ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 76 บริการส่งด่วน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 76 บริการส่งด่วน

กลับมายังแดนต้นกำเนิด ณ รอยรั่วใหญ่ที่สุดของปราการ

ซูเฉินยืนอยู่ด้านใน จ้องมองเข้าไปในรอยรั่วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พาพวกเขามาหาข้า”

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตกลุ่มหนึ่งเหินเข้ามา แต่ละคนอุ้มคนไว้คนหนึ่ง เวลาหลายปีที่ผ่านมา เผ่าเทพได้ส่งภาพฉายผ่านปราการมาหลายครั้ง ได้ผู้บูชาที่คลั่งไคล้มากขึ้นในอีกฟากหนึ่งของปราการ

พวกบ้าลัทธิเหล่านี้ได้รับคำอวยพรจากเทพหลายองค์ และทำตามคำสั่งพวกเขาโดยไม่สนใจชีวิตเพื่อนมนุษย์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกนิกายจับตัวไว้ได้ทั้งหมด

มีทั้งผู้ศรัทธาสิ้นสติ นักบวช บาทหลวง และสาธุคุณนับร้อยชีวิตถูกบังคับให้ตั้งแถวเรียงกันเรียบร้อยอยู่ต่อหน้าซูเฉิน

ซูเฉินคำราม “เผาพวกมัน!”

ตูม!

พวกคลั่งไร้สติเหล่านี้ปลุกเปลวเพลิงโหมไหม้ขึ้นพร้อมกัน

เพลิงที่เห็นนี้เป็นเพลิงจิต โดยแทนที่จะสังหารเป้าหมายโดยตรง จะเป็นการทรมานพวกเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้รู้สึกราวกับถูกเผาทั้งเป็นโดยที่ไม่มีวันตายจริง ๆ

ผู้ศรัทธานับร้อยร้องโหยหวนและดีดดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด

ผู้บูชาเหล่านี้อยู่ใกล้เทพที่พวกเขาบูชามากที่สุด ร่างกายมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าเทพมอบให้ ดังนั้นเหล่าเทพก็จะได้รับความเจ็บปวดที่พวกเขารับรู้เช่นกัน

พริบตาต่อมาก็มีแสงวาบปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของรอยแยกที่ปราการ

“ซูเฉิน อย่าได้ลงมือเกินเหตุ!” น้ำเสียงดุร้ายดังผ่านมาจากรอยแยก

ซูเฉินเคยตอบโต้กับน้ำเสียงโบราณนี้มาแล้วหลายครั้ง

เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อได้ยินเสียง “แล้วถ้าข้าทำ ท่านจะทำอย่างไร?”

“ตายเสียเถอะ!”

เสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าร้อง ทันใดนั้นหนึ่งในผู้บูชาที่ถูกทรมานอยู่พลันเป็นอิสระจากพันธนาการแล้วพุ่งเข้าปล่อยหมัดใส่ซูเฉิน

“สืบเจตจำนง? ขออภัยด้วย แต่ไม่ได้ผลหรอก” ซูเฉินว่าพร้อมรอยยิ้มดูถูก

เขาไม่จำเป็นต้องป้องกันตนเองด้วยซ้ำ ลูกน้องคนหนึ่งเริ่มเข้ามาปัดการโจมตีนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย เขาคือเล่อเฟิง

แม้ว่าพลังแห่งเจตจำนงจะทรงพลังมาก แต่ก็ไม่ใช่เทพตัวจริง เล่อเฟิงนั้นบ่มเพาะพลังอมตะ เทพผู้บ้าคลั่งยังโจมตีต่อไปไม่หยุด แต่ไม่นานก็รู้ว่าไม่อาจทำอะไรศิษย์นิกายผู้นี้ได้

ทำให้เจ้าตัวโกรธมาก

“น่าโมโหนัก” เจตจำนงพลันพุ่งสูงและขยายออก ทำให้มันทรงพลังมากขึ้น

เทพผู้บ้าคลั่งกำลังใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ให้เจตจำนงมากขึ้น โดยไม่สนว่าผู้บูชาจะรับมันไหวหรือไม่

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” ซูเฉินกลับส่ายหน้า

เขาไม่ได้คิดจะดึงเอาสืบเจตจำนงออกมา ไม่ว่าผู้บูชาของเทพผู้บ้าคลั่งจะมีพลังสูงส่งแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไรกับเขา

ดังนั้นเขาจึงชี้นิ้วออกมาแตะบนร่างผู้บูชาที่ถูกควบคุม

ผัวะ!

รูสีแดงปรากฏขึ้นบนร่างเขาในทันใด

แม้ว่าจะเป็นเพียงรูที่เกิดขึ้นบนร่าง แต่เจตจำนงก็ดูเหมือนจะไหลออกมาจากกายราวกับปล่อยลม ก่อนที่มันจะถูกทำลายโดยเล่อเฟิง

“บัดซบ!” เทพผู้บ้าคลั่งคำรามเสียงเกรี้ยวกราด

พลังจิตสูงส่งหลุดรอดออกมาผ่านรอยแยก เกิดเป็นมือมายาข้างหนึ่ง พยายามจะโจมตีใส่ซูเฉิน

ซูเฉินตาเป็นประกาย “ต้องอย่างนี้สิ!”

เมื่อรูรั่วเริ่มขยายขนาดมากขึ้น เหล่าเทพก็สามารถลงมือทำบางอย่างผ่านปราการได้มากขึ้นเช่นกัน ในตอนนี้พวกเขาสามารถทำการโจมตีได้บางส่วนแล้ว

แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การลงมือที่ชาญฉลาดเสียเท่าไหร่

การโจมตีเช่นนี้ก็เหมือนกับพยายามโจมตีคนผ่านประตูที่เปิดแง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ส่วนมากการพยายามฝืนโจมตีเช่นนี้มักถูกโจมตีกลับอย่างหนัก ส่วนเป้าหมายกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไร

ดังนั้นส่วนมากแล้วนี่จึงนับเป็นการลงมือที่ไม่ฉลาดนัก

แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะพวกที่ไม่เหลือเหตุผลให้คิดอีกต่อไป ความต้องการจะใช้พลังโจมตีไปสักคราหนึ่ง ได้ปลดปล่อยให้หนำใจ เป็นความต้องการที่ไม่อาจยับยั้งได้ แม้จะถูกโจมตีกลับก็ตาม

ก็เหมือนกับเทพผู้บ้าคลั่งผู้นี้

นิสัยแต่กำเนิดของเขาคือดุร้ายหยาบกระด้าง ดังนั้นจึงมักไม่ค่อยใช้สมอง

เป็นเทพประเภทที่จะทำลายแดนต้นกำเนิดเมื่อปราการล่มสลายลง

แต่ก่อนจะเกิดเรื่องนั้น เขานับว่าไร้พิษภัยอะไร

พลังศักดิ์สิทธิ์หมุนตัวออกมาจากรอยแยก แต่แข็งแกร่งเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น

กระนั้นเทพผู้บ้าคลั่งก็ยังหมายจะโจมตีอย่างไม่ลังเล

นี่คือจังหวะที่ซูเฉินรอคอยมานาน

นัยน์ตาเขาเรืองแสง จากนั้นใช้ท่าดัชนีออกไป “จงแตกออก!”

ท่าดัชนีนี้เป็นท่าเดียวกันกับที่เขาใช้ทำลายเผ่าวิญญาณ มันเต็มไปด้วยพลังลี้ลับ หลังจากใช้เวลาฝึกฝนอยู่พอสมควร เขาก็ฝึกฝนจนสามารถใช้มันได้ตามใจอยาก

ซูเฉินตั้งชื่อให้มันว่าดัชนีสังหารเทพ

ยามดัชนีสังหารเทพปะทะหมัดเทพผู้บ้าคลั่ง มือขนาดยักษ์ก็สั่นระริกเล็กน้อยก่อนจะสลายไปกลายเป็นสายพลังศักดิ์สิทธิ์

“ไอ้สารเลว!” เทพผู้บ้าคลั่งคำรามลั่น ทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด

ซูเฉินย้อนกลับการไหลของพลังงานแล้วส่งมันกลับรอยแยกอีกฝั่งไป

ตูม!

พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกการเคลื่อนไหวของซูเฉินจับไว้ได้ และถูกบีบให้ตีกลับไปหาเทพผู้บ้าคลั่ง

“รนหาที่ตาย!” น้ำเสียงชั่วร้ายเย็นเยือกพลันเอ่ยขึ้น ส่งผลให้ซูเฉินตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้

แรงโจมตีล่องหนพลันพุ่งออกมาจากความมืดเข้าใส่ซูเฉิน

ลอบโจมตีจากความมืด!

ซูเฉินคำรามเมื่อร่างกระเด็นไป การโจมตีของเขาก็สั่นคลอนเล็กน้อย สุดท้ายก็โจมตีไม่โดนเทพผู้บ้าคลั่งสักนิด พุ่งตรงไปยังอาณาเขตคุนแล้วหายไปไม่เหลือร่องรอย

พร้อมกันนั้นซูเฉินก็รีบถอย

พลังจิตสูงส่งแลดูชั่วร้ายพลันโอบล้อมไปทั่วร่าง

“คิดหนีหรือ? ข้าจะจัดการเจ้าเสียตรงนี้!”

พลังชั่วร้ายสุดขีดพลันซัดออกมาจากรอยแยก แม้ว่าปราการจะทำให้พลังนั้นอ่อนลงมากแล้ว แต่มันก็ยังซัดโดนซูเฉินโดยแรง และพยายามแทรกซึมเข้าร่างเขาไป

เทพหกประสงค์!

ตูม!

ภาพอันสง่างามพลันปรากฏขึ้นเบื้องหลัง

ลักษณ์เจ็ดสายเลือด!

จากนั้นซูเฉินก็โยนของบางอย่างออกมา หุ่นเชิดยักษ์หลายตัวปรากฏขึ้นป้องกันการโจมตีจากเหล่าเทพไว้

แต่หุ่นเชิดยักษ์เหล่านี้เทียบกับการโจมตีของเหล่าเทพแล้วนับว่าเพียงธรรมดา โชคดีที่ซูเฉินหวังเพียงใช้มันซื้อเวลา พอมันรับการโจมตีไปเขาก็กระโดดหลบไปด้านหลัง

ตูม ๆ ๆ!

กระทั่งหุ่นเชิดยักษ์ยังร่างแตกกระจายเป็นเสี่ยงเมื่อถูกโจมตีเช่นนี้ บางตัวถึงกับมีพลังแปลกประหลาดบางอย่างลุกไหม้ ก่อนจะสลายหายไปไม่เหลือร่องรอย

ทว่าซูเฉินกลับสามารถก้าวออกจากรอยแยกนั้นแล้วกลับคืนสู่ดินแดนเดิมของเขาได้

ทันทีที่เท้าแตะแดนต้นกำเนิด พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมกายก็ลดลงมาก ภัยคุกคามย่อมลดลงเป็นธรรมชาติ

ซูเฉินถอนหายใจโล่งอก “ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลังเจ้านั่นยังมีอีก 2 ตนหลบอยู่ รอสบจังหวะลอบโจมตี ดูท่าหมายจะสังหารข้าเสียตรงนั้นจริง ๆ ”

เทพผู้บ้าคลั่งย่อมโกรธเกรี้ยวโกรธาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับเทพหกประสงค์และเทพแห่งการลอบสังหารที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดนั้นเขาไม่คาดคิดเลยทีเดียว

แม้ว่าปราการจะลดพลังโจมตีของพวกเทพลงมาก แต่ก็ยังสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้

ซึ่งบาดแผลเหล่านี้ต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะหายเป็นปกติ

เทพทั้งสามหัวเราะชอบใจที่โจมตีสำเร็จ “แม้ว่าจะสังหารไม่ได้ แต่ก็น่าจะหยุดการเล่นตลกของเจ้าได้ระยะหนึ่ง”

เทพแห่งการลอบสังหารเอ่ยเสียงเย็น “ช่องว่างระหว่างแดนรักษาชีวิตเจ้าไว้ มาดูกันว่าครั้งหน้าหากโจมตีแล้วเจ้าจะยังรอดอยู่หรือไม่”

ซูเฉินไม่เอ่ยคำ ใบหน้าสลดลงเล็กน้อยราวกับเป็นผู้แพ้…

จากนั้นก็ยกดาบในมือขึ้น

ฉัวะ ๆ !

ก่อนที่การทรมานจิตใจของผู้บูชาจะสิ้นสุดลง ศีรษะของพวกเขาก็ตกกระทบพื้นแล้ว

หลังจากสังหารพวกนั้นจนหมด ซูเฉินก็เอ่ยเสียงขุ่น “แล้วพบกันอีก”

จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับศิษย์นิกายที่เหลือ

บนยอดเขาสันติสวรรค์

หลินซวงนั่งอยู่บนยอดเขาเงียบสงบ ตั้งอกตั้งใจบ่มเพาะพลังเป็นอย่างดี

พลังอมตะซึมซาบไปทั่วกาย ทำให้เขารู้สึกสบายอย่างเหลือเชื่อ

อย่างไรพลังชีวิตของเขาก็ได้รับการยกระดับขึ้นไม่หยุด เหมือนกับว่าจะได้เห็นโลกใหม่เปิดสู่สายตาอย่างไรก็อย่างนั้น

ในอดีตเขาเคยสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้ในร่างหลักมาแล้ว แต่เป็นในระดับที่น้อยกว่า

อาจเป็นเพราะเมื่อบ่มเพาะพลังได้ครึ่งทาง ร่างหลักของเขาก็บังคับเปลี่ยนระบบการบ่มเพาะพลังในกาย ซึ่งไม่ได้ถูกสร้างมาโดยเฉพาะกระมัง

แต่ภาพฉายร่างแยกเลือดนี้กลับสามารถสัมผัสหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับพลังอมตะที่ซูเฉินไม่เคยได้สัมผัสอย่างละเอียดมาก่อน รูรั่วในความรู้ทั้งหลายเริ่มได้รับการเติมเต็ม มีบางมุมที่ซูเฉินอาจไม่มารถมองเห็นได้เมื่อยืนอยู่บนจุดสูง แต่หลินซวงที่ค่อย ๆ ดำเนินขึ้นยอดเขากลับสามารถมองพวกมันในอีกมุมมองหนึ่งได้

หรือก็คือในบางด้าน เขากำลังอุดรอยรั่วความรู้ที่มี หนุนรากฐานให้ยิ่งแข็งแกร่ง ยกระดับความเข้าใจในการสร้างยาเม็ดทองคำของเขาต่อไป

แต่ก็เพราะทฤษฎีและหลักการที่ขาดหายไปเหล่านี้นับว่าเป็นความรู้ระดับค่อนข้างต่ำ ความต่างระหว่างฐานพลังจึงเริ่มชัดเจนมากขึ้นเมื่อรูรั่วได้รับการเติมเต็ม

น่าเสียดายที่หลินซวงต้องรอให้พื้นฐานพลังของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นก่อนที่จะสามารถมอบความรู้เชิงลึกให้ร่างหลักของตนเองได้

แต่ในขณะที่เขากำลังมุ่งมั่นบ่มเพาะพลังอยู่นั่นเอง หลินซวงพลันรู้สึกถึงความรู้สึกประหลาดพิกลที่กำซาบไปทั่วร่าง เมื่อแหงนหน้ามองฟ้าก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ

พลังศักดิ์สิทธิ์!

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้เจ้าของเสียด้วย!

ไม่เพียงไร้เจ้าของ แต่มันยังเป็นก้อนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอมตะล้อมรอบไว้อีกด้วย!

หลินซวงรู้ทันทีว่านี่คือพลังหล่อเลี้ยงที่ซูเฉินเคยสัญญาเอาไว้

เขาจึงหัวเราะออกมา นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น แล้วเริ่มซึมซับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในอากาศ

ในเมื่อมันไร้เจ้าของ พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่นานก็จะสลายหายไป

แต่เมื่อหลินซวงใช้จิตชักนำมันเข้ามาภายในร่าง มันก็จะเริ่มกลั่นแน่นอยู่ภายในกายเขาไปโดยปริยาย

หลินซวงเริ่มกลั่นพลังศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังอมตะอย่างช้า ๆ

พลังศักดิ์สิทธิ์นับเป็นยาชูกำลังที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะพลังอมตะ หลินซวงแข็งแกร่งขึ้นทุกวันด้วยการกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้

น่าเสียดายนักที่ในอาณาเขตคุน พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนมีเจ้าของ หากกลืนกินเข้าไปก็อาจดึงความสนใจจากเหล่าเทพได้

มีแต่ต้องสะบั้นการเชื่อมต่อระหว่างพลังศักดิ์สิทธิ์และเจ้าของเหมือนอย่างที่ซูเฉินทำเท่านั้น หลินซวงจึงจะสามารถกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าร่างได้อย่างปลอดภัยและไร้ผู้ใดเห็น

หรือก็คือซูเฉินนั้นส่งของชูกำลังมาให้หลินซวงนั่นเอง

แต่ระหว่างนั้นเขาก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน

แต่ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว มีแต่ต้องทำให้หลินซวงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงจะสามารถประสบความสำเร็จในอาณาเขตคุนได้

พลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากเปลี่ยนเป็นพลังอมตะอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลินซวงแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ไม่นานเขาก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดของขั้นกลั่นปราณ

พลังเขาพลันกระโดดขึ้นสูงและเข้าสู่ขั้นก่อร่างทันที

อย่างไรเขาก็เป็นร่างแยกเลือดของซูเฉิน มีความทรงจำของร่างหลักที่เคยเข้าสู่ขั้นก่อร่างมาก่อน ดังนั้นเมื่อมีพลังศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนในการก้าวขึ้นสูง เขาจึงสามารถทะลวงผ่านขั้นก่อร่างได้อย่างง่ายดาย พลังอมตะที่ถูกแปลงไหลเวียนไปทั่วกาย ก่อร่างใหม่ขึ้น และทำให้สถานะการดำรงอยู่ของเขาสูงขึ้นและสูงขึ้น

น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะสร้างรากฐานได้ไม่เท่าไหร่ พลังศักดิ์สิทธิ์ก็หมดเสียแล้ว

กระนั้นหลินซวงก็นับว่าก้าวผ่านจุดสำคัญที่สุดในการบ่มเพาะพลังไปได้แล้ว

ตอนนี้เขาขึ้นสู่ขั้นก่อร่างและด่านสู่พิสดารแล้ว พลังโดยรวมจึงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย วิชาอาร์คาน่าของเขาเองยังเก่งกาจขึ้นมากทีเดียว

มีพลังมากขึ้นก็สามารถทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้มากขึ้น

สุดท้ายแผนการบางอย่างที่หลินซวงเคยคิดอยากทำในอดีต ตอนนี้เขาสามารถทำได้แล้ว

ทว่าในจังหวะนั้นเอง ของสิ่งหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

เมื่อหลินซวงเห็นของสิ่งนั้นเขาก็อดตกตะลึงไปไม่ได้

เป็นมันเองหรือ?