ตอนที่ 899 ลอนดอน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“ถ้าไม่ได้แม่ก็ไม่โทรหาแกแล้ว”

ได้ยินเสียงร้อนรนของลูกชายซ่งเวยหลันรู้สึกดีใจ เสียยิ่งกว่าได้กำไรจากธุรกิจเป็นหมื่นล้านเสียอีก

“เพื่อนของแม่เป็นทายาทราชวงศ์อังกฤษอันดับที่หก ถ้าลูกเสร็จธุระแล้วไปหาเขาที่อังกฤษได้ เขาจะพาลูกไปที่พิพิธภัณฑ์นั่นเอง”

“ของนั่นอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษแน่นอนใช่ไหม?”

เยี่ยเทียนใจเย็นลง ในสมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว

“แม่ครับ ผมคิดว่า…จะยังไม่ไปหาเพื่อนแม่ ผมจะลองหาวิธีอื่นดูก่อน”

จุดมุ่งหมายสุดท้ายของเยี่ยเทียนไม่ใช่เพื่อดูชิ้นส่วนตำรานั้น แต่อยากจะได้มันมาไว้ครอบครอง ถ้าเขาได้ไปดูตำราภาพทุยเป้ยถูแล้วจู่ๆภาพนั้นก็หายสาบสูญไป เยี่ยเทียนจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน สู้แอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แล้ว “ขโมย” ของออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ

โบราณว่าไว้การขโมยหนังสือเป็นโจรที่มีอารยะ อีกอย่างของสิ่งนี้ถูกช่วงชิงไปจากประเทศจีนแต่แรก การขโมยของครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด

“เยี่ยเทียน ลูกคิดจะทำอะไร?”

แม้จะได้อยู่ร่วมกับบุตรชายไม่นาน แต่เธอรู้จักบุตรชายของเธอดีที่สุด  ท่าทางลังเลของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลันรู้สึกไม่ชอบมาพากล รีบเตือนไว้ก่อนว่า

“ลูกอย่าได้มีความคิดพิเรนทร์เชียว แม่ไม่อยากให้ลูกไปเกี่ยวข้องกับการขโมยงานศิลปะแบบนั้น”

ในโลกของเหล่าเศรษฐี มีคนจำนวนมมากยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อศิลปะล้ำค่าสักชิ้น จึงทำให้เกิดอาชีพใหม่ขึ้นคือ โจรนักขโมยศิลปะ โจรเหล่านี้มีฝีมือลึกล้ำร้ายกาจลักขโมยชิ้นผลงานศิลปะตามงานจัดแสดงหรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

จากงานศิลปะร่วมสมัยที่จัดแสดงให้คนหมู่มากได้ชื่นชมกลับกลายเป็นของสะสมในห้องลับของคนบางคน ชิ้นงานศิลปะหายสาบสูญจำนวนมาก ทำให้คนเหล่านี้ถูกตราหน้าโดยคนทั่วโลก ซ่งเวยหลันเกรงว่าบุตรชายของเธอจะไปจ้างให้คนเหล่านี้ไปขโมยตำราทุยเป้ยถู ถึงเอ่ยเตือนห้ามปราม

“แม่ คิดไปถึงไหนแล้ว? ผมจะไปใช้คนพวกนั้นได้อย่างไร?”

เยี่ยเทียนถูกมารดาท้วงติงจนทำหน้าไม่ถูก ด้วยวิชาของตัวเอง ต่อให้ไปแอบขโมย หากเป็นการแย่งชิงมาก็สามารถนำชิ้นส่วนตำรานั้นออกมาจากพิพิธภัณฑ์ได้ ไม่อย่างนั้นก็ใช้ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของเจ้าพ่อแห่งลาสเวกัสรูดอล์ฟคนนั้นมาใช้ ทางอังกฤษอาจจะสงสัยแต่ไม่มีทางสืบสาวมาถึงตัวเขาได้แน่

“ผมก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรอยู่แล้ว!”

ซ่งเวยหลันไม่ได้สนใจคำบ่ายเบี่ยงของบุตรชาย ตอบว่า

“แม่บอกกับอลิซาเบธว่า ถ้าของสิ่งนั้นเป็นของจริง แม่จะใช้ภาพวาดผลงานของปิกัสโซมาใช้แลกเปลี่ยน ลูกอย่าคิดทำอะไรแผลงๆเลย”

“จริงเหรอ? เฮ้อ แม่ครับ แม่สุดยอดไปเลยครับ….”

ได้ยินดังนั้นเยี่ยเทียนหัวเราะออกมา การมีแม่รวยนี่ก็ดีเหมือนกัน ส่วนรูปวาดของปิกัสโซนั้นสำหรับเยี่ยเทียนแล้วยังไม่มีค่าเท่ากับกระดาษชำระเลย แล้วจะมาเทียบกับชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูได้ยังไง

“เจ้าเด็กบ้าอย่าพูดเหลวไหล ลูกจะไปเมื่อไหร่บอกแม่ก่อนล่วงหน้าด้วย”

ซ่งเวยหลันตอบด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง แต่ใบหน้ายิ้มแย้ม ขอแค่ให้ลูกมีความสุขจะให้เธอเสียทรัพย์สมบัติมากแค่ไหนก็ยอม

“แม่ครับ ยังจะต้องบอกล่วงหน้าด้วยหรือ? วันนี้ผมจะไปลอนดอนเลย แม่จัดการให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะครับ!”

นอกจากพลอยวิเศษที่ใช้ช่วยฝึกวิชาแล้ว บนโลกนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดทำให้เยี่ยเทียนสนใจได้อีกนอกจากตำราทุยเป้ยถู เอาเป็นว่าก่อนถึงงานประลองความสามารถพิเศษที่จะถึงในอีกสามวันข้างหน้า เยี่ยเทียนอยากจะไปลอนดอนเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน

“โตขนาดนี้แล้ว ยังจะทำอะไรวู่วามอยู่เรื่อย!”

ซ่งเวยหลันอบรมลูกชายแต่ก็ตกลงทำตามที่ขอ

“เอาล่ะ แม่จะโทรหาอลิซาเบธเดี๋ยวนี้ ลูกจดที่อยู่ของเธอเอาไว้ด้วย ถ้าของชิ้นนี้เป็นของแท้ แม่จะช่วยลูกแลกเปลี่ยนสิ่งของให้!”

“ครับแม่ ขอบคุณมากครับ มา ขอหอมหน่อย!”

เยี่ยเทียนวางสายขณะที่ซ่งเวยหลันโวยวายอยู่ปลายสาย แล้วหันมาหาโจวเซี่ยวเทียนบอกว่า

“เซี่ยวเทียน แกไปสนามบินกับฉันเดี๋ยวนี้เลย แล้วกลับไปที่เรือนสี่ประสานในปักกิ่ง เอาชิ้นส่วนตำราที่ได้จากดินแดนแห่งเทพกสิกรมาด้วย แล้วบินตามฉันไปที่ลอนดอนทันที เราไปเจอกันที่ลอนดอน!”

หากเทียบกับงานประชุมความสามารถพิเศษที่ใกล้จะถึง เยี่ยเทียนตั้งความหวังที่ชิ้นส่วนตำราภาพนั้นเอาไว้มากกว่า อาจเพราะเป็นเรื่องที่ติดค้างในใจของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมาตลอด ตอนนี้จะได้คำตอบด้วยฝีมือของเขาเอง

เห็นเยี่ยเทียนใจร้อนแบบนี้ จั่วเจียจวิ้นรีบขับรถส่งโจวเซี่ยวเทียนไปสนามบิน พอเครื่องบินของโจวเซี่ยวเทียนออกไปแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของมารดาเยี่ยเทียนก็ขออนุญาตทำการบินได้ และบินตรงไปประเทศอังกฤษทันที

…………

“คุณคือคุณเยี่ยเทียนใช่ไหม!”

เมื่อเยี่ยเทียนไปถึงสนามบินนานาชาติลอนดอนแล้ว มีชายวัยกลางคนสวมชุดสูทสากลมาต้อนรับ กล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า

“ผมชื่อหูหู่ เป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐในสถานทูตจีนประจำประเทศอังกฤษ คุณเยี่ย รถรออยู่ข้างนอกแล้ว”

“คนพวกนี้  จริงๆเลย….กลัวว่าเราจะไม่กลับไปสวิสหรือยังไง?”

เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอนอยู่บนเครื่องบินเขาได้รับโทรศัพท์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บอกว่าเมื่อมาถึงแล้วจะมีคนไปรับ ผู้ที่โทรศัพท์มาคือประธานเยวี่ยโทรมาด้วยตนเอง เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าปฏิเสธ “ความหวังดี” ของฝ่ายนั้น

เยี่ยเทียนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีพอ ในสถานทูตในต่างประเทศ นอกจากพวกทูตแล้ว ที่ปรึกษาแห่งรัฐเป็นผู้มีตำแหน่งรองลงมา

ประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจในโลก มีความสำคัญยิ่งใหญ่กว่าสถานทูตของประเทศเล็กๆอยู่แล้ว ที่ปรึกษาแห่งรัฐอย่างหูหู่ถ้าไปอยู่ในประเทศสเปนหรือประเทศบราซิล คงจะได้เป็นเอกอัครราชทูตเลยทีเดียว การต้อนรับด้วยคนระดับนี้ไม่น้อยหน้าเลย

“งานของผมคืออำนวยความสะดวกให้คุณเยี่ยครับ”

ก่อนหน้าสามชั่วโมง หูหู่ได้รับโทรศัพท์สายตรงจากท่านประธานเยวี่ย ที่มอบหมายภารกิจให้เขา ดังนั้นถึงเยี่ยเทียนจะดูหนุ่มมาก หูหู่ก็ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย

เยี่ยเทียนนั่งอยู่ในรถของสถานทูตออกจากสนามบินแล้ว หูหู่พูดต่อว่า

“คุณเยี่ยครับ ได้ยินว่าคุณมาลอนดอนเป็นครั้งแรก? ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ติดอันดับหนึ่งในสี่ของโลก ถ้าคุณต้องการละก็ ผมสามารถพาคุณเที่ยวรอบเมืองได้!”

คำแนะนำที่หูหู่ได้รับมาคือต้องทำให้คนหนุ่มคนนี้ ผู้ซึ่งมาเยือนลอนดอนครั้งแรกพออกพอใจ และต้องส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปสวิสอีกด้วย

แน่นอนว่าเงื่อนไขส่วนแรกหูหู่ต้องอยู่ติดตามเยี่ยเทียนตลอด เพราะความสามารถในการทำลายล้างของเยี่ยเทียนทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายท่านพากันปวดหัวมานักต่อนักแล้ว เรื่องที่เกิดในไซบีเรียจนถึงตอนนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัสเซียยังไม่ทันฟื้นฟูได้ดีเลย

“จุดกำเนิดของผีดูดเลือดเหรอ? เหอะๆ  ที่นี่น่าสนใจดี!”

ตั้งแต่ลงมาจากเครื่องบิน เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่าในมวลชั้นบรรยากาศราวกับมีลมหายใจของสิ่งสองสิ่งปะปนกันอยู่

รายรอบความงดงามของโบสถ์คริสต์นั้น มีความคล้ายคลึงกับความศรัทธาแห่งศาสนาพุทธ เมื่อดวงจิตของเยี่ยเทียนสืบเสาะเข้าไปในบาร์เหล้าตามตรอกซอกซอย กลับรู้สึกถึงลมหายใจของท่านเคาท์คนนั้นอย่างชัดเจน

“ผีดูดเลือด? คุณเยี่ยล้อเล่นใช่ไหมครับ? บนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตพวกนั้นที่ไหนกัน?”

หูหู่ได้ยินก็อึ้งไป แล้วเอ่ยต่อว่า

“แต่ว่าในอังกฤษมีบาร์หลายแห่งที่มีบรรยากาศเกี่ยวกับผีดิบดูดเลือดนะครับ ถ้าคุณสนใจด้านนี้ละก็ คืนนี้ผมจะพาคุณไป!”

“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ค่อยสนใจสิ่งมีชีวิตประเภทนี้เท่าไหร่”

เยี่ยเทียนสั่นหัว แล้วมองนาฬิกาข้อมือ บอกว่า

“ผมได้นัดคนไว้ อีกครึ่งชั่วโมงที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ ไปถึงทันไหม?”

ผลจากการดำเนินการของซ่งเวยหลันดีมาก ตอนที่เยี่ยเทียนยังอยู่บนเครื่องบิน ก็ได้ติดต่อทำการนัดให้เยี่ยเทียนทั้งเรื่องเวลาและสถานที่เรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงอำนาจของเธอในต่างประเทศ

คนที่เยี่ยเทียนต้องไปพบไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงรัชทายาทของราชวงศ์อังกฤษ ถึงอำนาจของราชวงศ์จะไม่เฟื่องฟูเท่าแต่ก่อน แต่ยังได้รับความเคารพจากประชาชน ในโลกนี้นอกจากประเทศโลกอาหรับแล้ว ราชวงศ์ที่ทรงอำนาจราชวงศ์หนึ่งในโลก ไม่ใช่ว่าใครอยากจะพบก็เข้าพบได้

“ไม่มีปัญหาครับ คุณเยี่ย จะถึงที่นั่นตรงเวลาแน่นอน”

หูหู่พยักหน้า แล้วหมุนพวงมาลัยรถเปลี่ยนทิศทางเลี้ยวเข้าไปอีกถนนหนึ่ง บุกผ่าไฟแดง โดยมีรถตำรวจคันหนึ่งวิ่งตามหลัง

“โอ้โห การมีสัมพันธ์อันดีกับต่างชาตินี้มันยอดไปเลย?”

เห็นว่าหูหู่ไม่สนใจรถตำรวจที่ส่งเสียงตามหลังมา ขับบึ่งไปเบื้องหน้าอย่างเดียว เยี่ยเทียนถึงกับพูดไม่ออก เวลาที่เขาบอกไปน่าจะกระชั้นชิดเกินเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้ยอมผิดกฎจราจร

“คุณเยี่ยครับ ถึงแล้ว หวังว่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลานะครับ”

ก่อนเวลานัดห้านาที รถของหูหู่มาหยุดลงตรงหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ หลังจากยื่นนามบัตรส่งให้เยี่ยเทียนแล้วบอกว่า

“เดี๋ยวจะมีตำรวจมา ผมจะจัดการเอง คุณเยี่ยจัดการธุระเรียบร้อยแล้วโปรดโทรติดต่อผมด้วยครับ”

“ขับรถไม่เลวนี่ ผมว่าคุณน่าจะเป็นทหารมากกว่าเป็นที่ปรึกษานะครับ”

เยี่ยเทียนหัวเราะร่าเริงลงจากรถ เขาไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐประจำสถานทูตนั้นมีสถานะอันพิเศษ แต่เดิมเขาเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงหนึ่งในแปดของรัฐบาลแล้วยังมียศทหาร ไม่เช่นนั้นท่านประธานเยวี่ยไม่มีทางติดต่อหาเขาได้โดยตรง

หลังจากกดเบอร์ติดต่ออลิซเบธ เจ้าหน้าที่หญิงแห่งวินด์เซอร์เป็นผู้รับสายแล้ว เยี่ยเทียนก็ถูกเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์คนหนึ่งรับตัวไปที่สำนักงานด้านในพิพิธภัณฑ์ แค่ทางเดินระเบียงที่ทอดยาวผ่านโถงอาคารนั้น ทั้งสองใช้เวลาเดินเต็มๆถึงห้านาที

“ให้ตายเถอะ เป็นพวกขโมยสมบัติชาติอื่นจริงๆ ของที่นี่น่าจะแย่งชิงมาจากประเทศอื่นทั้งนั้นมั้ง?”

มองดูแท่นจัดแสดงสิ่งของนานาชนิดและของล้ำค่ามากมาย เยี่ยเทียนถึงเข้าใจที่มาของประเทศอังกฤษ ตั้งแต่หินสลักจนถึงหน้ากากทองคำของกรีกโบราณ แล้วยังมีสิ่งของวัฒนธรรมของประเทศจีนอีกหลายชิ้น ล้วนแล้วแต่ได้มาจากการปล้นสดมภ์ประเทศอื่นมาทั้งนั้น

“อ้อ เธอคือลูกชายของแมรี่ใช่ไหม พระเจ้า เธอช่างเหมือนกับแมรี่มาก!”

เมื่อเยี่ยเทียนมาถึงห้องสำนักงานของผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แล้ว หญิงวัยสี่สิบกว่าบุคลิกสง่างามคนหนึ่งลุกขึ้นยืน จากคำชื่นชมของเธอทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าแม่ของเขามีชื่อภาษาอังกฤษที่ฟังดูเชยมาก

“คุณน้าวินด์เซอร์ คุณสวยกว่าที่แม่ผมชมคุณไว้ตั้งเยอะ!”

เยี่ยเทียนรู้ดีว่าในต่างประเทศการชมผู้หญิงว่าสวยไม่ใช่การเสียมารยาท เขาจึงเอ่ยชื่นชมเยินยอออกไป

………………………………