ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 75 คลื่นใต้น้ำ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 75 คลื่นใต้น้ำ

“ก็นะ คาดไม่ถึงเลย” ซูเฉินพึมพำจากบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป

แผนเดิมของเขาไม่ใช่เช่นนี้ เขาเพียงแต่จะใช้คำสาปทรมานเผ่าจิตวิญญาณตะวัน ลากอีซาเป้ยลามายังเมืองผาเกรียม จากนั้นให้พวกเขาจัดการคำสาปเพื่อเป็นข้ออ้างในการขโมยของที่เก็บไว้ในป่าดินสงบเท่านั้น

แต่คาดไม่ถึงเลยว่าฝูเหม่ยลาจะมาลงมายังพื้นโลกหลายครั้งเช่นนี้

ไม่ใช่ว่าเขาไม่วางแผนเรื่องการตอบสนองของเผ่าเทพ แต่เพราะบรรพชนชาวมนุษย์บอกเขามาว่าดูจากสถานการณ์แล้ว เผ่าเทพคงจะสนใจแต่การทำลายปราการ ดังนั้นคงไม่สนใจเรื่องเล็ก ๆ ของผู้ศรัทธา

แต่ก็จริงที่ความอยู่รอดของเผ่าจิตวิญญาณตะวันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ

แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เผ่าเทพใส่ใจผู้ศรัทธาของพวกเขาจริงหรือ?

เช่นนั้นหากผู้ศรัทธาถูกสังหารอยู่เรื่อยไปจะเกิดอะไรขึ้นเล่า?

เผ่าเทพจะลงมาขัดขวางหรือไม่?

นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เขาจะชะลอการล่มสลายของปราการหรือเปล่า?

ความคิดและคำถามมากมายลอยผ่านจิตใจยังไม่อาจควบคุม

ใช่แล้ว มันมีวิธีชะลอการล่มสลายของปราการอยู่หลายวิธี

ความเป็นไปได้ทั้งหลายวาดผ่านในหัว แต่ละอย่างรวมเป็นการทำลายผู้ศรัทธาบูชาของเหล่าเทพ

แต่การจะทำแผนเหล่านี้ให้สำเร็จ เขาต้องมีกองกำลังลูกน้องเป็นของตนเอง

ข้าต้องหล่อเลี้ยงอีซาเป้ยลาต่อ ซูเฉินคิด

เขาสามารถเห็นกลุ่มนักรบใกล้เข้ามาจากขอบฟ้าแล้ว คืออีซาเป้ยลาและลูกน้องในโอวาทของนาง

หลังจากฝึกวิชาบ่มเพาะที่ซูเฉินมอบให้ พวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างพุ่งทะยาน ตอนนี้สามารถใช้ปราณต่อสู้กับม้าได้แล้ว ทำให้พวกมันวิ่งได้เร็วขึ้น ทหารม้าสามารถเดินทางผ่านภูเขาหินได้โดยง่าย ทำให้ถึงยอดเขาได้อย่างรวดเร็ว

อีซาเป้ยลากระโดดลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าซูเฉิน “ทำความเคารพหัวหน้า ข้าได้ทำตามคำสั่งท่านแล้ว”

พูดจบนางก็หยิบใบไม้ออกมามอบให้ซูเฉิน

มันมีสีเขียวจัดราวกับเป็นหยกสลักอันวิจิตร ปล่อยกลิ่นอายมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดออกมา ใครที่สายตามองจะละสายตาออกไปจากมันได้ยาก

“ในที่สุดใบไม้ต้นไม้โลกาก็เป็นของข้า” ซูเฉินว่าพลางยิ้มบาง

หากไร้แรงสนับสนุนจากเทพแห่งความรัก เผ่าจิตวิญญาณตะวันย่อมต้องขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก แม้ว่าอีซาเป้ยลาและคนอื่น ๆ จะมาช้ากว่ากำหนด แต่ก็ยังนำใบไม้กลับมาได้ เรื่องราวยังเป็นไปตามแผนอยู่ พวกเขาจงใจบอกว่าต้นตอของคำสาปมาจากใบไม้ต้นไม้โลกา จากนั้นจึงเอามันมาด้วย

ใบไม้ต้นไม้โลกาเป็นเครื่องรางปกป้องที่เทพแห่งความรักฝูเหม่ยลามอบไว้ให้เผ่าจิตวิญญาณตะวันเพื่อปกป้องพวกเขา แต่หลังจากฝูเหม่ยลาทอดทิ้งพวกเขาไป เผ่าจิตวิญญาณตะวันก็ไม่ใส่ใจใบไม้ต้นไม้โลกาอีก

เมื่อต้นตอคำสาปหายไปแล้ว ก็เหลือเพียงว่าพวกเขาจะจัดการความสัมพันธ์กับเทพแห่งความรักของพวกเขาอย่างไร แต่นั่นก็นับเป็นปัญหาของพวกเขาฝั่งเดียว

ซูเฉินอารมณ์ดีมากเมื่อได้ใบไม้ต้นไม้โลกามาครอบครอง เขาหัวเราะออกมา “ทำได้ดีมาก อืม ตกรางวัลอะไรให้ดี?”

น่าประหลาดที่อีซาเป้ยลาเอ่ยตามตรง“หัวหน้า ข้าขอเสนอรางวัลได้หรือไม่?”

ซูเฉินคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ได้ ตราบเท่าที่มันไม่มากเกินไป”

อีซาเป้ยลาเอ่ย “ข้าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหัวหน้า”

“หือ?” ซูเฉินชะงักไป ไม่คิดว่าอีซาเป้ยลาจะเอ่ยขอเช่นนี้

กระนั้นเขาคิดคิดหนึ่งก่อนจะตอบตกลง

หมอกดำที่ปกคลุมรอบตัวพลันจางหาย เผยให้เห็นรูปร่างอันงามสง่าของซูเฉิน

อีซาเป้ยลาและโจรคนอื่นต่างตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา

“นี่นะหรือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหัวหน้า หล่อเหลาไม่ใช่น้อยเลย” อีซาเป้ยลาพึมพำเสียงเบา มึนงงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

ซูเฉินกระแอมเสียงเบา

อีซาเป้ยลาพลันหลุดจากภวังค์

ซูเฉินจึงเอ่ย “อีซาเป้ยลา ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก จำได้ว่าเจ้าเคยขอให้ข้าช่วยสังหารน้องสาวที่แย่งชิงตำแหน่งทายาทของตระกูลกับเจ้าใช่หรือไม่?”

“เจ้าค่ะ” อีซาเป้ยลาเอ่ย ก้มศีรษะลง “แต่ความจงเกลียดจงชังต่อนางได้เลือนหายไปมากแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนาน”

“ไม่ได้นะ” ซูเฉินตอบ “เกรงว่าเจ้าจะอยากหรือไม่ก็คงต้องแก้แค้นแล้ว”

“ท่านว่าอะไรนะ?” อีซาเป้ยลาอึ้งไป

“ใช่แล้ว ภารกิจต่อไปคือการสังหารน้องสาวของเจ้าและนำเอาตำแหน่งที่สมควรเป็นของเจ้ากลับคืนมา” ซูเฉินเอ่ย

อีซาเป้ยลาโหยหาอยากกลับไปเป็นผู้สืบทอดของตระกูลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางไม่ได้อยากมากขนาดนั้นแล้ว

ไม่คิดเลยว่าซูเฉินจะเอ่ยถึงมันขึ้นมาในตอนนี้

“แต่หัวหน้า ตอนนี้ข้าก็เป็นหัวหน้า….”

“เป็นโจรแล้วเป็นชนชั้นสูงด้วยไม่ได้หรือ? จริง ๆ แล้วข้าว่าเป็นได้มากกว่านั้นอีก”

มากกว่านั้น?

ประโยคนี้ทำให้อีซาเป้ยลาคิดวนไปมาไม่หยุด อีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไรกันแน่?

ซูเฉินว่าต่อ “ใช่ มากกว่านั้น นอกจากเรื่องคืนฐานะแล้วยังมีภารกิจอีกอย่างหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในการแย่งชิงอำนาจ ข้าพูดถูกหรือไม่? สถานการณ์ของเจ้าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากลองมองดูดี ๆ ก็มีคนอีกมากที่ได้รับความอยุติธรรมเช่นเดียวกัน”

“แล้วอย่างไรหรือ?”

“ชวนพวกเขาให้เข้ากลุ่มกองโจร แล้วเราจะมอบโอกาสแก้แค้นให้กับพวกเขา” ซูเฉินตอบกลับด้วยเสียงชั่วร้าย

อีซาเป้ยลารู้สึกใจสั่น

แค่ฟังจากน้ำเสียงนางก็สามารถสัมผัสถึงความทะเยอทะยานอันสูงส่งของซูเฉินได้แล้ว

อีซาเป้ยลากัดฟันตอบ “หัวหน้า โลกนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าเทพ!”

นางกำลังเตือนซูเฉินว่า ไม่ว่าขุมอำนาจในโลกนี้จะแข็งแกร่งเพียงไหน อย่างไรก็ไม่อาจต้านทานเจตจำนงของเผ่าเทพได้ หากไม่ได้รับคำอนุญาต ความทะเยอทะยานของหัวหน้าก็มีชะตาจะต้องเหี่ยวเฉาตายจากไปเสียก่อนได้ผลิดอกเสียด้วยซ้ำ

ซูเฉินตอบเสียงนิ่ง “เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าจิตวิญญาณตะวันแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ? เผ่าเทพในตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายมาก…. ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องไม่สลักสำคัญเล็กน้อยเช่นนี้ นับเป็นจังหวะดีในการขยายอิทธิพลของเรา”

“ด้วยการใช้กองโจรเท่านี้หรือ?”

“อย่าลืมว่ามีข้าอยู่ด้วย”

ถ้าหากอยากสร้างพายุขึ้นมา อย่างแรกเลยคือต้องแข็งแกร่งมากพอจะทำได้ก่อน

ตระกูลคุนเท่อเป็น 1 ใน 3 ตระกูลชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลที่สุดไหนเขตอสนีพฤกษ์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ตระกูลว่าวแดงก็เป็นตระกูลชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลอีกตระกูลหนึ่ง แต่มีอำนาจอยู่ในเขตข่านเป้ยเอ๋อร์ ซึ่งสามารถควบคุมผ่านไซ่ซีลี่ได้

ขุมพลังเหล่านี้อาจถูกจำกัดพลังเมื่ออยู่ใต้อิทธิพลของเผ่าเทพ แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงควบคุมได้ง่ายกว่า บัดนี้ได้หว่านเมล็ดแห่งความบาดหมางแล้ว ถึงเวลาฟูมฟักเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดี มันจะได้เติบโตและแผ่ขยายออกไป ถึงจะช้าทว่าก็มั่นคงยิ่งนัก ไม่นานต้องแผ่ขยายไปทั่วทั้งเขตแดนแน่

แต่ก่อนหน้านั้นยังต้องลงมือทำอีกมาก

ความร่ำรวยส่งผลให้เกิดความเสื่อมทราม ในขณะที่ความจนทำให้เกิดความโกลาหล

การสร้างความโกลาหลไม่ใช่เพียงการเขย่าลำเรือ แต่ต้องทำให้ถูกจังหวะด้วย

ภัยพิบัติหรือการขาดแคลนทรัพยากรอย่างกะทันหันเป็นโอกาสที่ดีในการลงมือ

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมการและสร้างสถานการณ์เหล่านี้ขึ้น

ครั้งหนึ่งเผ่าเทพเคยปกป้องโลกนี้ ทำให้เกิดภัยพิบัติได้ยาก แต่ตอนนี้เมื่อถูกดึงความสนใจออกไป ชาวโลกทั้งหลายจึงต้องจัดการกับภัยทั้งหลายด้วยตนเอง

ในทางกลับกัน ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะสร้างผู้ลี้ภัยจำนวนมาก นอกจากปลูกเมล็ดแห่งความโกลาหลแล้ว ต่อไปก็จะเป็นรากฐานให้ความแข็งแกร่งของซูเฉินในอาณาเขตคุน ทำให้เกิดความปั่นป่วนมากยิ่งขึ้นไปอีก

แต่แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้อีซาเป้ยลาฟัง

หลังจากมอบคำสั่งให้อีซาเป้ยลาแล้ว ซูเฉินก็ให้นางจากไป จากนั้นเขาก็ทิ่มนิ้วตนเองแล้วบีบเลือดสดออกมาสองสามหยด มันกลายเป็นร่างแยกแล้วพากันกระจายหายไปรอบทิศ

การจากไปของพวกเขาเป็นสัญญาณเริ่มต้นของพายุลูกใหญ่ที่รุนแรง

จัดการเรื่องแล้ว ซูเฉินก็เรียกจิตนึกคิดของร่างหลักมาอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้เขามีความสุขมากกว่าเดิม พยายามเชื่อมต่อในระดับจิตเพียงเท่านั้น

“เจ้าทำได้ดีมาก ซื้อเวลาให้อีกตั้ง 3 ปี แต่เจ้าต้องเร่งมือหน่อยแล้ว เผ่าเทพอาจค้นพบการมีอยู่ของเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้” จิตของร่างหลักเอ่ย

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“แม้ว่าเราจะสร้างหัวใจปลอมของเทพแห่งเหมันต์มาแทนที่ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งเหมันต์ยังคงลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีโบสถ์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ไม่สังเกตเห็นถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มรู้แล้วว่าหัวใจนี้เป็นเพียงของปลอม” ร่างหลักตอบ

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“พวกเราได้ต่อสู้กันนิดหน่อย… ตรงจุดเกิดรอยรั่วที่ใหญ่ที่สุดในปราการ”

ซูเฉินในอาณาเขตคุนเงียบไป

ในขณะที่ภาพฉายนี้ลงมือกระทำการอยู่ในอาณาเขตคุน ร่างหลักของเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน

แม้การกระทำทุกอย่างเพื่อชะลอการล่มสลายของปราการจะเป็นไปอย่างลับ ๆ แต่ผลที่ออกมานับว่าเห็นได้เด่นชัดมาก

เมื่อเผ่าเทพรู้ว่าการล่มสลายของปราการพลันถูกชะลอลง พวกเขาต้องเริ่มลงมือสืบสวนทันทีแน่

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในอาณาเขตคุน เพราะพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าซูเฉินจะมีวิชาภาพฉายขั้นสูงเช่นนี้

ดังนั้นพวกเขาจึงจะสืบสวนในทวีปต้นกำเนิดเป็นสำคัญ สุดท้ายก็จะพบในเวลาไม่นานว่ารอยรั่วที่ใหญ่ที่สุดซึ่งพวกเขาพยายามปิดบังเอาไว้ ตอนนี้อยู่ในความควบคุมของซูเฉินแล้ว

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดความตึงเครียดที่จุดแตกหักของปราการนี้

ในเมื่อรอยรั่วไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ทั้งซูเฉินและเผ่าเทพจึงต้องจับตาดูการล่มสลายของปราการอย่างใกล้ชิด

โชคดีที่สายเลือดของร่างภาพฉายยังไม่ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นเผ่าเทพคงล่วงรู้เป็นแน่

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นแล้วข้าก็คงมอบใบไม้ต้นไม้โลกาให้เจ้าไม่ได้” ซูเฉิน (หลินซวง) กล่าว

“ไม่เป็นไร ถ้าหากใช้มันกับปราการจากภายในจะยิ่งได้ผลดีกว่า”

“แต่ข้ายังไม่สามารถสัมผัสปราการได้เลยนะ”

“ข้าถึงได้บอกให้เจ้าใช้เวลาที่มีอย่างชาญฉลาดและรีบแข็งแกร่งขึ้นในเร็ววันอย่างไรเล่า”

“ตอนนี้ข้าได้พลังด่านทะลวงลมปราณคืนมาแล้ว อีกไม่นานจะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร”

อัตราการบ่มเพาะพลังของหลินซวงนับว่ารวดเร็วมากแล้ว ปัญหาหลักคือเขามีเวลาไม่พอ

ไม่ว่าเขาจะบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วอย่างไร ก็ยังต้องใช้เวลากว่าจะสร้างรากฐานที่มั่นคงขึ้นได้อยู่ดี

“ข้าไม่ได้หมายถึงเส้นทางนั้น”

หือ?

หลินซวงหรี่ตาลง

เขากับซูเฉินเดิมทีเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างหมายความว่าภาพถ่ายกับร่างจริงในตอนนี้มีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทันทีที่ซูเฉินร่างหลักเตือนเขา เขาจึงเข้าใจในพลัน

ใช่แล้ว ซูเฉินกำลังหมายถึงการบ่มเพาะพลังอีกเส้นทางหนึ่งต่างหาก

“พลังอมตะ!”

ในระบบการบ่มเพาะพลังปกติของแดนต้นกำเนิด หลินซวงนับว่ากำลังจะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารแล้ว

แต่ในระบบการบ่มเพาะพลังอมตะ หลินซวงยังอยู่ในขั้นกลั่นปราณ ยังฝึกไม่ถึงขั้นด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องกล่าวถึงขั้นก่อร่างเลย

“เช่นนั้นไม่ง่าย” หลินซวงพูดพร้อมส่ายหน้า

แม้ซูเฉินจะมอบพลังสายเลือดให้หลินซวงแล้ว แต่สายเลือดนั้นทำให้เขาเพียงดูดซับพลังงานจากระบบแดนต้นกำเนิดได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่การดูดซับพลังอมตะ

หลินซวงมีเพียงวิชาบ่มเพาะพลังอมตะ ไม่สามารถได้รับพลังมาจากสายเลือดซูเฉินโดยตรงได้

ไม่ใช่เพราะพลังอมตะเป็นพลังระดับสูงแต่อย่างใด เป็นเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะเก็บไว้ในสายเลือดได้ง่ายดายเช่นนั้นต่างหาก การรวบรวมและบ่มเพาะพลังอมตะต้องใช้ทั้งความเพียรและความพยายามเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าหนทางสู่พลังอมตะของหลินซวงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า

ไม่อาจขึ้นสู่ระดับสูงภายในระยะเวลาไม่นานได้เลย

แต่น่าแปลกที่ร่างหลักกลับพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับสืบทอดมันมาหรอก ก็แค่ต้องดูดกลืนให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเองนี่?”

“ดูดกลืน?” หลินซวงชะงัก

ปกติแล้วหลินซวงรู้ว่าการดูดพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหล่อเลี้ยงพลังอมตะในร่าง

แต่ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่าเขามีความสามารถในการดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้จำกัด

แม้พลังอมตะและพลังศักดิ์สิทธิ์จะเหมือนเหรียญสองด้าน แต่การใช้พลังอมตะที่เขามีอยู่น้อยนิดเพื่อดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ย่อมหมายถึงรนหาที่ตาย

คล้ายกับการล่าอสูรกาย แม้เนื้ออสูรกายจะมีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่แกร่งพอ ผู้ล่าก็อาจกลายเป็นผู้ถูกล่าได้

ดังนั้นหลินซวงจึงไม่คิดดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์จนถึงตอนนี้

แต่เขารู้ว่าร่างหลักพูดมาเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล

ร่างหลักจึงกล่าวต่อ “ในเมื่อเผ่าเทพกับข้าเผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผยที่รอยรั่วของปราการ ถ้าคิดว่าคงไม่มีปัญหาหากข้าเข้าไปฉวยโอกาสมาบ้าง เจ้ารอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เถอะ”

หลินซวงได้ยินแล้วก็หัวเราะ

ทันใดนั้นปัญหาก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป

เขาจะฆ่าสังหารและกลืนกินให้หนำใจเลย

ดี ดียิ่งนักเชียว!