ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 74 ทอดทิ้ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 74 ทอดทิ้ง

ภายในป่าดินสงบ

โรคระบาดเริ่มลามไปทั่วเผ่าจิตวิญญาณตะวัน

เพียงครึ่งชั่วยามเผ่าจิตวิญญาณตะวันนับร้อยก็ถูกคำสาป

วิหารฝูเหม่ยลาจึงเต็มไปด้วยเผ่าจิตวิญญาณตะวัน

หน้าสุดคือภรรยาเค่อหลีผู อ้ายหม่า และนักบวชหญิงอีกคนหนึ่งของโบสถ์เทพแห่งความรัก นางประคองบุตรสาวไว้ขณะพึมพำคำอธิษฐานต่อหน้ารูปปั้นตรงหน้า

รูปปั้นนี้ได้รับการแกะสลักให้มีลักษณะเหมือนหญิงผู้งดงาม ใบหน้าไร้ที่ติอาภรณ์เย้ายวน รอยยิ้มทรงเสน่ห์บาง ๆ ประดับอยู่บนหน้า

รอยยิ้มเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เผ่าจิตวิญญาณตะวันจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ คงเป็นฝีมือเทพของพวกเขามากกว่า

ในที่สุดคำอธิษฐานก็ได้การตอบรับ

แสงทองโอบล้อมรูปสลัก มันลืมตาขึ้นช้า ๆ “เกิดอะไรขึ้นถึงได้อัญเชิญข้ามา… หือ? นี่มันอะไรกัน? ข้าได้กลิ่นอายแห่งความตายหนาแน่นมาก!”

“โอ ฝูเหม่ยลาผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้โรคระบาดกำลังแพร่อยู่ในดินแดน ขอร้องท่านได้โปรดเมตตาช่วยเหลือลูก สามี และเผ่าพันธุ์ของข้าด้วย” อ้ายหม่าอ้อนวอน

“กลิ่นเหม็นคาวอะไรอย่างนี้…” ฝูเหม่ยลามุ่นคิ้ว ก้มลงมองก็เห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในอ้อมกอดของนักบวชหญิง แม้นางจะเป็นรูปปั้น แต่ก็ยังคงความงดงามไว้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

แสงทองพลันส่องออกมาจากรูปปั้น ล้อมกายเผ่าจิตวิญญาณตะวันทั้งหมดที่อยู่ในที่นี้ อ้ายเวยน้อยค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา

อาการเจ็บป่วยของนางได้รับการรักษาแล้ว

“อ้ายเวย!” อ้ายหม่ากอดบุตรสาวด้วยความตื่นเต้น

เผ่าจิตวิญญาณตะวันคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสภาพเดียวกันต่างก็ฟื้นตัว

แต่ก็ยังมีบางคนที่สิ้นใจก่อนที่เทพแห่งความรักจะช่วยเหลือทัน

เรื่องนั้นนางเองก็ทำอะไรไม่ได้

“เอาล่ะ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็อย่ารบกวนข้า” หลังจากจัดการเรื่องแล้ว ตัวตนของฝูเหม่ยลาก็เลือนหายไป รูปปั้นกลับคืนสู่ความนิ่งสงบดังเดิม

“เทพแห่งความรักจงเจริญ!” เผ่าจิตวิญญาณตะวันทั้งหลายกล่าวสรรเสริญขึ้นพร้อมกัน

หลังจากสวดภาวนาเสร็จสิ้น เผ่าจิตวิญญาณตะวันจึงเดินทางออกจากวิหาร

โรคร้ายผ่านพ้นไปแล้ว ชีวิตจำเป็นต้องดำเนินต่อไป

แม้จะมีเผ่าจิตวิญญาณตะวันตายไปบ้าง แต่ปัญหาส่วนมากก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องดี

อ้ายเวยน้อยหัวเราะได้อีกครั้ง กลับไปแกะสลักธนูคันน้อยต่อทันที เค่อหลีผูและภรรยาพากันพูดคุยว่าจะกินอาหารเย็นเป็นอะไรดี

วันนี้คงต้องมีอะไรพิเศษหน่อยเสียแล้ว

อย่างไรก็เพื่อเป็นการปลอบโยนตนเองหลังจากผ่านพ้นประสบการณ์เลวร้ายมาได้

นักบวชอ้ายหม่าตัดสินใจเป็นคนลงมือทำอาหารมื้อนี้เอง

แต่เค่อหลีผูปฏิเสธเสียงเข้ม “ไม่ ไม่ได้ นี่เป็นการเฉลิมฉลองไม่ใช่การลงโทษเสียหน่อย”

“เจ้าจะบอกว่าฝีมือการทำอาหารข้ามีไม่มากพองั้นหรือ?” อ้ายหม่าสีหน้าเปลี่ยน

“ท่านพ่อหมายความเช่นนั้นแหละท่านแม่” อ้ายเวยน้อยกล่าว ช่วยเติมเชื้อไฟอย่างดี

“นี่เจ้าหนู อย่าโทษข้าเช่นนั้นสิ”

“ข้าเพิ่งจะช่วยชีวิตเจ้ามานะ เจ้าบ้านี่! ตอบแทนกันอย่างนี้หรือ?” อ้ายหม่ายกมือขึ้นเท้าเอวด้วยความโกรธ

“เรื่องนั้นเอามาเทียบกับฝีมือการทำอาหารของเจ้าไม่ได้หรอก” เค่อหลีผูพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ถึงโดนสาปเป็นรอบที่ 2 ข้าก็จะพูดเช่นนี้ล่ะ”

“อย่างนี้น่าจะปล่อยให้ตายไปเสีย” อ้ายหม่าว่าแล้วก็ส่งหนึ่งฝ่ามือกระแทกท้ายทอยสามีนางทีหนึ่ง

แต่หนึ่งฝ่ามือเพียงแผ่วเบานี้กลับทำให้ร่างเค่อหลีผูแข็งค้างไป

“เค่อหลีผู?” อ้ายหม่าร้องถาม ตกใจกับท่าทางเขานัก

เค่อหลีผูอ้าปากกระอักเลือดออกมา

อ้ายหม่าเริ่มตื่นตกใจ “เค่อหลีผู เจ้าเป็นอะไรไป?”

เค่อหลีผูล้มลงกับพื้น ทั่วร่างเกิดผื่นแดงกระจายออก

เขาเอ่ยคำด้วยความยากลำบาก “คำสาป… กลับมาแล้ว”

เป็นไปได้อย่างไร?

อ้ายหม่าตกตะลึงนัก

กระนั้นนางก็ตอบสนองทันท่วงทีด้วยการสร้างเกราะป้องกันขึ้นรอบกายเขาเพื่อแยกเขาออกจากนางและอ้ายเวย

เกราะป้องกันเหล่านี้สามารถป้องกันไม่ให้คำสาปแพร่ออกไปได้ แต่ไม่อาจรักษาผู้ที่ต้องคำสาปได้ มีแต่แสงศักดิ์สิทธิ์จากเทพธิดาเท่านั้นที่จะสามารถรักษาได้

แต่แม้ก็จะปกป้องพวกนางได้ แสงศักดิ์สิทธิ์ที่อ้ายหม่าใช้ได้ก็มีจำกัด เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้เสียชีวิตย่อมพุ่งสูงขึ้น

อ้ายหม่ารีบคว้าร่างสามีตนเองแล้วกลับไปยังวิหาร

“โอ เทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยกลับคืนสู่พื้นพิภพอีกครา โรคระบาดอันชั่วร้ายได้กลับมาพยาบาทอีกครั้งแล้ว!”

สิ้นคำอธิษฐาน เทพแห่งความรักฝูเหม่ยลาก็กลับมาอีกครั้ง

ตัวนางเองยังประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ข้ากำจัดคำสาปไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดมันจึงยัง… อืม ดูเหมือนว่าต้นตอของคำสาปจะยังอยู่”

“ได้โปรดท่านเทพธิดา ช่วยทำลายต้นตอของคำสาปด้วย!” อ้ายหม่าร้องขอเสียงดัง

ทันใดนั้นนางก็เห็นว่าฝูเหม่ยลามีสีหน้าประหลาด

“ท่านเทพ?” อ้ายหม่าถามด้วยน้ำเสียงสงสัยอยู่บ้าง

“ข้าหาต้นตอของคำสาปไม่พบ” ฝูเหม่ยลาตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งขรึม

ว่าอะไรนะ?

อ้ายหม่าชะงักไป “เป็นไปได้อย่างไร?”

“เรื่องนี้ไม่แปลก” ฝูเหม่ยลาตอบตามตรง “ถ้าหากต้นต่ออยู่ไกลเกินไป หรือหลังจากปล่อยคำสาปออกมาแล้วถูกซ่อนเอาไว้ ก็จะหาพบได้ยาก”

“แต่ท่านเป็นเทพ!”

“เป็นเทพก็ไม่ใช่ว่ารู้ทุกอย่าง” ฝูเหม่ยลาพึมพำ “หากรู้ทุกอย่างแล้วจะมีเทพที่เก่งกว่าหรืออ่อนแอกว่านั้นหรือ? แค่เรื่องนั้นก็เป็นข้อบ่งชี้แล้วว่าเทพเองก็มีขีดจำกัด อีกทั้งพวกเรายังยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแลเรื่องเหล่านี้ แค่เรื่องปราการบัดซบนั่นข้าก็ไม่ได้พักมาหลายวันแล้ว อา ตอนนี้ผิวข้าคงแย่น่าดู…”

ฝูเหม่ยลาดูเหม่อลอยอยู่บ้าง พร่ำบ่นเรื่องภาระของนางไม่หยุด

อ้ายหม่าเข้าใจนิสัยเทพธิดาของนางดี

เทพเจ้าแต่ละองค์มีลักษณะนิสัยเป็นของตนเอง และเทพแห่งความรักก็เป็นประเภทค่อนข้างเจ้าอารมณ์ ยกตนเป็นใหญ่

น่าเสียดายที่เทพผู้นี้เป็นผู้ชี้ชะตาเผ่าจิตวิญญาณตะวัน

อ้ายหม่าถึงไร้ทางเลือก ต้องเอ่ยขัดคำพร่ำบ่นของนาง “ท่านเทพธิดาได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

“อ้อใช่ เกือบลืมเรื่องนั้นไปเชียว” ฝูเหม่ยลายกมือขึ้น แสงสีทองเปล่งออกมาโอบล้อมกายเผ่าจิตวิญญาณตะวันอีกครั้ง

พวกเขาได้รับการรักษาอีกครั้งหนึ่งแล้ว

แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ดีใจมากเท่าไหร่

เพราะพวกเขารู้ดีว่า อีกไม่นานมันก็จะกลับมาอีกครั้ง

ฝูเหม่ยลาจึงรั้งอยู่ต่อด้วยเหตุนี้

นางอยากรู้ว่าคำสาปนี้มีอะไรพิเศษนัก

แต่รออยู่นานแล้วก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น

“ดูท่าคำสาปจะหลับใหลไปแล้ว ตอนนี้ข้าขอตัวก่อน ยังมีเรื่องที่ข้าต้องทำอีกมาก” ฝูเหม่ยลาจึงหายไปอีกครั้ง

“พวกเราก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่กลับมาอีก” เค่อหลีผูเอ่ยปลอบภรรยา

“ใช่แล้ว ทำได้แต่หวัง” อ้ายหม่าเอ่ยเสียงอ่อน ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงไม่อาจสลัดความคิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นได้

แต่ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เผ่าจิตวิญญาณตะวันก็ต้องคำสาปอีกครั้งหนึ่ง

แท้จริงแล้วอ้ายหม่ายังคงนั่งอยู่ในวิหาร

นางอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง ฝูเหม่ยลาปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งที่ 3

“คำสาปกลับมาอีกแล้วหรือ? น่ารำคาญใจจริง ตอนข้าอยู่เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัว?” ฝูเหม่ยลานวดขมับตน เอ่ยเสียงไม่พอใจพลางปล่อยแสงสีทองออกมาอีกครั้ง

ครั้งนี้ไม่มีเผ่าจิตวิญญาณตะวันคนไหนดีใจที่หายดีอีก

เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าคำสาปนี้เป็นสิ่งกวนใจอย่างมาก

ฝูเหม่ยลาจึงรออีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้นางรออยู่ 2 ชั่วยามเต็ม

แต่ระหว่างนั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ฝูเหม่ยลาเข้าใจในที่สุด

“มันหลบเลี่ยงข้า” นางเอ่ย

“มีคนพยายามทำให้พวกเราเผ่าจิตวิญญาณตะวันกับท่านเทพแตกคอกันงั้นหรือ นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นแผนร้าย!” อ้ายหม่ามั่นใจกับการคาดการณ์ของตนเองมาก

“เจ้าพูดถูก คนผู้นั้นเป็นใครกัน? ใครกันที่เป็นมือมืดหลังม่านของเรื่องนี้?” ฝูเหม่ยลาเองก็เริ่มโกรธแล้วเช่นกัน

แสงสว่างรอบ ๆ รูปปั้นยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นยามฝูเหม่ยลามีสีหน้าเกรี้ยวโกรธ

รูปขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นจากด้านหลังรูปปั้นเทพธิดา เผ่าจิตวิญญาณตะวันแต่ละคนคุกเข่าลง พวกเขารู้ว่านี่ไม่ใช่เพียงภาพฉาย แต่เป็นร่างแยกของเทพแห่งความรักที่ฝูเหม่ยลาทิ้งไว้

ความสง่างามของร่างแยกเปล่งประกายไปทั่วทั้งวิหาร กลั่นพลังงานที่อยู่โดยรอบ

ฝูเหม่ยลากวาดสายตามองไปรอบวิหาร ทันใดนั้นนางก็ส่งเสียงหัวเราะ “เจอแล้ว!”

นางพุ่งไปทันที

“จี๊ด!” เสียงร้องแหลมดังลั่นทั่ววิหาร

หนูตัวหนึ่งดิ้นหลุดออกมาจากรู ก่อนจะถูกฝูเหม่ยลาบดขยี้

“ฮ่า ๆ จับตัวได้แล้ว!” ฝูเหม่ยลาหัวเราะด้วยความยินดี

“ต้นตอมาจากหนูตัวนั้นหรือ?” อ้ายหม่าพึมพำ “แต่หนูตัวหนึ่งจะนำพาคำสาปทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร? แล้วมันรู้จักหลบเลี่ยงสายตาท่านได้อย่างไรกัน?”

ฝูเหม่ยลาสีหน้าเข้มขึ้น “เพราะถึงแม้มันจะเป็นต้นตอ แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่ควบคุมคำสาป… ไอ้บัดซบนั่น!”

ฝูเหม่ยลาค้นพบต้นต่อคำสาปที่ถูกซ่อนเอาไว้ แต่ยังไม่พบตัวผู้อยู่เบื้องหลัง

อย่างที่ฝูเหม่ยลาว่า เทพเจ้าไม่ได้รู้ทุกสรรพสิ่ง

พวกเขาทรงพลังมาก แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจทำได้เช่นกัน

“เอาเถอะ ต้นตอคำสาปถูกทำลายลงแล้ว ตอนนี้นับว่าพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว” ฝูเหม่ยลาเอ่ย

“แต่หากมือมืดหลังม่านยังไม่ยอมแพ้ สุดท้ายคำสาปก็จะกลับมาอีกใช่หรือไม่?” อ้ายหม่าถามอย่างระมัดระวัง

ฝูเหม่ยลาสีหน้าเคร่งขรึม “ถูกต้อง… แต่อย่ากลับมาเสียดีกว่า! เพราะข้าไม่อภัยให้มันแน่”

แล้วนางจึงจากไป น้ำเสียงดังยังก้องกังวานไปโดยรอบยามนางจากไป

ป่าดินสงบไม่เกิดเรื่องใดขึ้นอีกระยะหนึ่ง

เผ่าจิตวิญญาณตะวันเชื่อว่าคำสาปผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตดังเดิมได้

แต่มันก็กลับมาอีกครั้ง

ฝูเหม่ยลาแทบเสียสติเมื่อคิดว่าต้องลงมาอีกเป็นครั้งที่ 4 แต่นางกลับไม่สามารถหาผู้บงการเบื้องหลังได้แม้จะค้นหาไปทั่วทั้งป่าก็ตามที

คงไม่ได้อยู่แถวนี้แน่

คงจะเตรียมการไว้แล้วหนีไปเป็นแน่ ทิ้งไว้เพียงหนูตัวหนึ่งที่เป็นต้นตอของคำสาป

แต่จริง ๆ แล้วต้นต่อไม่ได้มีเพียงหนึ่ง

ครั้งนี้มีถึง 3 แห่งด้วยกัน

ฝูเหม่ยลากระทืบเท้าด้วยความโมโหเมื่อถูกยุแหย่เช่นนี้ แต่นางก็ไม่อาจทำอะไรได้ แม้ร่างจริงจะปรากฏแต่สถานการณ์ก็คงไม่เปลี่ยน

แม้ช้างจะแข็งแกร่งกว่าหนูมาก แต่มันก็ทำอะไรหนูตัวน้อยได้ไม่มากนัก

ดังนั้นคำสาปจึงปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ บีบให้ฝูเหม่ยลาต้องลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า

และการลงมายังพื้นพิภพก็ใช่ว่าจะไม่เสียอะไรเลย

ทุกครั้งที่เทพเจ้าลงมายังโลก จะจำเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่ได้รับมาจากความศรัทธาไป

การที่ต้องปรากฏตัวลงมาหลายครั้งเช่นนี้นับว่าสร้างความเหนื่อยล้าให้ฝูเหม่ยลามาก

เทพแห่งความรักจึงเริ่มลังเลที่จะลงมาช่วยเหลือผู้คนของนาง

แต่ภายนอกก็ยังคงแสดงตนเป็นเทพเจ้าที่รักผู้คนอยู่

“การล่มสลายลงของปราการนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ข้าจะออกมาเช่นนี้ตลอดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นงานทั้งหลายก็จะไม่เดิน พวกเจ้าต้องรู้จักปรับตัวเผชิญหน้ากับสถานการณ์ด้วยตนเองมากกว่าจะพึ่งพาเทพเจ้าให้ช่วยเหลือทุกอย่าง…”

ฝูเหม่ยลาเอ่ยคำบ่ายเบี่ยงจบ นางก็ไม่เต็มใจจะลงมาปรากฎกายอีก

แต่มองบางมุม นางก็พูดถูกเช่นกัน

เมื่อปราการถูกทำลายลงแล้ว อาจจะมีแรงศรัทธาที่ยิ่งใหญ่กว่ามาจากในดินแดนต้นกำเนิดก็เป็นได้

ดังนั้นแม้เผ่าจิตวิญญาณตะวันจะถูกกวาดล้างไปก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายนัก

เมื่อฝูเหม่ยลารู้เช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียดายที่ลงมาปรากฏตัวหลายครั้งหลายหน

แต่ก็สายเกินกว่าจะเสียใจ นางเสียพลังศักดิ์สิทธิ์กับเรื่องนั้นไปแล้ว

ดังนั้นเผ่าจิตวิญญาณตะวันจึงเข้าใจบางอย่างเมื่อคำสาปกลับมาแล้วคำอ้อนวอนของพวกเขาไร้เสียงตอบกลับ

พวกเขาถูกท่านเทพของตนทอดทิ้งแล้ว