…*

ฝงจิ่วเกอถอยหลังกลับไปยังจุดที่เขาเคยยืนอยู่โดยไม่ลังเล

อันตรายมากที่จะต้องล่าถอยเมื่อรู้ว่ามีใครคนหนึ่งพร้อมจะพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง หากผิดพลาดเพียงครั้งเดียว เขาอาจถูกศัตรูใช้อาวุธเล่นงานก็ได้ แต่ฝงจิ่วเกอก็ไม่มีทางเลือกอื่นในสถานการณ์แบบนี้

ดังนั้น ทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้น เขาก็ตวัดขาอีกข้างหนึ่งขึ้นมา แล้วเตะพรวดออกไปตรงหน้า

พลั่ก!

ฝงจิ่วเกอรู้สึกได้ว่าขาของเขาปะทะกับบางอย่าง ดูเหมือนจะมีใครคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ

ฮะ*…*ฝงจิ่วเกอตาโตด้วยความตื่นเต้น

พูดกันตามตรง เขายังอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังพยายามทดสอบว่าทฤษฎีเหล่านั้นจะใช้งานได้จริงหรือไม่ จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเห็นๆกันอยู่ว่าเขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

ด้วยเหตุนี้ จึงแสนจะประหลาดใจและยินดีที่พบว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล

ท่านอาจารย์บอกไว้ว่า ถ้าการโจมตีของเราตรงเป้า*…เพื่อป้องกันไม่ให้เราเล่นงานซ้ำ ศัตรูที่อยู่อีกฟากหนึ่งจะต้องใช้โอกาสนี้ตอบโต้กลับ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องถอยหรือหลบหรือวิ่งหนีทั้งหมดที่ต้องทำก็คือกลับไปยืนที่จุดเดิมก่อนที่เราจะก้าวออกมา…*

ฝงจิ่วเกอทบทวนคำสอนของจางเซวียน

การที่เมื่อครู่นี้ไม่มีใครโจมตีเขาสักคนตอนที่เขาก้าวออกไป ก็หมายความว่าตรงนั้นไม่มีศัตรูอยู่ เขาใช้จุดนี้เป็นข้อได้เปรียบได้

ฝงจิ่วเกอจึงก้าวออกไปอีกครั้ง รู้สึกได้ทันทีถึงพละกำลัง 2 สายที่ปะทะกันอยู่ด้านหลังตัวเขา

มันได้ผลจริงๆด้วย!

เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านอาจารย์พูดไว้ อย่างกับอีกฝ่ายคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้า ฝงจิ่วเกอตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้ปล่อยให้ความตื่นเต้นมาครอบงำ เขาตัดสินใจบิดร่างเป็นมุม 90 องศา ก่อนจะปล่อยลูกเตะอย่างจังเข้าใส่ที่จุดๆหนึ่ง

พลั่ก!

เกิดเสียงพลั่กหนักๆอีกครั้ง

คู่ต่อสู้อีกคนที่พยายามลอบโจมตีเขาลงเอยด้วยการถูกเตะอย่างจังเข้าที่หน้าอกก่อนที่จะทันได้ทำอะไร