ตอนที่ 898 ข่าวคราว

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“เซี่ยวเทียน สำนักเสื้อป่านของเราได้มีชื่อก็คราวนี้?”

เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้าน พลิกหนังสือพิมพ์ในมือ ส่ายหัวพลางหัวเราะ

“เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าปาปารัสซี่ของฮ่องกงนี่เก่งกาจ แต่พวกเขาเก่งแค่ไล่ตามดาราไม่ใช่หรือ? ทำไมยังมาสนใจงานเลี้ยงงานประมูลด้วย?”

รูปพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในมือเยี่ยเทียน เป็นรูปเงาด้านหลังของคนสี่คน แม้จะเป็นเงาจากด้านหลัง แต่เยี่ยเทียนมองออกว่าสี่คนนั้นคือหลี่เชาเหริน เหลยหู่ โจวเซี่ยวเทียน และตัวเขาเองที่เดินออกจากงานเมื่อคืน

ปาปารัสซี่ลึกลับคนนั้นน่าจะแอบตั้งกล้องจ้องมองไปที่ประตูไว้เพื่อแอบถ่ายไว้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยดวงจิตอันว่องไวของเยี่ยเทียนไม่มีทางหลุดรอดไปได้

นักข่าวคนนั้นคงได้ซื้อตัวใครสักคนในงานประมูลเอาไว้ สิ่งที่เกิดเมื่อคืนทั้งหมดได้ถูกถ่ายทอดอย่างละเอียดลงบนหน้าข่าว เงินมหาศาลของหลี่เชาเหรินกับสิ่งของปริศนาจากสำนักเสื้อป่านนั้นกลายเป็นพาดหัวข่าวเด่นไปเลย

“อาจารย์ หลี่เชาเหรินดึงดูดสายตานักข่าวมากกว่าพวกดาราเสียอีก แค่ได้ไปปรากฏตัวในงานไหน นอกงานนั้นจะต้องมีนักข่าวเป็นกองทัพมารอ”

โจวเซี่ยวเทียน อาศัยอยู่ที่นี่มาสักระยะใหญ่แล้ว เข้าใจสังคมในฮ่องกงดี เขาเห็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์แล้วหัวเราะ

“เมื่อคืนบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ได้โทรศัพท์หาอาจารย์ลุงรองแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ลงข่าวหรอก นี่ถือเป็นการโฆษณาสำนักเสื้อป่านของเราเลย!”

คนที่รู้ข่าวคราวในฮ่องกงดีหน่อยนั้นจะได้รู้ว่าสำนักเสื้อป่านกับจั่วเจียจวิ้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และแทบไม่มีใครในฮ่องกงเลยที่กล้าเหิมเกริมต่ออาจารย์จั่ว บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ได้เปลี่ยนเนื้อหาข่าวเป็นการบรรยายคุณงามความดีของสำนักเสื้อป่านทีละข้อ ดูยิ่งใหญ่กว่าหลี่เชาเหรินเสียอีก

“ศิษย์พี่รองพูดถูกแล้ว โฆษณานี้ได้ผลดีจริงๆ!”

ตอนที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น เหลยหู่กับจั่วเจียจวิ้นก็เดินเข้ามา

“อาจารย์ เมื้อครู่เห็นหนังสือพิมพ์ลง ก็มีคนส่งใบบริจาคมาหลายใบ อาจารย์ว่าพวกเราควรจะรับไว้ไหมครับ?”

“อ๋อ? มีใครบริจาคบ้างล่ะ? พวกเรามีสิทธิ์จะรับบริจาคหรือ?”

เยี่ยเทียนรู้ว่าองค์กรการกุศลในฮ่องกงนั้นโปร่งใสทีเดียว เงินทุกเหรียญจะต้องประกาศชื่อผู้บริจาคออกไปเพื่อให้ผู้บริจาคตรวจสอบเงินได้ ถ้าอยากเปิดการบริจาคการกุศลแบบนี้จะต้องถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนเคร่งครัด

“อาจารย์ คุณหลี่บริจาคช่วยตั้งร้อยล้านดอลลาร์แล้ว ยังมีคุณถังที่ให้อีกห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วก็คุณท่านเซอร์เฮ่ออีกหนึ่งล้านดอลลาร์….”

เหลยหู่มองดูใบบริจาคที่เขียนยอดเงินในมือแล้วเอ่ยต่อ

“สำนักเสื้อป่านเริ่มแรกมีบริษัทของคุณท่านถังให้การรับรอง มีความสามารถในการจ่ายหนี้เต็มที่ ดังนั้นสามารถรับการบริจาคได้ครับ อาจารย์ว่าเงินนี้เรารับไว้ได้ไหม?”

“เอาเป็นว่าอย่าดีกว่า….”

เยี่ยเทียนรับเอกสารจากเหลยหู่มาดูแล้วส่ายหัว

“เดี๋ยวแกต่อสายหาคุณหลี่กับคุณเฮ่อด้วย ขอรับแค่เพียงน้ำใจเท่านั้น ส่วนเงินนั้นช่างเถอะ สำนักเสื้อป่านของเรามีกิจการอยู่รอบนอก ไม่ต้องการเงินสนับสนุนแต่อย่างใด จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง!”

ถ้ามีเอกสารการรับบริจาคชัดเจน บัญชีการเงินของสำนักเสื้อป่านจะถูกตรวจสอบจากทางรัฐเมื่อไหร่ก็ได้ ยังต้องไปชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบที่มาของเงินบริจาคอีก เยี่ยเทียนไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เขาขี้เกียจหาเรื่องใส่ตัว

“ช่างเถอะ ฉันโทรไปหาคุณหลี่เองจะดีกว่า!”

เงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ที่หลี่เชาเหรินบริจาคนั้น เยี่ยเทียนรู้ถึงจุดประสงค์ดี เมื่อวานยาวิเศษที่เขากินเข้าไปเห็นผลทันที เชื่อว่าเมื่อคืนเขาคงนอนไม่หลับ เพราะผลของยาที่ชัดเจนมาก ไม่เช่นนั้นไม่น่าส่งใบบริจาคมาถึงตรงหน้านี้

ส่วนท่านเซอร์เฮ่อ อยากจะแสดงความขอบคุณเยี่ยเทียน เพราะงานเลี้ยงเมื่อวานเงินบริจาคทั้งหมดได้มาเกือบสี่พันล้านเหรียญฮ่องกง ทำให้วงการการกุศลต้องสั่นสะเทือน ยิ่งทำให้ชื่อเสียงความใจบุญท่านเซอร์เฮ่อยิ่งโด่งดัง

เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดเบอร์โทรส่วนตัวของหลี่เชาเหริน สายดังสองครั้งแล้วมีคนรับ

“ฮัลโหล คุณเยี่ยหรือ?”

เสียงจากปลายสายเป็นเสียงดังกังวานของหลี่เชาเหริน ได้ยินแล้วแทบไม่เชื่อว่ากำลังคุยอยู่กับคนแก่อายุเกือบแปดสิบ

“ผมเอง คุณหลี่ คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ผมขอรับไว้ด้วยใจแล้วกัน ส่วนเงินนั้นไม่ต้องหรอก”

เยี่ยเทียนเอ่ยด้วยความเคารพนบนอบต่อราชาเจ้าแห่งวงการธุรกิจ ในวงการนี้หลี่เชาเหรินได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุดแล้ว

ตอนนั้นที่หลี่เชาเหรินให้ยืมเครื่องบินส่วนตัว เยี่ยเทียนยังติดค้างน้ำใจเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ยอมนำยาวิเศษออกมาให้ง่ายดายขนาดนี้ การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เยี่ยเทียนถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ วันข้างหน้าเวลาเขาจะต้องรับเคราะห์กรรมอาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงได้

“ถ้างั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้ว ต่อไปถ้าคุณเยี่ยเทียนต้องการอะไรให้ออกปากได้เลย”

หลี่เชาเหรินรู้เรื่องของเยี่ยเทียน คนที่กระโดดลงมาจากเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนฟ้าโดยไม่ใช้ร่มชูชีพแล้วยังปลอดภัยดีมีความสุขอย่างเยี่ยเทียนไม่ควรใช้เหตุผลธรรมดากับเงินไปตัดสินเขา?

“ใช่แล้ว คุณเยี่ย คือ…ยานั่น น่าจะได้ผลแล้วใช่ไหม?”

หางเสียงของปลายสายดูอ่อนแรงลงราวกับว่าอ้าปากพูดได้ยากมาก

จะโทษหลี่เชาเหรินก็ไม่ได้ เพราะเมื่อวานพอกลับมาถึงบ้านเขาก็กินยาเข้าไปทันที กระเพาะลำไส้ของเขาเริ่มประท้วงอย่างหนัก เขาต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกครึ่งชั่วโมง ของเสียที่ขับออกมาจากร่างกายนั้นหมักเหม็นเน่า ต่อให้กดน้ำชำระล้างแล้วทั้งบ้านยังเหม็นจนน่าคลื่นไส้อาเจียน

แต่พอหลี่เชาเหรินขับถ่ายจนหมดท้องแล้วก็ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือขาดน้ำเลย ตอนเช้าเขาได้นอนหลับไปแค่ชั่วโมงกว่าแต่รู้สึกสดชื้นกระปรี้กระเปร่า ราวกับได้ย้อนกลับไปอายุสี่สิบต้นๆอีกครั้ง นี่ถึงทำให้รู้ว่าของเสียที่ขับออกมาเมื่อคืนนั้นมีแต่สารพิษตกค้างสะสมทั้งนั้น

แต่ความรู้สึกแบบนั้นช่างทุกข์ทรมาน หลี่เชาเหรินกลัวว่าตอนเช้าที่เขาต้องทำงานจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีก ดังนั้นจึงถามเยี่ยเทียนออกไป

“คุณหลี่ ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกังวล ต่อไปอย่าหักโหมให้มากก็พอ”

ฟังจบเยี่ยเทียนหัวเราะออกมา เขาให้คนในบ้านกินยาเข้าไปทุกคน แน่นอนว่ารู้ถึงฤทธิ์ยาเป็นอย่างดี

“เยี่ยเทียน เธอจะไปสวิส ต้องให้ฉันกับศิษย์พี่ใหญ่ไปด้วยไหม?”

เยี่ยเทียนวางสายแล้วจั่วเจียจวิ้นจึงถามออกมา

“คนที่เธอได้เจอที่รัสเซียคนนั้นฉันให้คนสืบมาแล้ว ที่ยุโรปมีกลุ่มคนแบบนี้อยู่จริงพวกเขาดูดกินเลือดเพื่อให้มีพละกำลังแข็งแรง จะประมาทพวกเขาไม่ได้นะ”

“ผีดูดเลือด? อาจารย์เคยเจอด้วยเหรอ?”

เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ เหลยหู่ที่อยู่ข้างก็สนใจขึ้นมา

“ทำไม แกรู้จักพวกนี้ด้วย?”

เยี่ยเทียนหันไปมองเหลยหู่ ศิษย์คนนี้เติบโตในต่างประเทศน่าจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้มากหน่อย

“เมื่อก่อนในนิวยอร์คมีตระกูลมาเฟียตระกูลหนึ่งที่ภายในคืนเดียวถูกดูดเลือดจนตายหมด ลือกันว่าเป็นฝีมือของผีดูดเลือด”

เหลยหู่ยิ้มแห้ง

“ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่ คิดแต่ว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ แต่ตอนนี้ เรื่องไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือ อาจารย์ ให้ผมไปยุโรปด้วยคนเถอะ พวกเราสมาคมหงเหมินมีเครือข่ายอยู่ที่นู่นหนาแน่น”

“ไม่ต้อง สำนักเสื้อป่านขาดแกไม่ได้ ศิษย์พี่รองพวกพี่ก็ไม่ต้องไปหรอก ผมพาเซี่ยวเทียน ไปคนเดียวก็พอ”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า

“ที่นี่พลังธรรมชาติเบาบางไม่มั่นคง คนที่แข็งแกร่งจริงๆนั้นไม่กล้าอยู่ที่นี่หรอก พวกผีดูดเลือดพวกนั้นคงไม่น่าจะเก่งสักเท่าไหร่ ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ”

ลิขิตสวรรค์ดำเนินไปตามทำนองคลองธรรมที่ควรจะเป็น ความเก่งกาจของคนๆหนึ่งถ้ามากเกินไปฟ้าดินไม่รองรับละก็ ก็จะต้องถูกบีบบังคับให้จากไป

ตามที่เยี่ยเทียนคิด เมื่อเล่าจื๊อขี่วัวออกมาจากหน้าด่าน พระพุทธเจ้าปรินิพพาน หรือแม้แต่พระเยซูสละชีพ ก็เพราะถูกฟ้าดินกำจัดไป ตอนนี้เขาทำได้ถึงจุดนี้แล้ว ถ้าไม่พยายามเก็บงำตบะขั้นสูงเอาไว้ อัสนีบาตรจะฟาดลงมาใส่เขาเมื่อไหร่ก็ได้

คำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ไม่ได้อวดอ้างตัวเองเกินไป แต่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเอง เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของโลกมนุษย์แล้ว หากเกิดเรื่องอะไรฉับพลันเขาก็รับได้หมด

ตอนที่จั่วเจียจวิ้นกำลังจะอ้าปากโน้มน้าวนั้น โทรศัพท์บนโต๊ะน้ำชาก็ดังขึ้น หลังจากรับโทรศัพท์แล้วจั่วเจียจวิ้นส่งให้เยี่ยเทียนบอกว่า

“แม่เธอโทรมาน่ะ เขาจะคุยกับเธอ”

รับโทรศัพท์มาแล้วเยี่ยเทียนทำเสียงระรื่น

“แม่ มีอะไรครับ? ผมโทรกลับไปรายงานให้แม่ฟังอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ?”

เนื่องจากเวลาเยี่ยเทียนออกไปข้างนอกไม่พกโทรศัพท์และไม่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่เสียที่ไหน ซ่งเวยหลันกับ           อวี๋ชิงหย่ายื่นคำขาดกับเขาว่าทุกวันเขาจะต้องโทรกลับมาที่บ้าน ไม่เช่นนั้นพวกเธอจะไม่ให้เขาพบหน้าลูกชายไปครึ่งเดือน

ความจริงแล้วต่อให้แม่และภรรยาไม่สั่ง เยี่ยเทียนก็ต้องโทรกลับบ้านทุกวันอยู่แล้ว ขอแค่ได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกชายผ่านหูโทรศัพท์มา ก็เป็นความปลาบปลื้มใจของเยี่ยเทียนแล้ว

“นับว่าครั้งนี้แกยังเชื่อฟัง”

ซ่งเวยหลันหัวเราะชอบใจอยู่ปลายสาย แล้วรีบเข้าเรื่องสำคัญ

“ลูก ที่ลูกให้แม่ถามทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษว่ารูปที่ลูกพูดถึงคือตำราทุยเป้ยถูหรือเปล่า? แม่ถามเพื่อนที่เป็นราชวงศ์อังกฤษคนหนึ่งมาให้แล้ว ในห้องเก็บเอกสารของพวกเขานั้นมีอยู่ฉบับหนึ่งจริง  น่าจะเป็นตำราทุยเป้ยถูที่ลูกว่า”

ตั้งแต่เธอได้อยู่กับลูกชาย ลูกชายไม่เคยมีเรื่องขอร้องอะไรเธอเลย ดังนั้นสำหรับลูกแล้ว ซ่งเวยหลันต้องให้ความเอาใจใส่ถึงที่สุด ไม่นานมานี้เธอรู้ว่าพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ทำการสังคายนาเอกสารในโกดังทั้งหมด จึงได้โทรศัพท์ติดต่อหาเพื่อนที่เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ขอให้เธอช่วยสอบถามถึงภาพตำราทุยเป้ยถู แล้วก็ได้ข่าวมาจริงๆ

“อ้อ? แม่ครับ ให้ผมได้เห็นรูปเก่าที่ว่าได้ไหม?”

ได้ยินดังนั้น เยี่ยเทียนตาลุกวาว ตอนที่เขาอยู่ในถ้ำซือคง ในดินแดนแห่งเทพกสิกรนั้นได้เห็นว่าในรูปเก่าขาดรุ่ยยังมีพลังบางอย่างที่เข้มข้นอยู่ เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่มีทางชักนำพลังในนั้นออกมาได้ เขาเดาว่าน่าจะเป็นเพราะรูปเก่าขาดเสียหายมากเกินไป

ในที่สุดก็ได้พบร่องรอยของชิ้นส่วนภาพวาดอีกส่วน เยี่ยเทียนไม่มีทางพลาด เพราะภาพทุยเป้ยถูนั้นไม่ได้ใช้เพื่อเสริมการทำนายแต่อย่างใด แต่เป็นของวิเศษล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เดียว เมื่อเยี่ยเทียนพอสัมผัสได้ถึงพลังของมันแล้วถึงกับทำให้เขาใจสั่น

……………………………